ณ.หมู่บ้านริมวัง หมู่บ้านเล็กๆที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณสองร้อยกว่าหลังคาเรือน เป็นหมู่บ้านที่อยู่ทางตอนใต้ของอำเภอเกาะคา มีแม่น้ำวัง แม่น้ำสายหลักของจังหวัดลำปางไหลผ่าน
ที่บริเวณด้านหน้าศาลารับส่งผู้โดยสาร ทรงไทยหลังเล็ก มุงด้วยหลังคาสังกะสีเก่าๆ ตั้งอยู่ริมทางด้านข้างถนนใหญ่ที่ตัดผ่านด้านหน้าหมู่บ้านริมวังฝั่งขวามือขาล่อง
รถโดยสารสองแถวประจำทางสีน้ำเงินคันหนึ่งที่ขับมาตามถนนใหญ่ ก็ขับวิ่งชะลอความเร็วมาอย่างช้าๆแล้วเลี้ยวขวาเข้ามาจอดเทียบตรงไหล่ทาง
ด้านหน้าศาลาทรงไทยรับส่งผู้โดยสาร ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ พอรถขับเข้ามาจอดเทียบหยุดสนิทตรงไหล่ทางด้านหน้าศาลาเรียบร้อยแล้ว
ที่ท้ายรถโดยสารที่มีผู้โดยสารนั่งอยู่ตรงเบาะหลังด้านในจำนวนสามคน ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างสันทัด ไว้ผมรองทรงใบหน้าคมเข้ม
สีหน้าดุดัน มีนัยน์ตากลมโตสีดำกิ๊บเหมือนดวงตาพญาราชสีห์ผิวเนื้อดำแดง ส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร
สัดส่วนรูปร่างหน้าอกไซส์แปดสิบสามเซนติเมตรสวมใส่เสื้อยืนคอวีสีขาวสวมเสื้อโครดสีดำพับแขนขึ้นมาเหนือข้อศอกทับไว้ด้านนอกเสื้อยืด สวมกางยีนลีวายขายาวทรงกระบอกสีน้ำเงิน
สวมใส่ร้องเท้าผ้าใบสีดำแถบขาวเหน็บแว่นตากันแดดเลนดำไว้ตรงขอบคอเสื้อด้านในสะพายกระเป๋าเป้เดินทางใบใหญ่สีดำคล้ายกระเป๋านักเรียนไว้ที่ไหล่ขวาก้าวเท้าเดินฝ่ากลุ่มผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านใน
ลงมายืนอยู่ตรงท้ายรถ ชายหนุ่มพอเดินลงมาจากรถแล้วก็เดินสะพายกระเป๋าเป้อ้อมไปทางด้านข้างรถฝั่งขวามือของตนเองซึ่งเป็นฝังคนขับ
ชายหนุ่มเดินตรงไปหยุดอยู่ด้านข้างประตูหน้ารถโดยสารฝั่งคนขับเพื่อรอจ่ายค่าโดยสาร ในขณะที่ยืนรออยู่นั้น
กระจกรถด้านข้างรถโดยสารฝั่งคนขับที่ติดฟิล์มกองแสงสีดำทึบก็ค่อยๆเลื่อนไหลลงมาอย่างช้าๆ พอเลื่อนลงมาได้ซักระยะหนึ่ง
ก็ปรากฏใบหน้าอันเหี่ยวย่นของชายคนขับรถวัยชราที่นั่งหันหน้าจ้องสายตามองมายังชายหนุ่ม ซึ่งยืนรอจ่ายเงินค่ารถโดยสารอยู่ข้างประตูรถด้านนอกพร้อมกับเสียงของชายหนุ่มเอยถามถึงราคาค่ารถโดยสารออกมาด้วยคำพูดอันสุภาพ
“ลุงครับค่ารถโดยสารเท่าไร ลุง”
พอสิ้นเสียงพูดอันสุภาพของชายหนุ่ม ลุงคนขับรถโดยที่นั่งจับจ้องสายตามายังชายหนุ่มก็เอยตอบคำถามของชายหนุ่มออกมาด้วยคำพูดสั้นๆเป็นกันเองอย่างสุภาพทันที
“สามสิบบาทไอ้หนุ่ม”
พอเอยตอบคำถามชายหนุ่มเสร็จ ลุงคนขับรถโดยสารก็เอยถามชายหนุ่มต่อออกมาอีกทีด้วยคำพูดที่สุภาพเป็นกันเอง
“ไอ้หนุ่มหน้าตาเองนี้มันคุ้นๆนะ ข้าเหมือนเคยเห็นเองที่ไหนมาก่อน”
พอจบคำพูดของชายคนขับรถโดยสาร ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างประตูรถโดยสารก็เอยตอบลุงคนขับรถโดยสารออกมาด้วยน้ำเสียงสีหน้ายิ้มแยมเป็นกันเองทันที
“ผมก็ไอ้นา ลูกพรานหมอกหมอยาประจำหมู่บ้านริมวังไงลุง ลุงจำผมไม่ได้หรอ”
ล้านนาที่ยืนอยู่ข้างประตูรถโดยสารเอยตอบคำถาม ลุงคนขับรถโดยสารออกมาพร้อมกับใช้มือล้วงลงไปยิบเอากระเป๋าสตางค์ที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลังออกมา
แล้วเปิดยิบเอาสตางค์แบงค์ยี่สิบบาทกับเหรียญอีกสิบบาทที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นจ่ายให้กับลุงคนขับรถโดยสารไปทันที ลุงคนขับรถโดยสารพอได้ยินล้านนาเอยพูดออกมาก็เอยตอบออกมาทันที
“อ๋อ ไอ้นาลูกพรานหมอกหมอยาประจำบ้านริมวังนี้เอง แล้วนี้เองหายหน้าหายตาไปไหนมาหลายปีเลยวะไอ้นา แล้วนี้ดูเองโตเป็นหนุ่มจนข้าจำเองแทบไม่ได้เลยนะ นี้ถ้าเองไม่บอกชื่อกับข้า ข้าก็คงจะจำเองไม่ได้ ไอ้นา”
ลุงคนขับรถโดยสาร พอได้รับเงินจาก ล้านนา พนาไพร แล้วเรียบร้อยก็เอยตอบล้านนาออกมา พร้อมกับค่อยหมุนกระจกข้างรถโดยสารขึ้นอย่างช้าๆ
จนขอบกระจกเลื่อนขึ้นไปชิดกับขอบประตูด้านบนและขับรถโดยสารประจำทางออกไปจากด้านหน้าศาลรับส่งผู้โดยสารที่อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านริมวังทันที
พอรถโดยสารขับเคลื่อนออกไปแล้ว ล้านนาที่ยืนอยู่ด้านหน้าศาลาก็เดินตรงเข้าไปตามถนนทางเข้าหมู่บ้านซึ่งเป็นถนนคอนกรีต
พอเดินไปได้ซักพักล้านนาก็เดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงขอบถนนแล้วยืนจ้องสายตามองไปยังป้ายชื่อหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางด้านฝั่งซ้ายมือของตัวเอง
ซึ่งเป็นแผ่นป้ายที่ทำจากแผ่นไม้สักทองที่ถูกยึดติดอยู่กับเสาไม้สองต้นไม่ใหญ่มาก ขนาดเส้นฝ่าศูนย์กลางสิบเซนติเมตร
ล้านนายืนจ้องมองพิจารณาป้ายชื่อหมู่บ้านอยู่ซักพักก็ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมกับเอยพูดกับตัวเองออกมาเบาๆทันที
“เฮย นี้กี่ปีแล้วที่เราไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนจะยังสบายดีกันอยู่ไหมนะ”
พอพูดจบล้านนาก็เอามือขวายกดึงกระซับสายกระเป๋าเป้ขึ้นหัวไหล่เบาๆแล้วหันขวาเดินตรงไปตามถนนทางเข้าหมู่บ้านไปทันที
ล้านนาที่เดินมาตามถนนทางเข้าหมู่ก็เดินมาจนใกล้จะถึงหัวตลาดกลางหมู่บ้าน และในขณะที่เขากำลังเดินมาถึง
เขาก็สังเกตเห็นกลุ่มคู่อริเก่าของตนเองกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ร้านขายของหน้าตลาดซึ่งมีหัวหน้ากลุ่มชื่อไอ้ก้าน คมพยัคฆ์
หัวหน้าคนงานดูดทรายของท่าทรายเสี่ยสมพล ก้านนั่งดื่มกินอยู่กับลูกน้องอีกสามคนที่ชื่อเชิด เทียนชัย ดำ พยัคฆ์ทมิฬ สิงห์ คำรามศึก
ซึ่งทั้งสามคนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับก้านผู้เป็นลูกพี่ ทั้งสี่คนพากันนั่งดื่มเหล้ากันไปพูดคุยส่งเสียงเอะอะโวยวายกันไปตามภาษาคนเมา
ล้านนาที่เดินมาถึงตรงหัวตลาดก็เดินมาหยุดยืนมองดูกลุ่มของก้านกับลูกน้องตรงหัวมุมตลาด พอยืนมองอยู่ซักพักก็ขยับเท้าเดินผ่านเข้าไปด้านในตลาด
เพื่อเดินเรียงกลุ่มของก้านกับลูกน้องที่เป็นคู่อริเก่า เข้าไปด้านในตลาดเพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังวัดวังนารามวัดประจำหมู่บ้าน
เขาเดินผ่านเข้าไปด้านในตลาดที่มีชาวบ้านพากันเดินจับจ่ายซื้อกับข้าวกับปลาและในระหว่างที่ล้านนากำลังเดินอยู่ในตลาดนั้น
เชิดที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อน ซึ่งหันหลังให้ร้านขายของ ก็ยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นกระดกดื่มและในขณะที่เชิดลดแก้วลงวางไว้กับโต๊ะหินอ่อน
สายตาของเชิดก็เหลือบไปมองเห็นล้านนาคู่อริเก่ากำลังเดินอยู่ด้านในตลาด พอเชิดมองเห็นล้านนาเชิดก็ยกมือขวาของตัวเองขึ้นมาขยี้ตาทั้งสองข้างของตนเอง
แล้วก็จ้องสายตามองกลับเข้าไปยังด้านในตลาดอีกรอบเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าใช่ล้านนาคู่อริเก่าของตนเองหรือไม่ พอเชิดจ้องมองอยู่ซักพัก
เชิดก็แน่ชัดแก่ใจแล้วว่าชายที่เดินอยู่ในตลาดนั้นเป็นล้านนาคู่อริเก่าแน่แล้ว เชิดก็เอื้อมใบหน้าของตนเองไปที่ข้างหูของก้านที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมกับยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วกระซิบบอกก้านลูกพี่ตนเองออกมาทันที
“พี่ๆ พี่ลองหันไปดูในตลาดสิพี่ว่าผมเห็นใครที่ในตลาด”
“ใครวะไอ้คนที่เองว่าไอ้เชิด”
ก้านเงยหน้าขึ้นมามองเชิดแล้วเอยถามเชิดที่เป็นลูกน้องของตนเองออกมาด้วยความมึนเมาอย่างงงๆสงสัยพร้อมกับยกแก้วเหล้าของตนเองที่ว่างอยู่บนโต๊ะด้านหน้าขึ้นมาจิบดื่ม
ก้าน พอเอยถามเชิดที่นั่งอยู่ด้านข้างของตนเองจบแล้ว เชิดที่นั่งฟังอยู่ก็เอามือยิบแก้วเหล้าของตนเองที่วางอยู่ด้านหน้าของตนเองขึ้นมาจิบดื่มแล้วเอยตอบคำถามของก้านผู้เป็นลูกพี่ออกมา
“ถ้าพี่อยากรู้พี่ก็หันไปดูเองสิจะได้รู้ว่าไอ้คนที่ผมบอกมันเป็นใคร”
“แล้วก็มันใครละวะไอ้เชิด”
ก้านพูดเอยตอบลูกน้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่มึนเมาแล้วก็หันหน้าไปมองด้านในตลาดตามที่เชิดผู้เป็นลูกน้องบอกอย่างช้าๆ พอหันไปมองแล้ว
ก้านก็มองเห็นล้านนา พนาไพรคู่อริเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย กำลังเดินอยู่ในตลาดและการมองเห็นล้านนาที่เดินอยู่ในตลาดมันก็ทำให้ก้านที่เมาอยู่หายซางเมาด้วยความโกสรแค้นทันที
ส่วนดำกับสิงห์ที่นั่งยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นมากระดกดื่มอยู่คนละฝั่งโต๊ะก็หันไปมองตามก้านผู้เป็นลูกพี่
พอดำมองเห็นล้านนาที่เดินอยู่ในตลาดก็หันกลับมามองหน้าก้านผู้เป็นลูกพี่พร้อมกับเอยถามความคิดเห็นของก้านออกมา
“พี่ นั้นมันไอ้นาคู่อริเก่าของเราสมัยเรียนมัธยมปลายนี้ พี่”
“ก็ใช่นะสิวะไอ้ดำ”
ก้านหันกลับมามองดำผู้เป็นลูกน้องแล้วเอยตอบออกมาด้วยเสียงสูงพร้อมกับใช่มือขวาของตนเองบีบแก้วเหล้าแน่นด้วยดวงตาที่แดงกำอย่างโกธร
แค้นฝังใจอยู่ด้านในแล้วยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นกระดกดื่มและวางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะหินอ่อนของร้านขายอย่างแรง
ตามด้วยคำพูดของดำที่นั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายมือของก้านผู้เป็นลูกพี่ของตนเองแล้วหันเอาใบหน้าของตนเองมาจ้องมองหน้าของก้านพร้อมกับเอยถามก้านผู้เป็นลูกพี่ออกมาอย่างสงสัย
“ตั้งแต่มันสึกจากเณรไปมันก็หาหน้าหายตาไปเลย แล้วนี้มันกลับมาทำไมอีกพี่”
“ก็นี้มันบ้านเกิดของมัน ยังไงมันก็ต้องกลับมาบ้านมันสิวะไอ้ดำ ไอ้โง่”
ก้านที่นั่งจองมองล้านนาอยู่อย่างตาไม่กระพริบก็หันหน้ากลับมามองดำลูกน้องของตนเองที่นั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายมือแล้วเอยพูดตะคอกใส่ดำลูกน้องของตนเองออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังรั้นไปทั่วร้านขายของด้านหน้าตลาด
พอพูดตะคอกใส่ดำแล้ว ก้านก็หันกลับไปจ้องมองล้านนาคู่อริเก่าของตนเองที่เดินอยู่ด้านในตลาดด้วยสายตาที่แดงก่ำจากฤทธิ์ของเหล้าที่เพิ่งยกกระดกดื่มไป
หลังจบคำพูดของก้าน เชิดที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนก็เอยพูดเสนอความคิดเห็นแทรกคำพูดของก้านผู้เป็นลูกพี่ของตนเองออกมาด้วยน้ำเสียงที่เร็วปรื๋อทันที
“ฉันว่านะพี่ ไหนๆมันก็กลับมาบ้านแล้ว ฉันว่าพวกเราพากันออกไปตอนรับการกลับมาของมันด้วยเท้าของพวกเรากันหน่อยไหมพี่”
“ความคิดดีวะไอ้เชิด มันเป็นความคิดที่ชาญฉลาดไม่เลวเลยวะ ข้าเห็นเองคิดได้ดีก็วันนี้ละวะไอ้เชิด ลุกโว้ย ไอ้เชิด ไอ้ดำ ไอ้สิงห์ข้าอยากจะออกกำลังกายมีเรื่องแล้วโว้ย”
ก้านหันไปพูดเอยชมเชิดพร้อมกับออกคำสั่ง กับเชิด ดำ สิงห์ลูกน้องทั้งสามคนออกมา
แล้วยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นมากระดกดื่มแล้วว่างมันลงไว้บนโต๊ะที่เดิมแล้วลุกยืนขึ้นพร้อมกับดินนำ เชิด ดำ สิงห์ ข้ามถนนไปยังตลาดที่อยู่อีกฝังทันที
เชิด ดำ สิงห์ ทั้งสามคนเมื่อเห็นก้านลูกพี่ของตนเองลุกเดินนำออกไปจากร้านขายของหน้าตลาดแล้วก็พากันลุกเดินตามหลังก้านลูกพี่ของตนเองไปทันที
ในขณะที่ดำเดินตามหลังก้านลูกพี่ของตนเองไปพร้อม เชิด กับ สิงห์ นั้น ดำก็เอยพูดออกมาด้วยความแค้นทันที
“ฉันก็อยากจะออกกำลังกายให้หายซ่างเมาอยู่พอดีเหมือนกันเดียวฉันจะอัดมันให้หายแค้นที่มันเคยอัดฉันเลยพี่”
ดำที่เดินย่างสามขุมเคียงคู่มากับเชิดได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ครับแคนใจ พอดำพูดจบ เชิด ดำ สิงห์ก็พากันเดินแยกออกไปเข้าตลาดคนละทางเพื่อล้อมดักหน้าดักหลังล้านนาที่เดินอยู่ในตลาดเอาไว้
ด้านในตลาดชาวบ้านที่กำลังเดินจับจ่ายซื่อกับข้าวกับปลาอยู่ต่างก็พากันเดินหลีกออกจากจุดที่ล้านนาเดินอยู่
ล้านนาที่รู้สึกถึงความผิดปกติของชาวบ้านในตลาดก็รู้ได้ทันทีว่าพวกของก้านพากันมาล้อมตนเองก็จึงทำการหยุดเดินอยู่ตรงกลางตลาด
พวกของก้าน เชิด ดำ สิงห์ที่เดินล้อมเข้ามาดักหน้าดักหลังดักข้างของล้านนาทั้งสี่ทิศตามซ่องทางเดินของตลาดท่ามกลางสายตาของพ่อค้าแม่ค้า
ที่นั่งขายของบริเวณนั้นกับชาวบ้านที่เดินหลีกออกไปยืนจับกลุ่มพูดคุยนินทาเป็นพวกไทยมุงถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นอยู่ห่างตามจุดต่างของตลาด
ทางด้านก้านหัวหน้ากลุ่มที่เดินเข้ามายืนกอดอกดักล้านนาอยู่ที่ซ่องทางเดินกลางตลาดฝั่งขวามือของล้านนาก็เอยพูดกับล้านนาออกมา
“เฮย ข้าก็นึกว่านักท่องเที่ยวที่ไหนหลงทางมาเดินเที่ยวตลาดที่แท้ก็ไอ้นาเพื่อนเก่าของเรานี้เอง ฮ้าๆๆ”
พอพูดจบก็หัวเราะเยอะเย้ยล้านนาออกมาด้วยเสียงที่ดังรั้นอย่างสระใจในคำพูดของตนเอง เชิด ดำ สิงห์ ที่เห็นก้านลูกพี่ของตนเองหัวเราะออกมาก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยตามหลังก้านออกมาทันที พอ เชิด ดำ สิงห์ พากันหยุดหัวเราะแล้ว ก้านที่ยืนกอดอกมองดูล้านนาอยู่ก็เอยพูดต่อออกมาทันที
“พวกกูก็นึกว่าตายห่าเข้าป่าช้าไปแล้ววะ ฮ้าๆๆๆ”
ก้านเอยพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะต่อท้าย ด้วยความสะใจ พอก้านพูดจบ เชิด ดำ สิงห์ ที่ยืนดักหน้าดักหลังดักข้างอยู่ก็หัวเราะตามก้านผู้เป็นลูกพี่ของตนเองออกมาเสียงดังลั่นบ้างเช่นกัน
ขุมทรัพย์แม่น้ำวัง บทที่ 1 ตอนที่ 1
ที่บริเวณด้านหน้าศาลารับส่งผู้โดยสาร ทรงไทยหลังเล็ก มุงด้วยหลังคาสังกะสีเก่าๆ ตั้งอยู่ริมทางด้านข้างถนนใหญ่ที่ตัดผ่านด้านหน้าหมู่บ้านริมวังฝั่งขวามือขาล่อง
รถโดยสารสองแถวประจำทางสีน้ำเงินคันหนึ่งที่ขับมาตามถนนใหญ่ ก็ขับวิ่งชะลอความเร็วมาอย่างช้าๆแล้วเลี้ยวขวาเข้ามาจอดเทียบตรงไหล่ทาง
ด้านหน้าศาลาทรงไทยรับส่งผู้โดยสาร ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ พอรถขับเข้ามาจอดเทียบหยุดสนิทตรงไหล่ทางด้านหน้าศาลาเรียบร้อยแล้ว
ที่ท้ายรถโดยสารที่มีผู้โดยสารนั่งอยู่ตรงเบาะหลังด้านในจำนวนสามคน ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างสันทัด ไว้ผมรองทรงใบหน้าคมเข้ม
สีหน้าดุดัน มีนัยน์ตากลมโตสีดำกิ๊บเหมือนดวงตาพญาราชสีห์ผิวเนื้อดำแดง ส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร
สัดส่วนรูปร่างหน้าอกไซส์แปดสิบสามเซนติเมตรสวมใส่เสื้อยืนคอวีสีขาวสวมเสื้อโครดสีดำพับแขนขึ้นมาเหนือข้อศอกทับไว้ด้านนอกเสื้อยืด สวมกางยีนลีวายขายาวทรงกระบอกสีน้ำเงิน
สวมใส่ร้องเท้าผ้าใบสีดำแถบขาวเหน็บแว่นตากันแดดเลนดำไว้ตรงขอบคอเสื้อด้านในสะพายกระเป๋าเป้เดินทางใบใหญ่สีดำคล้ายกระเป๋านักเรียนไว้ที่ไหล่ขวาก้าวเท้าเดินฝ่ากลุ่มผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านใน
ลงมายืนอยู่ตรงท้ายรถ ชายหนุ่มพอเดินลงมาจากรถแล้วก็เดินสะพายกระเป๋าเป้อ้อมไปทางด้านข้างรถฝั่งขวามือของตนเองซึ่งเป็นฝังคนขับ
ชายหนุ่มเดินตรงไปหยุดอยู่ด้านข้างประตูหน้ารถโดยสารฝั่งคนขับเพื่อรอจ่ายค่าโดยสาร ในขณะที่ยืนรออยู่นั้น
กระจกรถด้านข้างรถโดยสารฝั่งคนขับที่ติดฟิล์มกองแสงสีดำทึบก็ค่อยๆเลื่อนไหลลงมาอย่างช้าๆ พอเลื่อนลงมาได้ซักระยะหนึ่ง
ก็ปรากฏใบหน้าอันเหี่ยวย่นของชายคนขับรถวัยชราที่นั่งหันหน้าจ้องสายตามองมายังชายหนุ่ม ซึ่งยืนรอจ่ายเงินค่ารถโดยสารอยู่ข้างประตูรถด้านนอกพร้อมกับเสียงของชายหนุ่มเอยถามถึงราคาค่ารถโดยสารออกมาด้วยคำพูดอันสุภาพ
“ลุงครับค่ารถโดยสารเท่าไร ลุง”
พอสิ้นเสียงพูดอันสุภาพของชายหนุ่ม ลุงคนขับรถโดยที่นั่งจับจ้องสายตามายังชายหนุ่มก็เอยตอบคำถามของชายหนุ่มออกมาด้วยคำพูดสั้นๆเป็นกันเองอย่างสุภาพทันที
“สามสิบบาทไอ้หนุ่ม”
พอเอยตอบคำถามชายหนุ่มเสร็จ ลุงคนขับรถโดยสารก็เอยถามชายหนุ่มต่อออกมาอีกทีด้วยคำพูดที่สุภาพเป็นกันเอง
“ไอ้หนุ่มหน้าตาเองนี้มันคุ้นๆนะ ข้าเหมือนเคยเห็นเองที่ไหนมาก่อน”
พอจบคำพูดของชายคนขับรถโดยสาร ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างประตูรถโดยสารก็เอยตอบลุงคนขับรถโดยสารออกมาด้วยน้ำเสียงสีหน้ายิ้มแยมเป็นกันเองทันที
“ผมก็ไอ้นา ลูกพรานหมอกหมอยาประจำหมู่บ้านริมวังไงลุง ลุงจำผมไม่ได้หรอ”
ล้านนาที่ยืนอยู่ข้างประตูรถโดยสารเอยตอบคำถาม ลุงคนขับรถโดยสารออกมาพร้อมกับใช้มือล้วงลงไปยิบเอากระเป๋าสตางค์ที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลังออกมา
แล้วเปิดยิบเอาสตางค์แบงค์ยี่สิบบาทกับเหรียญอีกสิบบาทที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นจ่ายให้กับลุงคนขับรถโดยสารไปทันที ลุงคนขับรถโดยสารพอได้ยินล้านนาเอยพูดออกมาก็เอยตอบออกมาทันที
“อ๋อ ไอ้นาลูกพรานหมอกหมอยาประจำบ้านริมวังนี้เอง แล้วนี้เองหายหน้าหายตาไปไหนมาหลายปีเลยวะไอ้นา แล้วนี้ดูเองโตเป็นหนุ่มจนข้าจำเองแทบไม่ได้เลยนะ นี้ถ้าเองไม่บอกชื่อกับข้า ข้าก็คงจะจำเองไม่ได้ ไอ้นา”
ลุงคนขับรถโดยสาร พอได้รับเงินจาก ล้านนา พนาไพร แล้วเรียบร้อยก็เอยตอบล้านนาออกมา พร้อมกับค่อยหมุนกระจกข้างรถโดยสารขึ้นอย่างช้าๆ
จนขอบกระจกเลื่อนขึ้นไปชิดกับขอบประตูด้านบนและขับรถโดยสารประจำทางออกไปจากด้านหน้าศาลรับส่งผู้โดยสารที่อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านริมวังทันที
พอรถโดยสารขับเคลื่อนออกไปแล้ว ล้านนาที่ยืนอยู่ด้านหน้าศาลาก็เดินตรงเข้าไปตามถนนทางเข้าหมู่บ้านซึ่งเป็นถนนคอนกรีต
พอเดินไปได้ซักพักล้านนาก็เดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงขอบถนนแล้วยืนจ้องสายตามองไปยังป้ายชื่อหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางด้านฝั่งซ้ายมือของตัวเอง
ซึ่งเป็นแผ่นป้ายที่ทำจากแผ่นไม้สักทองที่ถูกยึดติดอยู่กับเสาไม้สองต้นไม่ใหญ่มาก ขนาดเส้นฝ่าศูนย์กลางสิบเซนติเมตร
ล้านนายืนจ้องมองพิจารณาป้ายชื่อหมู่บ้านอยู่ซักพักก็ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมกับเอยพูดกับตัวเองออกมาเบาๆทันที
“เฮย นี้กี่ปีแล้วที่เราไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนจะยังสบายดีกันอยู่ไหมนะ”
พอพูดจบล้านนาก็เอามือขวายกดึงกระซับสายกระเป๋าเป้ขึ้นหัวไหล่เบาๆแล้วหันขวาเดินตรงไปตามถนนทางเข้าหมู่บ้านไปทันที
ล้านนาที่เดินมาตามถนนทางเข้าหมู่ก็เดินมาจนใกล้จะถึงหัวตลาดกลางหมู่บ้าน และในขณะที่เขากำลังเดินมาถึง
เขาก็สังเกตเห็นกลุ่มคู่อริเก่าของตนเองกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ร้านขายของหน้าตลาดซึ่งมีหัวหน้ากลุ่มชื่อไอ้ก้าน คมพยัคฆ์
หัวหน้าคนงานดูดทรายของท่าทรายเสี่ยสมพล ก้านนั่งดื่มกินอยู่กับลูกน้องอีกสามคนที่ชื่อเชิด เทียนชัย ดำ พยัคฆ์ทมิฬ สิงห์ คำรามศึก
ซึ่งทั้งสามคนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับก้านผู้เป็นลูกพี่ ทั้งสี่คนพากันนั่งดื่มเหล้ากันไปพูดคุยส่งเสียงเอะอะโวยวายกันไปตามภาษาคนเมา
ล้านนาที่เดินมาถึงตรงหัวตลาดก็เดินมาหยุดยืนมองดูกลุ่มของก้านกับลูกน้องตรงหัวมุมตลาด พอยืนมองอยู่ซักพักก็ขยับเท้าเดินผ่านเข้าไปด้านในตลาด
เพื่อเดินเรียงกลุ่มของก้านกับลูกน้องที่เป็นคู่อริเก่า เข้าไปด้านในตลาดเพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังวัดวังนารามวัดประจำหมู่บ้าน
เขาเดินผ่านเข้าไปด้านในตลาดที่มีชาวบ้านพากันเดินจับจ่ายซื้อกับข้าวกับปลาและในระหว่างที่ล้านนากำลังเดินอยู่ในตลาดนั้น
เชิดที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อน ซึ่งหันหลังให้ร้านขายของ ก็ยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นกระดกดื่มและในขณะที่เชิดลดแก้วลงวางไว้กับโต๊ะหินอ่อน
สายตาของเชิดก็เหลือบไปมองเห็นล้านนาคู่อริเก่ากำลังเดินอยู่ด้านในตลาด พอเชิดมองเห็นล้านนาเชิดก็ยกมือขวาของตัวเองขึ้นมาขยี้ตาทั้งสองข้างของตนเอง
แล้วก็จ้องสายตามองกลับเข้าไปยังด้านในตลาดอีกรอบเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าใช่ล้านนาคู่อริเก่าของตนเองหรือไม่ พอเชิดจ้องมองอยู่ซักพัก
เชิดก็แน่ชัดแก่ใจแล้วว่าชายที่เดินอยู่ในตลาดนั้นเป็นล้านนาคู่อริเก่าแน่แล้ว เชิดก็เอื้อมใบหน้าของตนเองไปที่ข้างหูของก้านที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมกับยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วกระซิบบอกก้านลูกพี่ตนเองออกมาทันที
“พี่ๆ พี่ลองหันไปดูในตลาดสิพี่ว่าผมเห็นใครที่ในตลาด”
“ใครวะไอ้คนที่เองว่าไอ้เชิด”
ก้านเงยหน้าขึ้นมามองเชิดแล้วเอยถามเชิดที่เป็นลูกน้องของตนเองออกมาด้วยความมึนเมาอย่างงงๆสงสัยพร้อมกับยกแก้วเหล้าของตนเองที่ว่างอยู่บนโต๊ะด้านหน้าขึ้นมาจิบดื่ม
ก้าน พอเอยถามเชิดที่นั่งอยู่ด้านข้างของตนเองจบแล้ว เชิดที่นั่งฟังอยู่ก็เอามือยิบแก้วเหล้าของตนเองที่วางอยู่ด้านหน้าของตนเองขึ้นมาจิบดื่มแล้วเอยตอบคำถามของก้านผู้เป็นลูกพี่ออกมา
“ถ้าพี่อยากรู้พี่ก็หันไปดูเองสิจะได้รู้ว่าไอ้คนที่ผมบอกมันเป็นใคร”
“แล้วก็มันใครละวะไอ้เชิด”
ก้านพูดเอยตอบลูกน้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่มึนเมาแล้วก็หันหน้าไปมองด้านในตลาดตามที่เชิดผู้เป็นลูกน้องบอกอย่างช้าๆ พอหันไปมองแล้ว
ก้านก็มองเห็นล้านนา พนาไพรคู่อริเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย กำลังเดินอยู่ในตลาดและการมองเห็นล้านนาที่เดินอยู่ในตลาดมันก็ทำให้ก้านที่เมาอยู่หายซางเมาด้วยความโกสรแค้นทันที
ส่วนดำกับสิงห์ที่นั่งยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นมากระดกดื่มอยู่คนละฝั่งโต๊ะก็หันไปมองตามก้านผู้เป็นลูกพี่
พอดำมองเห็นล้านนาที่เดินอยู่ในตลาดก็หันกลับมามองหน้าก้านผู้เป็นลูกพี่พร้อมกับเอยถามความคิดเห็นของก้านออกมา
“พี่ นั้นมันไอ้นาคู่อริเก่าของเราสมัยเรียนมัธยมปลายนี้ พี่”
“ก็ใช่นะสิวะไอ้ดำ”
ก้านหันกลับมามองดำผู้เป็นลูกน้องแล้วเอยตอบออกมาด้วยเสียงสูงพร้อมกับใช่มือขวาของตนเองบีบแก้วเหล้าแน่นด้วยดวงตาที่แดงกำอย่างโกธร
แค้นฝังใจอยู่ด้านในแล้วยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นกระดกดื่มและวางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะหินอ่อนของร้านขายอย่างแรง
ตามด้วยคำพูดของดำที่นั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายมือของก้านผู้เป็นลูกพี่ของตนเองแล้วหันเอาใบหน้าของตนเองมาจ้องมองหน้าของก้านพร้อมกับเอยถามก้านผู้เป็นลูกพี่ออกมาอย่างสงสัย
“ตั้งแต่มันสึกจากเณรไปมันก็หาหน้าหายตาไปเลย แล้วนี้มันกลับมาทำไมอีกพี่”
“ก็นี้มันบ้านเกิดของมัน ยังไงมันก็ต้องกลับมาบ้านมันสิวะไอ้ดำ ไอ้โง่”
ก้านที่นั่งจองมองล้านนาอยู่อย่างตาไม่กระพริบก็หันหน้ากลับมามองดำลูกน้องของตนเองที่นั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายมือแล้วเอยพูดตะคอกใส่ดำลูกน้องของตนเองออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังรั้นไปทั่วร้านขายของด้านหน้าตลาด
พอพูดตะคอกใส่ดำแล้ว ก้านก็หันกลับไปจ้องมองล้านนาคู่อริเก่าของตนเองที่เดินอยู่ด้านในตลาดด้วยสายตาที่แดงก่ำจากฤทธิ์ของเหล้าที่เพิ่งยกกระดกดื่มไป
หลังจบคำพูดของก้าน เชิดที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนก็เอยพูดเสนอความคิดเห็นแทรกคำพูดของก้านผู้เป็นลูกพี่ของตนเองออกมาด้วยน้ำเสียงที่เร็วปรื๋อทันที
“ฉันว่านะพี่ ไหนๆมันก็กลับมาบ้านแล้ว ฉันว่าพวกเราพากันออกไปตอนรับการกลับมาของมันด้วยเท้าของพวกเรากันหน่อยไหมพี่”
“ความคิดดีวะไอ้เชิด มันเป็นความคิดที่ชาญฉลาดไม่เลวเลยวะ ข้าเห็นเองคิดได้ดีก็วันนี้ละวะไอ้เชิด ลุกโว้ย ไอ้เชิด ไอ้ดำ ไอ้สิงห์ข้าอยากจะออกกำลังกายมีเรื่องแล้วโว้ย”
ก้านหันไปพูดเอยชมเชิดพร้อมกับออกคำสั่ง กับเชิด ดำ สิงห์ลูกน้องทั้งสามคนออกมา
แล้วยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นมากระดกดื่มแล้วว่างมันลงไว้บนโต๊ะที่เดิมแล้วลุกยืนขึ้นพร้อมกับดินนำ เชิด ดำ สิงห์ ข้ามถนนไปยังตลาดที่อยู่อีกฝังทันที
เชิด ดำ สิงห์ ทั้งสามคนเมื่อเห็นก้านลูกพี่ของตนเองลุกเดินนำออกไปจากร้านขายของหน้าตลาดแล้วก็พากันลุกเดินตามหลังก้านลูกพี่ของตนเองไปทันที
ในขณะที่ดำเดินตามหลังก้านลูกพี่ของตนเองไปพร้อม เชิด กับ สิงห์ นั้น ดำก็เอยพูดออกมาด้วยความแค้นทันที
“ฉันก็อยากจะออกกำลังกายให้หายซ่างเมาอยู่พอดีเหมือนกันเดียวฉันจะอัดมันให้หายแค้นที่มันเคยอัดฉันเลยพี่”
ดำที่เดินย่างสามขุมเคียงคู่มากับเชิดได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ครับแคนใจ พอดำพูดจบ เชิด ดำ สิงห์ก็พากันเดินแยกออกไปเข้าตลาดคนละทางเพื่อล้อมดักหน้าดักหลังล้านนาที่เดินอยู่ในตลาดเอาไว้
ด้านในตลาดชาวบ้านที่กำลังเดินจับจ่ายซื่อกับข้าวกับปลาอยู่ต่างก็พากันเดินหลีกออกจากจุดที่ล้านนาเดินอยู่
ล้านนาที่รู้สึกถึงความผิดปกติของชาวบ้านในตลาดก็รู้ได้ทันทีว่าพวกของก้านพากันมาล้อมตนเองก็จึงทำการหยุดเดินอยู่ตรงกลางตลาด
พวกของก้าน เชิด ดำ สิงห์ที่เดินล้อมเข้ามาดักหน้าดักหลังดักข้างของล้านนาทั้งสี่ทิศตามซ่องทางเดินของตลาดท่ามกลางสายตาของพ่อค้าแม่ค้า
ที่นั่งขายของบริเวณนั้นกับชาวบ้านที่เดินหลีกออกไปยืนจับกลุ่มพูดคุยนินทาเป็นพวกไทยมุงถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นอยู่ห่างตามจุดต่างของตลาด
ทางด้านก้านหัวหน้ากลุ่มที่เดินเข้ามายืนกอดอกดักล้านนาอยู่ที่ซ่องทางเดินกลางตลาดฝั่งขวามือของล้านนาก็เอยพูดกับล้านนาออกมา
“เฮย ข้าก็นึกว่านักท่องเที่ยวที่ไหนหลงทางมาเดินเที่ยวตลาดที่แท้ก็ไอ้นาเพื่อนเก่าของเรานี้เอง ฮ้าๆๆ”
พอพูดจบก็หัวเราะเยอะเย้ยล้านนาออกมาด้วยเสียงที่ดังรั้นอย่างสระใจในคำพูดของตนเอง เชิด ดำ สิงห์ ที่เห็นก้านลูกพี่ของตนเองหัวเราะออกมาก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยตามหลังก้านออกมาทันที พอ เชิด ดำ สิงห์ พากันหยุดหัวเราะแล้ว ก้านที่ยืนกอดอกมองดูล้านนาอยู่ก็เอยพูดต่อออกมาทันที
“พวกกูก็นึกว่าตายห่าเข้าป่าช้าไปแล้ววะ ฮ้าๆๆๆ”
ก้านเอยพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะต่อท้าย ด้วยความสะใจ พอก้านพูดจบ เชิด ดำ สิงห์ ที่ยืนดักหน้าดักหลังดักข้างอยู่ก็หัวเราะตามก้านผู้เป็นลูกพี่ของตนเองออกมาเสียงดังลั่นบ้างเช่นกัน