เรื่อง : บารมีผ้าเหลือง
โดย : ตรัยโศก
ขอบคุณภาพประกอบจากgoogleเช่นเคย
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมก็มีเรื่องสั้นมาแบ่งปันให้ท่านอ่านฆ่าเวลาอีกเช่นเคย โดยเรื่องสั้นเรื่องนี้ จะมีเนื้อหาต่อจากตอน ผีแม่ขาฯ นิดหน่อย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญอ่านกันได้เลยครับ
ผู้คนมากมายทยอยเดินทางผ่านประตูวัดเข้ามาอย่างมิขาดสาย บ้างถือตะกร้า บ้างหิ้วปิ่นโตที่บรรจุอาหารคาวหวานเพื่อจะนำมาตักบาตรในวันนี้ บรรยากาศเช่นนี้ผมเห็นจนชินตาแต่ไม่เคยรู้สึกว่าความตื่นเต้น ตื้นตันในใจจะหายไปเลยสักครั้ง ในยุคที่มนุษย์แก่งแย่งชิงดี ปราถนาในลาภยศเงินทองของมีค่า ถึงขนาดรบราฆ่าฟันกันจนมีข่าวออกมาให้เห็นไม่เว้นวัน
แต่ในชุมชนเล็กๆแห่งนี้กลับยังหลงเหลือบุคคลผู้ที่มีใจยึดมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่ไม่น้อย ผู้ใหญ่บางคนจูงมีลูกเด็กเล็กแดงมาด้วย ถือเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมอันดีงามไว้ให้คนรุ่นหลังได้สืบทอด หวังเพียงแค่มันจะไม่สูญหายไปตามกาลเวลา และถูกบดบังจากวิวัฒนาการแห่งความรุ่งเรืองที่ผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว
วันนี้เป็นวันพระ ภายในวัดจึงคึกคักเป็นพิเศษ แล้วยิ่งมาตรงกันวันหยุดเช่นนี้ คนหนุ่มคนสาวที่ตรากตรำทำงานมาทั้งอาทิตย์ ยังมีใจปลีกเวลาพักผ่อนตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำบุญไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ผลบุญที่เขาเหล่านั้นทำในวันนี้จะส่งผลให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญอย่างแน่นอน ไม่ในภพชาตินี้ก็ในภพชาติหน้าซึ่งผมมิอาจรู้ได้เพราะเหนือวิสัย และก็ไม่มีวิธีที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นได้เช่นกัน
"หลวงพี่ๆ ผมหล่อป๊ะ" ไอ้เต้เอ่ยขึ้นพลางหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่ออวดชุดใหม่ที่ลูกสาวป้าปราณีซื้อให้เนื่องจากแม่ไปเข้าฝัน ผมมองแล้วยิ้มกว้าง
"เออหล่อ แต่น้อยกว่าหลวงพี่นะ ฮ่าๆ"
ได้ยินคำตอบดังนั้นไอ้เต้จ้องผมตาขุ่นเขียว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำหน้าบึ้งตึง แต่แล้วก็ผ่อนสีหน้าลงทันทีเหมือนจะคิดอะไรได้
"หล่อไม่หล่อ เค้าวัดกันที่เสื้อผ้ากะทรงผมนะหลวงพี่ ของหลวงพี่น่ะ ผมก็มีอยู่ทรงเดียว ชุดรึก็มีสีเดียว แค่นี้ผมก็ชนะขาด ใสๆ"
มันพูดแล้วเอามือเสยผมอย่างยียวนทำท่าจะเดินหนี ผมคว้าเอาคอของมันได้ทันจากนั้นก็เอามือขยี้ผมทรงหัวเขียงที่มันพยายามเอาน้ำมันจัดทรงให้ดูดีจนเละเทะ
"โอ้ย....หลวงพี่ ผมเสียทรงหมด"
มันสะบัดจนหลุดแล้วรีบเอามือจัดทรงอย่างมีอารมณ์ ด้วยความไม่มั่นใจจึงเดินไปตรงรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านที่นำมาจอดไว้ ส่องกระจกทำท่าเสยผมแต่งหล่อ
สักพักหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เดินนำไปทางวิหาร พระทุกรูปเดินตามอย่างเป็นระเบียบ พอไปถึงก็พากันนั่งลงบนอาสนะที่จัดไว้ โดยเรียงตามพรรษา มากสุดนั่งหัวแถว แน่นอนครับท้ายแถวคือผมหนึ่งเดียวคนนี้แน่นอน
วันนี้เป็นคิวของหลวงพี่บอลเสียงทองขึ้นเทศน์ ผมต้องขอยอมรับเลยครับว่าก่อนที่จะบวชผมไม่ชอบฟังอะไรเทือกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเทศน์แบบใดก็แล้วแต่ ผมรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ แต่พอได้มาอยู่ภายใต้ผ้าเหลือง ได้มาสดับเสียงของพระทั้ง 3 รูป มันกลับทำให้ผมเปลี่ยนความคิด หลวงพี่ทั้ง 3 เทศน์ได้สนุก มีการสอดแทรกมุขตลกบ้าง ญาติโยมเมื่อได้ฟังก็หัวเราะครืน ถึงจังหวะโศกก็เศร้าจนพาลให้น้ำตาคลอได้เหมือนกัน ผมเพลิดเพลินกับเสียงเทศน์อันเสนาะไพเราะของหลวงพี่บอลจนลืมกินข้าว มือถือช้อนค้างไว้แบบนั้นจนหลวงพี่หน่องต้องสะกิดเตือนเบาๆ
"ฉันข้าวท่านนิ่มฉันข้าว นั่งตาค้างจนโยมมองกันหมดแล้ว" แกเอ่ยยิ้มๆ ผมหันไปมองญาติโยมด้านหน้าก็เห็นว่าจริงดังคำแกพูด หลายคนมองมาที่ผมหัวเราะคิกคัก ผมรู้สึกอับอายอย่างที่สุด ถ้าตรงนั้นมีรูผมจะมุดลงไปหนีสายตาชาวโลกซะเลย
ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวด้วยความเขินมิใช่ความหิวอยู่นั้น เสียงจากโยมด้านหน้าก็เอ่ยขึ้นพอได้ยิน เนื่องจากเรานั่งห่างกันไม่ถึง 2 เมตร เพียงแต่ที่นั่งของพระจะยกพื้นสูงขึ้นมาประมาณหัวเข่าเท่านั้น
"ฉันแกงหยวกด้วยสิเจ้าคะหลวงพี่ นวลอุตส่าห์ตั้งใจทำ" ได้ยินดังนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง เธอเป็นหญิงชาวบ้านอายุน่าจะ 30 ปลายๆ รูปร่างอวบนิดหน่อยไม่ถือว่าน่าเกลียด ผิวเธอขาวออกไปทางซีดซะมากกว่า ใบหน้านั้นถูกตบแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆ พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน แต่ผมต้องหลุบตาต่ำทันทีเมื่อมองเลยจากคางลงมา เธอใส่เสื้อแหวกอกคอลึกจนเผยให้เห็นปทุมถันคู่นั้นที่เบียดกันราวพยายามจะออกมาสูดอากาศภายนอก เธอหัวเราะเบาๆเมื่อเก็นอาการเช่นนั้นของผม
"ฉันสิเจ้าคะ ฉันเยอะๆเลย" สาวเจ้ายังคงพูดต่อ ด้วยว่ากลัวจะเป็นการเสียมารยาท ผมจึงตักน้ำแกงมาราดข้าวนิดหน่อย เพราะโดยปกติเป็นคนไม่ชอบกินผักอยู่แล้ว
"อย่านะเจ้าคะหลวงพี่ ห้ามฉันเด็ดขาด"
เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวผม เสียงนั้นผมจำได้ เสียงของประไพร ผมตกใจจนทำช้อนหลุดจากมือ เงยหน้าขึ้นมองหาที่มาว่าหล่อนอยู่ตรงไหน ผมอยากพบหล่อนเหลือเกิน อาการเงอะงะของผมทำให้หลวงพี่หน่องต้องสะกิดเพื่อดึงสติของผมให้กลับคืน
"เป็นอะไรท่านนิ่ม เลอะเทอะหมดแล้ว"แกเอ่ยขึ้นเบาๆพลางส่งผ้ามาให้ผมเช็ดน้ำแกงกับเศษข้าวที่เลอะเทอะอยู่
"เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้....." เสียงหลวงพี่บอลพูดขึ้น แสดงว่าการเทศน์นี้จบลงแล้ว พระสงฆ์ทำการให้พรแล้วพากันเดินออกจากวิหาร
"หลวงพี่ๆ คนที่ชื่อนวลฝากของมาให้" ไอ้เต้พูดพร้อมยื่นตลับสีเงินขนาดตลับแป้งพับให้ผม ผมรับมาอย่างงงๆแล้วจึงเปิดออกดู ในนั้นมีผงสีขาวอมชมพูอยู่ ผมลองเอาขึ้นมาดมปรากฏว่ากลิ่นมันหอมเย็นๆ แปลกๆ ตาผมเริ่มพร่าไปครู่นึงแล้วจึงกลับมาเป็นปกติ ผมปิดฝาตลับแล้วเดินกลับมาที่ห้อง รู้สึกเหมือนว่าจะมีไข้ตัวมันรุมๆพิกลอยู่ จึงได้เอนหลังลงบนเตียงและหลับไป
(มีต่อนะครับ)
ครั้งเมื่อผมบวช ตอน บารมีผ้าเหลือง
โดย : ตรัยโศก
ขอบคุณภาพประกอบจากgoogleเช่นเคย
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมก็มีเรื่องสั้นมาแบ่งปันให้ท่านอ่านฆ่าเวลาอีกเช่นเคย โดยเรื่องสั้นเรื่องนี้ จะมีเนื้อหาต่อจากตอน ผีแม่ขาฯ นิดหน่อย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญอ่านกันได้เลยครับ
ผู้คนมากมายทยอยเดินทางผ่านประตูวัดเข้ามาอย่างมิขาดสาย บ้างถือตะกร้า บ้างหิ้วปิ่นโตที่บรรจุอาหารคาวหวานเพื่อจะนำมาตักบาตรในวันนี้ บรรยากาศเช่นนี้ผมเห็นจนชินตาแต่ไม่เคยรู้สึกว่าความตื่นเต้น ตื้นตันในใจจะหายไปเลยสักครั้ง ในยุคที่มนุษย์แก่งแย่งชิงดี ปราถนาในลาภยศเงินทองของมีค่า ถึงขนาดรบราฆ่าฟันกันจนมีข่าวออกมาให้เห็นไม่เว้นวัน
แต่ในชุมชนเล็กๆแห่งนี้กลับยังหลงเหลือบุคคลผู้ที่มีใจยึดมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่ไม่น้อย ผู้ใหญ่บางคนจูงมีลูกเด็กเล็กแดงมาด้วย ถือเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมอันดีงามไว้ให้คนรุ่นหลังได้สืบทอด หวังเพียงแค่มันจะไม่สูญหายไปตามกาลเวลา และถูกบดบังจากวิวัฒนาการแห่งความรุ่งเรืองที่ผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว
วันนี้เป็นวันพระ ภายในวัดจึงคึกคักเป็นพิเศษ แล้วยิ่งมาตรงกันวันหยุดเช่นนี้ คนหนุ่มคนสาวที่ตรากตรำทำงานมาทั้งอาทิตย์ ยังมีใจปลีกเวลาพักผ่อนตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำบุญไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ผลบุญที่เขาเหล่านั้นทำในวันนี้จะส่งผลให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญอย่างแน่นอน ไม่ในภพชาตินี้ก็ในภพชาติหน้าซึ่งผมมิอาจรู้ได้เพราะเหนือวิสัย และก็ไม่มีวิธีที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นได้เช่นกัน
"หลวงพี่ๆ ผมหล่อป๊ะ" ไอ้เต้เอ่ยขึ้นพลางหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่ออวดชุดใหม่ที่ลูกสาวป้าปราณีซื้อให้เนื่องจากแม่ไปเข้าฝัน ผมมองแล้วยิ้มกว้าง
"เออหล่อ แต่น้อยกว่าหลวงพี่นะ ฮ่าๆ"
ได้ยินคำตอบดังนั้นไอ้เต้จ้องผมตาขุ่นเขียว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำหน้าบึ้งตึง แต่แล้วก็ผ่อนสีหน้าลงทันทีเหมือนจะคิดอะไรได้
"หล่อไม่หล่อ เค้าวัดกันที่เสื้อผ้ากะทรงผมนะหลวงพี่ ของหลวงพี่น่ะ ผมก็มีอยู่ทรงเดียว ชุดรึก็มีสีเดียว แค่นี้ผมก็ชนะขาด ใสๆ"
มันพูดแล้วเอามือเสยผมอย่างยียวนทำท่าจะเดินหนี ผมคว้าเอาคอของมันได้ทันจากนั้นก็เอามือขยี้ผมทรงหัวเขียงที่มันพยายามเอาน้ำมันจัดทรงให้ดูดีจนเละเทะ
"โอ้ย....หลวงพี่ ผมเสียทรงหมด"
มันสะบัดจนหลุดแล้วรีบเอามือจัดทรงอย่างมีอารมณ์ ด้วยความไม่มั่นใจจึงเดินไปตรงรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านที่นำมาจอดไว้ ส่องกระจกทำท่าเสยผมแต่งหล่อ
สักพักหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เดินนำไปทางวิหาร พระทุกรูปเดินตามอย่างเป็นระเบียบ พอไปถึงก็พากันนั่งลงบนอาสนะที่จัดไว้ โดยเรียงตามพรรษา มากสุดนั่งหัวแถว แน่นอนครับท้ายแถวคือผมหนึ่งเดียวคนนี้แน่นอน
วันนี้เป็นคิวของหลวงพี่บอลเสียงทองขึ้นเทศน์ ผมต้องขอยอมรับเลยครับว่าก่อนที่จะบวชผมไม่ชอบฟังอะไรเทือกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเทศน์แบบใดก็แล้วแต่ ผมรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ แต่พอได้มาอยู่ภายใต้ผ้าเหลือง ได้มาสดับเสียงของพระทั้ง 3 รูป มันกลับทำให้ผมเปลี่ยนความคิด หลวงพี่ทั้ง 3 เทศน์ได้สนุก มีการสอดแทรกมุขตลกบ้าง ญาติโยมเมื่อได้ฟังก็หัวเราะครืน ถึงจังหวะโศกก็เศร้าจนพาลให้น้ำตาคลอได้เหมือนกัน ผมเพลิดเพลินกับเสียงเทศน์อันเสนาะไพเราะของหลวงพี่บอลจนลืมกินข้าว มือถือช้อนค้างไว้แบบนั้นจนหลวงพี่หน่องต้องสะกิดเตือนเบาๆ
"ฉันข้าวท่านนิ่มฉันข้าว นั่งตาค้างจนโยมมองกันหมดแล้ว" แกเอ่ยยิ้มๆ ผมหันไปมองญาติโยมด้านหน้าก็เห็นว่าจริงดังคำแกพูด หลายคนมองมาที่ผมหัวเราะคิกคัก ผมรู้สึกอับอายอย่างที่สุด ถ้าตรงนั้นมีรูผมจะมุดลงไปหนีสายตาชาวโลกซะเลย
ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวด้วยความเขินมิใช่ความหิวอยู่นั้น เสียงจากโยมด้านหน้าก็เอ่ยขึ้นพอได้ยิน เนื่องจากเรานั่งห่างกันไม่ถึง 2 เมตร เพียงแต่ที่นั่งของพระจะยกพื้นสูงขึ้นมาประมาณหัวเข่าเท่านั้น
"ฉันแกงหยวกด้วยสิเจ้าคะหลวงพี่ นวลอุตส่าห์ตั้งใจทำ" ได้ยินดังนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง เธอเป็นหญิงชาวบ้านอายุน่าจะ 30 ปลายๆ รูปร่างอวบนิดหน่อยไม่ถือว่าน่าเกลียด ผิวเธอขาวออกไปทางซีดซะมากกว่า ใบหน้านั้นถูกตบแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆ พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน แต่ผมต้องหลุบตาต่ำทันทีเมื่อมองเลยจากคางลงมา เธอใส่เสื้อแหวกอกคอลึกจนเผยให้เห็นปทุมถันคู่นั้นที่เบียดกันราวพยายามจะออกมาสูดอากาศภายนอก เธอหัวเราะเบาๆเมื่อเก็นอาการเช่นนั้นของผม
"ฉันสิเจ้าคะ ฉันเยอะๆเลย" สาวเจ้ายังคงพูดต่อ ด้วยว่ากลัวจะเป็นการเสียมารยาท ผมจึงตักน้ำแกงมาราดข้าวนิดหน่อย เพราะโดยปกติเป็นคนไม่ชอบกินผักอยู่แล้ว
"อย่านะเจ้าคะหลวงพี่ ห้ามฉันเด็ดขาด"
เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวผม เสียงนั้นผมจำได้ เสียงของประไพร ผมตกใจจนทำช้อนหลุดจากมือ เงยหน้าขึ้นมองหาที่มาว่าหล่อนอยู่ตรงไหน ผมอยากพบหล่อนเหลือเกิน อาการเงอะงะของผมทำให้หลวงพี่หน่องต้องสะกิดเพื่อดึงสติของผมให้กลับคืน
"เป็นอะไรท่านนิ่ม เลอะเทอะหมดแล้ว"แกเอ่ยขึ้นเบาๆพลางส่งผ้ามาให้ผมเช็ดน้ำแกงกับเศษข้าวที่เลอะเทอะอยู่
"เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้....." เสียงหลวงพี่บอลพูดขึ้น แสดงว่าการเทศน์นี้จบลงแล้ว พระสงฆ์ทำการให้พรแล้วพากันเดินออกจากวิหาร
"หลวงพี่ๆ คนที่ชื่อนวลฝากของมาให้" ไอ้เต้พูดพร้อมยื่นตลับสีเงินขนาดตลับแป้งพับให้ผม ผมรับมาอย่างงงๆแล้วจึงเปิดออกดู ในนั้นมีผงสีขาวอมชมพูอยู่ ผมลองเอาขึ้นมาดมปรากฏว่ากลิ่นมันหอมเย็นๆ แปลกๆ ตาผมเริ่มพร่าไปครู่นึงแล้วจึงกลับมาเป็นปกติ ผมปิดฝาตลับแล้วเดินกลับมาที่ห้อง รู้สึกเหมือนว่าจะมีไข้ตัวมันรุมๆพิกลอยู่ จึงได้เอนหลังลงบนเตียงและหลับไป
(มีต่อนะครับ)