ขอวิธีอยู่ร่วมกับคนในครอบครัว toxic หน่อยค่ะ

พ่อแม่เรา conservative มาก 
พ่อติดการใช้อารมณ์ ชอบพังข้าวของ โวยวาย ด่าว่าคนอื่น ไม่รับฟังความเห็น 
แม่เป็นคนชอบประชด ขี้อิจฉา ชอบต่อว่าด้วยถ้อยคำทำร้ายจิตใจ
 
เล่าเท้าความหน่อยว่า ตั้งแต่เด็ก เรามักจะโดนคำพูดที่ทำร้ายจิตใจจนเป็นเรื่องปกติ เช่น ทุกวันเราจะโดนเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ลูกเพื่อนแม่บ้าง ญาติบ้าง โดนตั้งแต่เรื่องผมเราไม่สวย (เราผมหยิก) ตอนที่โดนคืออยู่ป.6 พ่อใช้คำว่า ผมเหมือนขนหมา น่าเกลียด แล้วพาไปตัดแบบสั้นๆ สั้นเกินติ่งหู ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถมที่ทุกคนไว้ผมยาว ถักเปีย ผูกผมสวยๆไปโรงเรียน อายมาก โดนล้อทุกวัน 
 
แม่บังคับให้ไปเรียนพิเศษ เสาร์อาทิตย์ไม่เคยตื่นสาย ต้องตื่นยิ่งกว่าตอนไปโรงเรียน เรียนจนถึงสี่โมงเย็น พอร้องไห้บอกแม่ว่าไม่ไหวแล้ว เราเหนื่อย แม่ก็พาไปกินข้าวกับเพื่อนแม่ แล้วพูดขึ้นมากลางวงว่า ให้บอกเราให้อดทนหน่อย  เพราะเราหัวช้า โง่ เพื่อนแม่ก็พากันรุมเราว่า เราโชคดีแค่ไหนที่มีแม่ซัพพอร์ตเรื่องเรียน ยุคเขาไม่มีแบบนี้ รุมกันต่อว่าเราประมาณว่า เราไม่ตั้งใจเองรึเปล่า ไม่ขยันเองรึเปล่า ลูกเขาอ่านหนังสือตอนตีสี่นะ  พอเราได้ยินแบบนั้นเลยรู้สึกผิด รู้สึกว่าเราผิดเองที่เรียนไม่เก่ง ไม่มีอะไรดีเลย ทำให้แม่ต้องอาย (ทั้งๆที่แม่เป็นคนพูดขึ้นมาเอง) พอกลับบ้าน แม่ก็ด่าเราอีกรอบว่า เห็นมั้ย แม่อายแค่ไหนที่เราเรียนไม่เก่งเท่าลูกคนอื่น 
 
ตลอดเวลาที่อยู่กับที่บ้าน เข้าใจมาตลอดว่า ตัวเองเป็นลูกไม่ดี เป็นลูกนิสัยแย่ พ่อแม่มักจะพูดให้รู้สึกแย่กับตัวเองเสมอ
เช่น
เราอ้วน กินเยอะแบบนี้ถึงได้อ้วนไง เลิกกินได้แล้ว กินแค่นี้พอ
ตัวดำจัง เพราะชอบไปเล่นกลางแจ้งใช่มั้ย กลับมาอ่านหนังสืออยู่บ้าน ไม่ต้องไปเล่นแล้ว
ขาลาย ไม่สวย ใส่แต่ขายาวนะ อายเขา ห้ามใส่ขาสั้น เพราะไม่สวย 
ฝึกวาดรูปทำไม มันเอาไปทำไรได้เหรอ ทำมาหากินได้เหรอ วาดไปก็ไม่สวย ไม่มีฝีมือ 
เรียนพิเศษที่เดียวกับลูกคนนี้แท้ๆ ทำไมเขาสอบได้ที่ดีกว่า ทำไมทำไม่ได้ เพราะหัวช้าเหรอ 
ถูกเพื่อนแกล้งเหรอ แล้วไปทำอะไรให้เพื่อนเขาเกลียดล่ะ ทำตัวนิสัยดีๆหน่อยสิ ทำตัวนิสัยไม่ดีมาใช่มั้ย
หัวไปโดนไรมา มีคนเปิดประตูมาชนเหรอ? แล้วไม่ดูเลยเหรอว่าเขาจะเปิด คราวหลังก็ดูให้มันดีๆหน่อย 
ทำไมถูกเพื่อนแกล้งแค่นี้ต้องร้องไห้ พ่อแม่ทำงานเหนื่อยแล้วนะ ไม่อยากกลับบ้านมาฟังเรื่องลูกหรอก
ครูบอกว่าลูกอยู่โรงเรียนเงียบๆ ไม่ค่อยคุยกับใคร อย่าสร้างปัญหามากได้มั้ย อย่าให้ครูต้องโทรมาถามอะไรอีก ขี้เกียจคุย
ทำไมเรียนเลขไม่ได้ คนอื่นเขาทำได้กัน รีบๆทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้อีก จะไม่ให้นอน 
คะแนนได้น้อยจัง อย่างนี้แม่จะบอกเพื่อนแม่ยังไง อายเขาจัง ลูกเรียนไม่เก่ง ปิดเทอมนี้ ไปเรียนพิเศษเพิ่มอีกละกัน 
 
ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยกลัวตายเลย เพราะรู้สึกว่าที่อยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าเสียดายอยู่แล้ว  คิดมาตลอดว่า ตัวเองไม่มีอะไรดีเลย คนอื่นดีกว่า เราเป็นภาระ ทำให้พ่อแม่ต้องอายคนอื่น ญาติคนนั้นดีกว่าเรา เด็กคนนี้เก่งกว่าเรา ถ้าเราตายไป พ่อแม่น่าจะสบายกว่านี้ ไม่ต้องคอยไปรับไปส่งคนโง่ๆอย่างเราเรียน ทั้งๆที่เราไม่ได้เรียนเก่งขึ้นเลย เราไม่สวย ไม่มีความสามารถอะไรเลย ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง จะอยู่ไปทำไม
จนกระทั่งวันนึงตอนม.ปลาย ได้เจออาจารย์คนนึงที่เปลี่ยนชีวิตเรา อาจารย์เรียกมาถามว่า เราอยากเข้าคณะอะไร ตอนนั้นในหัวไม่มีคณะอะไรทั้งนั้น เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ดี หรือเก่งอะไร ใช้ชีวิตไปวันๆ 

จนกระทั่ง อาจารย์เอาใบเกรดในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาให้ดูแล้วบอกว่า เราเก่งภาษานะ เห็นมั้ยว่าเราทำเกรดภาษาได้ดีทุกเทอมเลย ลองสังเกตตัวเองสิ เลยลองสังเกตตัวเองอย่างอาจารย์ว่า พบว่าตัวเองชอบอ่านหนังสือโดยเฉพาะหนังสือแปล และขยับไปอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้โดยที่ไม่ต้องเปิดดิคฯ ชอบฟังเพลงภาษาอังกฤษ ดูหนังแบบไม่ต้องอ่านซับฯได้ ถึงได้รู้ว่า มีความสามารถทางด้านนี้ ตั้งแต่วันนั้นมา ทิ้งเลขเลย แล้วไปทำในสิ่งที่ถนัดแทน 
 
สิ่งที่แอบพ่อแม่ทำต่อมาคือ แอบแปลซับภาษาอังกฤษ ตอนนั้นมีซีรีส์เรื่องไหนของต่างประเทศ ที่ยังไม่มีซับไทย เราก็แปลเอง ทำซับเองลงในเน็ต ผิดบ้างถูกบ้าง โดนคนด่ากันไป ก็ปรับปรุงแก้ไข เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเรื่องลิขสิทธิ์ยังไม่บูมมาก เลยทำเอาสนุก ซึ่งสนุกมาก เหมือนค้นพบสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี ค้นพบตัวตนของตัวเองแล้ว จนในที่สุดวันนึง มีค่ายหนังซีดีหนังเกรดB ติดต่อมา อยากให้แปลซับให้เขา เป็นค่ายเล็กๆที่ไม่ได้มีเงินลงทุนจ้างมืออาชีพ เขาไม่รู้ว่าเรายังเรียนอยู่เลย เลยจำเป็นต้องบอกแม่ เพื่อใช้ชื่อแม่ในการทำสัญญา ผลก็คือ พ่อแม่ด่าในตอนแรก แต่พอเห็นเงินเห็นค่าจ้างเลยหยุดด่า 
พอไปเรียนต่อมหา'ลัย เหมือนเปิดโลกใบใหม่ เพื่อนทุกคนงงมากว่า ทำไมเราถึงต้องโทษตัวเองก่อนแม้ว่าเรื่องที่เราเจอ เราจะไม่ได้เป็นฝ่ายผิดก็ตาม
เราเดินข้ามถนนบนทางม้าลาย รถซิ่ง ขับมาชนเราล้ม ขาเจ็บ ของกระจาย เราลุกขึ้นวิ่งไปขอโทษคนขับรถ เพื่อนงง
ไปกินข้าวที่ร้าน เจอซากแมงสาบในจาน เราขอโทษแม่ค้า บอกขอโทษนะคะ หนูกินไม่ได้จริงๆ ขอเปลี่ยนจานใหม่นะคะ จะจ่ายเงินสองจานให้เขาด้วย เพื่อนต้องรีบห้ามไว้
 
โดนแฟนนอกใจ เราขอโทษแฟนที่เป็นแฟนที่ไม่ดี แล้วก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรที่ตัวเองเป็นแฟนที่ไม่ดีเลย จนแฟนเราเองรู้สึกผิด บอกว่า ไม่ใช่เธอไม่ผิดหรอก เขาเองต่างหากที่ผิด 
 
คิดมาก คิดแทนคนอื่น บางทีคนรอบข้างยังไม่ทันคิดอะไรเลย เช่น พอเพื่อนคนนี้ไม่คุยกับเรา เราก็ไปนั่งร้องไห้คนเดียว โทรไปหาเพื่อน ขอโทษที่ทำอะไรไม่ดี ปรากฏเพื่อนบอกจะบ้าเหรอ มันเมนส์มา มันไม่ได้โกรธอะไรเรา คิดมากทำไม ซึ่งเราเป็นแบบนี้กับเพื่อนทุกคน จนเพื่อนรำคาญ
พอโดนแกล้ง โดนใส่ร้าย เราก็ได้แต่ยอมๆ ยอมโดนด่า โดนว่า แถมไปขอโทษคนที่มาว่าด้วย 
จนพอโดนเพื่อนๆและคนรอบข้างคอยบอกว่า เฮ้ย ไม่ต้องขอโทษทุกเรื่อง เรื่องที่แกไม่ผิด ไม่ต้องขอโทษก็ได้ กว่าจะเลิกนิสัยชอบโทษตัวเองก่อน ใช้เวลานานมาก จนเรียนจบ ได้งานทำที่ดี โชคดีที่ได้สังคมที่ดี  พบคนดีๆ เลยเริ่มมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาทีละนิด 

จนกระทั่งวันนึง เราจับได้ว่า แฟนที่กำลังจะแต่งงานนอกใจ ความคิดลบๆย้อนกลับมาในหัวอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานาน เราผิดตรงไหน เราทำอะไรไม่ดีเหรอ เรายังเป็นแฟนที่ไม่ดีใช่มั้ย เราไม่สวย เราไม่เก่ง เรานิสัยไม่ดี เราไม่มีอะไรดีเลย สู้คนใหม่เขาไม่ได้เลยสักอย่าง เครียดมาก คิดมาก รู้สึกว่า ถ้าตายไปเลยน่าจะดีกว่า 
 
เราโทรหาแม่ ร้องไห้เล่าให้แม่ฟัง 
 
สิ่งที่แม่พูดคำแรกคือ ใช่ เรามันไม่มีอะไรดีเลย เขาเลยไปมีคนใหม่ 
หลังจากนั้นหัวก็เบลอไปเลย ไม่ได้ยินอะไรเท่าไหร่ จำได้ประมาณว่า เราไม่สวยมาแต่ไหนแต่ไร ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ต่อให้หาเงินได้เยอะ แต่ผู้ชายเขาไม่ได้อยากได้เงิน เขาอยากได้เมียที่ดี สวย คู่ควรกับเขา แต่เราไม่ใช่ เพราะเราไม่ดี นิสัยก็ไม่ดี ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ชาตินี้คงหาคนที่รักเราจริงไม่ได้
 
คืนนั้นคิดเลยว่า ถ้าจะฆ่าตัวตาย จะใช้วิธีไหนดี ให้มันจบง่ายที่สุด เร็วที่สุด จะโดดตึกก็กลัวจะรบกวนเพื่อนร่วมอพาร์ตเม้นท์คนอื่น เดี๋ยวห้องเขาจะราคาตกขายไม่ได้ ถ้าฆ่าตัวตายในห้องเราเอง พ่อแม่คงจะขายห้องต่อไม่ได้ หรือจะไปโดดที่สะพานดี แต่ไม่อยากจมน้ำตายเลย กลัวทรมานตัวเอง 
คิดเยอะมาก จนในที่สุด เลือกวิธีได้แล้ว เป็นวิธีที่คิดว่า น่าจะทรมานน้อยที่สุด กระทบคนอื่นน้อยที่สุด และไม่คิดจะเขียนจดหมายลาตายไว้เลย เพราะคิดว่าไม่มีใครอยากให้อยู่อยู่แล้ว (ตอนพิมพ์ไปตอนนี้ ก็คือร้องไห้ไปด้วย) 
เลือกเวลาที่จะตาย เป็นตอนเช้ามืด เพราะชอบช่วงเวลานั้น เรียกแท็กซี่เดินทางเพื่อจะฆ่าตัวตาย เดชะบุญ รถติด เพื่อนโทรมาพอดี เพื่อนถามจะไปไหน คิดนานมาก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอก ไม่ใช่ว่าไม่อยากตายแล้วนะ แต่อยากบอกเพราะมันคือเพื่อนรัก กลัวว่า ถ้าทำลงไปแล้ว ไม่ได้บอก มันจะโกรธ ตอนที่บอก ไม่คิดหรอกว่ามันจะห้าม คิดว่า มันคงบอกให้ทำอย่างมีความสุข  
 
ปรากฏ เพื่อนบอก เดี๋ยวกูไปหา มันอ้างว่า ขอกินข้าวด้วยกันเป็นมื้อสุดท้าย แต่สุดท้าย มันหลอกพาเราไปโรงพยาบาลศรีธัญญา 
ระหว่างรอหมอ (process ตรงนี้นานมาก ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก่อนจะได้พบหมอ) เพื่อนพยายามคุยตะล่อม ประมาณว่า ต่อให้ตัดสินใจแล้ว ลองเล่าให้หมอฟังอีกทีจะเป็นอะไรไป เล่าจบแล้ว ค่อยไปทำก็ได้ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย 
 
ตอนนั้นเรากลัวรบกวนเวลาหมอมาก กลัวหมอเสียเวลา เพราะเราตัดสินใจที่จะตายแล้ว เลยเล่าให้หมอฟังแบบคร่าวๆ กะจะให้จบๆไป ไม่บอกว่า จริงๆตัดสินใจแล้ว (แต่บอกเจ้าหน้าที่ที่ประเมินสุขภาพจิตก่อนเข้าไปคุย) หมอไล่ถามไปเรื่อยๆ จนไปเจอปมเรื่องพ่อแม่
 
เท่านั้นแหละ น้ำตาแตก ร้องไห้หนักที่สุดเท่าที่จะเคยร้องไห้มาในชีวิต ร้องจนหมอทิชชู่หมด หมอไม่ได้พยายามโน้มน้าวอะไร ไม่ได้พยายามให้ความคิดเห็น แต่หมอ 'เข้าใจ' ในความเป็นเรา และบอกว่า เราไม่มีอะไรผิดเลย ไม่ผิดในเรื่องไหนเลยสักเรื่อง สุดท้าย หมอบอกให้เข้มแข็งเวลาที่ได้ยินคำพูด toxic แบบนี้ โดยเฉพาะกับพ่อแม่ เป็นไปได้ ไม่ต้องคุยอะไรแบบนี้กับเขา ในเมื่อเปลี่ยนเขาไม่ได้ เปลี่ยนตัวเองดีกว่า หมอพูดให้เราเข้าใจตัวเองว่า เรามีข้อดี มีจุดดี และมีเป้าหมายของชีวิตดีแล้ว ให้โฟกัสเป้าหมายไว้ แล้วไม่ต้องสนใจสิ่งรอบข้าง แม้แต่คำพูดของพ่อแม่เลย 
เราใช้ชีวิตอยู่คนเดียวตั้งแต่นั้นมา นานๆทีจะกลับไปหาเขา พยายามไม่พูด ไม่ถามความคิดเห็นของเขา เพราะรู้ว่าคำพูดเขามีผลต่อความคิดเรามาก ก็อยู่สบายดี มีความสุข จนกระทั่ง ช่วงนี้ ที่แม่มีปัญหาข้อเข่า ทำให้ต้องกลับมาดูแล พอกลับมาอยู่ด้วยกัน คำพูดเหล่านั้นเริ่มกลับมาอีกแล้ว หลังๆมีคำพูดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่น พอคนข้างบ้านชมว่า ลูกสาวสวยจัง แม่ก็พูดขึ้นมาเลยว่า นี่เหรอสวย อายมากที่มีลูกแบบนี้ ลูกคนนี้ไม่ค่อยได้เรื่องอะไรเลย 
พอเพื่อนพ่อมาเที่ยวบ้าน เพื่อนพ่อชมว่า ลูกเก่งนะ ทำงานได้เงินดี แม่ก็ชิงพูดเลยว่า สร้างภาพว่างานดีไง จริงๆเงินเก็บก็น้อย วันๆเอาแต่ซื้อของกิน กับของไร้ประโยชน์(เราสะสมหนังสือ) 
พอพ่อหงุดหงิด โมโห อาละวาด ทำทีวีเก่าตกลงมาแตก เรามานั่งเก็บให้ ตอนเช้าพ่อออกมาด่าว่า เพราะเราทำให้เขาโมโห ทีวีเลยพัง เราบอกว่าเดี๋ยวซื้อทีวีให้ใหม่ พ่อก็ด่าว่า เราชอบใช้เงินแก้ปัญหา เพราะคิดว่าตัวเองหาเงินได้เยอะ แล้วจะเหนือกว่าพ่อละสิ 
ล่าสุด ญาติเห็นรูปเราไปปฏิบัตธรรม ก็มาชมเรากับแม่ แม่บอกว่า เราแค่สร้างภาพถ่ายรูปลงเฟซไปงั้นแหละ ของจริงจำบทสวดได้รึเปล่าก็ไม่รู้ สร้างภาพเก่งจะตาย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
จ้างคนมาดูแลแทนค่ะ

ย้ายออกมาเถอะค่ะ เตือนด้วยความเป็นห่วงจริงๆนะ ในเมื่อเค้าไม่เปลี่ยนอย่างนี้ เรากลัวว่าซักวันนึงเรื่องมันจะแย่ลงมากๆ
ความคิดเห็นที่ 5
พูดกับเขาแบบเปิดอก เหมือนที่คุณเขียนแบบนี้ บอกเค้าว่าที่คุณต้องกินยาก็เป็นเพราะพวกเขา
เอาจริง ๆ นะ เราว่าเค้าภูมิใจในตัวคุณ ถ้าลับหลังคุณเค้าชมคุณกับคนอื่นแน่นอน เราอ่านที่คุณเขียนมา เรายังภูมิใจในตัวคุณเลย  เราอยู่ในครอบครัวคนจีนก็ประมาณนี้  พอเรามีลูกเอง เราชมลูก ให้กำลังใจลูกตลอดแหละ
    สรุป เราว่าคุณต้องคุยกับเค้าแบบตรง ๆ  ถ้าเค้าว่าปีกกล้าขาแข็ง คุณก็บอกไปตรง ๆ ว่าใช่ ถ้าไม่หยุด คุณไปอยู่เอง แล้วมาเยี่ยมเค้าทุกสัปดาห์ เค้าว่าร้ายปุ้บคุณกลับ แล้วก็ยืดเวลามาเยี่ยมเป็น 2 สัปดาห์ครั้ง กลับมาว่าอีก ก็เดือนละครั้ง จนกว่าเค้าจะได้บทเรียนว่าลูกไม่ใช่ถังขยะที่จะมาระบายอารมณ์  ถึงเป็นพ่อแม่คน ถึงเกิดก่อนก็ต้องปรับตัว ก็ต้องเรียนรู้
ความคิดเห็นที่ 6
อยู่ห่างๆไว้เลยค่ะ ถ้าไม่จำเป็น มีปัญหาอะไรไม่ต้องไปปรึกษา เราเกิดมาตัวคนเดียว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ พ่อแม่ ญาติพี่น้องไม่มีสิทธิ์เอาความใกล้ชิด เลือดเนื้อเชื้อไขมาทำร้ายเรา สังคมไทยชอบยึดติดเรื่องบุญคุญ แต่มีเยอะค่ะพ่อแม่ที่ทำร้ายลูก ไม่ว่าทางกาย หรือทางใจ อย่าโทษตัวเอง ไปหาหมอรักษาตัว ทำตัวช่วยเหลือสังคม ให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่า เป็นกำลังใจให้นะคะ รักตัวเองมากๆ สู้ต่อไปค่ะ
ความคิดเห็นที่ 1
คำพูดแรงขึ้นเรื่อยๆ การกระทำแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เราเริ่มนั่งสังเกตมากขึ้น พบว่า พ่อแม่น่าจะมีปม คิดว่าตัวเองไม่ดีเท่าคนอื่น เลยพยายามกดเราด้วยคำพูดและการกระทำ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีกว่าเราแทน (ไม่รู้ว่าจะคิดร้ายไปมั้ย ไม่ค่อยกล้าคิดร้ายกับพ่อแม่ ขณะที่พิมพ์อยู่ ยังกลัวอยู่เลย) สังเกตได้จาก เวลาเราชมเพื่อนพ่อแม่คนนั้นคนดี (คือชมแบบใสๆไม่คิดอะไร) พ่อแม่ก็จะโวยวาย เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันทีว่า ไม่เห็นดีอย่างเราว่าเลย คนนั้นแย่ คนนี้แย่ ก็คือในสายตาเขาสองคน แทบไม่มีใครดีเลย 
 
พอบอกเขาไปว่า ให้พูดกับเราดีๆหน่อย อยากได้อะไรก็บอกตรงๆ ไม่ต้องด่า ไม่ต้องประชด ไม่ต้องโวยวาย เกรี้ยวกราด เขาก็ด่าเรากลับว่า เราปีกกล้าขาแข็ง สั่งสอนไม่ได้ เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว พูดอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ย 
กลับบ้านไปเจอแต่คำด่า กลับเร็วก็ด่า หาว่า อู้งาน ทำตัวนิสัยแบบนี้เดี๋ยวเจ้านายก็ไล่ออกสักวันนึง กลับช้าก็ด่า หาว่ามัวแต่ไปเที่ยว ปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านกันสองคน ทำอะไรไม่ถูกใจสักอย่าง เราบอกเขาว่า เดี๋ยวเราทำงานบ้านเอง เขาไม่ต้องทำแล้ว สุขภาพไม่ดีอยู่ แม่ก็ประชดว่า อยากสร้างภาพว่าเป็นลูกกตัญญูเหรอ ไม่ต้องทำ เดี๋ยวเขาทำเอง เราก็ไปทำงานเลย ไม่ได้ล้างจาน พอกลับมา เขาด่าเราที่ไม่ล้างจาน เราก็บอกว่า แม่บอกเองว่าแม่จะทำ เขาก็ด่าเรากลับว่า เรายอกย้อนเขา 
 
ตอนนี้ทำตัวไม่ถูก เครียดมาก กลับมาทีไรเหนื่อย รู้สึกแย่ แต่ไม่ได้อยากฆ่าตัวตายไรงี้แล้วนะ เพราะมีเป้าหมายชีวิตแล้ว แค่อยากอยู่กับเขาให้ได้  อยากจะย้ายออกก็เป็นห่วงเขาจะอยู่กันยังไง แต่อยู่กับเขาไปนานๆก็เหนื่อยใจ พ่อเคยเห็นยาที่เรากิน ก็ด่าเราว่าคิดไปเอง โรคพวกนี้มันไม่มีอยู่จริงหรอก มีแต่พวกอยากดังเท่านั้นแหละ ที่บอกว่าตัวเองเป็น ไม่เชื่อว่าเราเป็นจริงๆ ถึงขั้นเคยจะเอายาเราไปเททิ้ง 
ตอนนี้กลุ้มใจมากค่ะ ใครพอมีวิธีให้อยู่กับเขาได้ ขอหน่อยนะคะ 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่