บทนำ
ภายในห้องแกรนด์บอลรูมของโรงแรมหรูถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดโทนสีขาวและชมพู ดูสวยงามและหรูหราสมกับเป็นงานมงคลสมรสของลูกชายคนเล็กเจ้าของโรงแรม ภายในงานเต็มไปด้วยญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งผองเพื่อนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวตั้งแต่สมัยประถมยันเพื่อนสมัยทำงาน ที่ต่างก็พร้อมใจกันมาร่วมยินดีกับคู่บ่าวสาว ความรักและความอบอุ่นอบอวลไปทั่วบริเวณ
เจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวแบบเรียบหรูยืนเคียงข้างเจ้าบ่าวในชุดทักซิโด้สีกรมท่าอยู่บนเวที สีหน้าของทั้งสองนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข หลังถ่ายทอดเส้นทางความรักที่กว่าจะมีวันนี้ได้จบลง เสียงพิธีกรซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าบ่าวก็ดังขึ้น
“ต่อไปนี้เป็นเวลาที่สาวๆ รอคอยแล้วนะครับ นั่นก็คือการโยนช่อดอกไม้ ขอเสียงคนอยากเป็นเจ้าสาวคนต่อไปหน่อยครับ”
สิ้นเสียงพิธีกรรูปหล่อบนเวที บรรดาสาวโสดทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ก่อนออกไปยืนออกันแน่นที่ลานหน้าเวที พร้อมชูไม้ชูมือส่งสัญญาณให้เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้มาทางตน ไม่เว้นแม้แต่สาวแก่แม่ม่าย ที่ต่างก็ไปร่วมวงด้วยเพื่อให้เป็นสีสันของงาน
ขณะที่สาวๆ ส่วนใหญ่กำลังชุลมุนอยู่ที่หน้าเวที ‘ปาณฑรา’ หนึ่งในเพื่อนเจ้าสาวกลับกำลังวุ่นวายอยู่กับอาหารตรงหน้า
“ป้ะแป้ง ไปแย่งช่อดอกไม้เจ้าสาวกัน” วาสิตาสะกิดเรียกเพื่อนที่กำลังตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“แกไปเถอะวิว คนเยอะขนาดนั้น มันคงไม่เล็ดลอดมาถึงมือฉันหรอก”
“ห่วงกินตลอดเลยแกเนี่ย แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะมีผัวกับเขาสักทียะ พลาดวันนี้ไปก็ไม่รู้อีกเมื่อไหร่จะมีงานแต่งให้ได้ไปแย่งช่อดอกไม้แบบนี้อีก”
“โอ๊ยแก ถ้าดวงคนมันจะมีผัวน่ะนะ ถึงไม่ได้ช่อดอกไม้เจ้าสาวมันก็มี แต่ถ้าดวงคนมันจะไม่มีผัว ต่อให้รับช่อดอกไม้ได้ทุกงานมันก็ไม่มีอยู่ดี แล้วคนอย่างฉันก็เชื่อแบบแรกมากกว่า” พูดจบก็หันกลับไปสนใจกับอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าต่อ
“ความคิดแกแต่ละอย่างนี่นะ”วาสิตาพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับเพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยจะหือจะอือกับอะไรสักเท่าไร นอกจากเรื่องกิน
“งั้นฉันไปแย่งช่อดอกไม้ก่อนนะ เผื่อจะโชคดีได้มีผัวเหมือนคนอื่นเขาบ้าง” คนที่ยังเชื่อว่าการได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาว จะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปรีบเดินเร็วๆ เข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ บริเวณลานหน้าเวที
“ขอให้ได้ ขอให้โดนนะแก” ปาณฑราอวยพรไล่หลังพร้อมส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเพื่อนสนิท
คล้อยหลังวาสิตา ปาณฑราก็ตั้งใจจะไปตักอาหารเพิ่ม ขณะกำลังเดินผ่านกลุ่มสาวๆ ที่ออกันอยู่หน้าเวที ก็เป็นจังหวะที่เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้มาพอดี และดอกไม้ช่อนั้นก็ดันลอยละลิ่วมายังทิศทางที่เธอยืนอยู่ ส่งผลให้บรรดาสาวๆ ที่หวังจะเป็นผู้ครอบครองบูเก้ช่อนั้นต่างก็พุ่งตัวมาทางปาณฑราและชนเธอเข้าเต็มแรง จนหญิงสาวที่ไม่ทันตั้งตัวเซถลาไปชนเข้ากับร่างหนึ่งเข้าอย่างจัง
ปาณฑราคงจะล้มลงไปกองบนพื้นแล้วถ้าไม่ได้วงแขนแกร่งของบุรุษนิรนามช่วยประคองเธอไว้ และทันทีที่ได้สบตากับเจ้าของใบหน้าคมสัน หญิงสาวก็เบิกตาโพลง อ้าปากค้าง เหมือนตกตะลึงอะไรสักอย่าง หญิงสาวชะงักค้างอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจนชายผู้นั้นต้องสะกิดเรียก
“คุณครับ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสุภาพ เมื่อเห็นอาการเหมือนตกใจจนช็อคของหญิงสาว
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นข้างหูเรียกสติที่เตลิดไปไกลของปาณฑราให้กลับมา หญิงสาวรีบทรงตัวก่อนตอบ
“ปะ เปล่าค่ะ” เอ่ยตะกุกตะกักราวคนติดอ่าง “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันชนคุณเมื่อกี้ ฉันนี่ซุ่มซ่ามตลอดเลย”
“ไม่เป็นไรครับ อีกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ”
“ว่าแต่คุณเจ็บตรงไหนไหมคะ ฉันชนคุณซะแรงเลย” ถามพลางมองสำรวจไปตามร่างกายของเขา
“ไม่ครับ ผมไม่ได้บาดเจ็บอะไร” เขายังคงตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพตามเดิม
“ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ช่วยไม่ให้ฉันล้มเมื่อสักครู่”
“ครับ” เขาตอบรับพร้อมส่งยิ้มกระชากใจมาให้คู่สนทนา ก่อนจะเอ่ยขอตัว “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
ปาณฑรามองตามชายหนุ่มไปจนลับสายตา พร้อมกับกรีดร้องอยู่ในใจ ผู้ชายอะไรนอกจากจะหล่อแล้วยังดูสุภาพ น้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟัง หน้าตาก็คมเข้ม ตรงสเป็กเลย นี่แหละผู้ชายที่เธอเฝ้ารอมานาน นี่แหละคนที่จะมาเป็นพ่อของลูกเธอ
เพราะมัวแต่สนใจชายในฝัน ทำให้ปาณฑราไม่ทันได้มองว่ามีคนมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ และจังหวะที่กำลังหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะ เธอก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง ส่งผลให้ร่างบางเซเล็กน้อย ในขณะที่อีกฝ่ายยังยืนนิ่งไม่ไหวติง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอโทษ ก่อนจะรีบปรี่เข้าไปหาเพื่อนรักที่กำลังเดินมาหา
“แก...ฉันเจอเนื้อคู่แล้ว” ปาณฑราลากเสียงยาวพร้อมเขย่าแขนเพื่อนไปมาอย่างกระดี๊กระด๊า
“ไหน คนไหน” วาสิตาถามอย่างตื่นเต้นพลางชะเง้อคอมองไปโดยรอบ
“เพื่อนเจ้าบ่าวคนหล่อๆ ตัวสูงๆ ที่ยืนอยู่ตรงโน้นไง” หญิงสาวบุ้ยใบ้ไปยังกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวที่กำลังยืนคุยกันอยู่ที่จุดบริการเครื่องดื่ม
วาสิตาหยีตามองตามแต่ก็มองเห็นแค่เพียงรางๆ เพราะวันนี้เธอถอดแว่นตาหนาเตอะเก็บไว้ที่บ้าน แล้วเลือกใส่คอนแทคเลนส์แทน แต่ใส่ได้ไม่นานก็รู้สึกระคายเคือง หญิงสาวจึงตัดสินใจถอดคอนแทคเลนส์ออก จึงทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นของหญิงสาวลดลง
“วิว แกว่าการที่ผู้หญิงเข้าไปจีบผู้ชายก่อนมันน่าเกลียดหรือเปล่า แล้วเขาจะมองว่าเราแรดไหม” ถามเสียงจริงจังพร้อมทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่หรอก สมัยนี้ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน ขืนมัวแต่รอให้ผู้ชายเข้ามาจีบแกได้ขึ้นคานกันพอดี ดูสิปีนี้แกอายุเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่เพราะมัวแต่รอให้ผู้ชายเข้ามาจีบหรือไง ถึงยังโสดมาจนป่านนี้”
“จริงของแก”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักพลางมองไปยังหนุ่มในฝันที่กำลังยืนแจกรอยยิ้มกระชากใจให้กับคู่สนทนา
“วิวแกไปขอเบอร์ ขอไลน์ ขอเฟซบุ๊กเขาให้ฉันหน่อยสิ ฉันเขิน ไม่กล้าเข้าไปขอเอง” ปาณฑรากระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน หลังตัดสินใจได้แล้วว่าเธอจะลองเดินหน้าจีบผู้ชายดูสักครั้ง นานๆ สวรรค์จะส่งผู้ชายตรงสเป็กมาให้ ถ้าไม่รีบคว้าไว้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสแบบนี้อีกไหม
“เอาจริงเหรอวะแก” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้จักกันมาเป็นสิบปี เพื่อนเธอคนนี้เคยคิดจะเดินหน้าจีบผู้ชายเสียที่ไหน ไม่ว่าเธอจะเคยยุยังไงก็ปฏิเสธท่าเดียว
“จริงสิ” คนที่ตั้งใจแน่วแน่บอกเสียงหนักแน่น “อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะอายุครบสามสิบตามที่ได้ตกลงกับพ่อแม่เอาไว้แล้ว ถ้าไม่เอาจริงตอนนี้ ไม่ทันกาลแน่เลย”
หญิงสาวเท้าความไปถึงข้อตกลงระหว่างตนกับบิดามารดา ที่ตกลงกันไว้ว่าหากเธออายุครบสามสิบปีแล้วแต่ยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน เธอต้องยอมแต่งงานกับ ‘บุญฤทธิ์’ ลูกชายของเพื่อนบิดา ตามความประสงค์ของบุพการี ซึ่งเธอจะไม่มีวันยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แถมยังไม่เคยเจอหน้าค่าตากันมาก่อนแน่ๆ ฉะนั้นเพื่อให้หลีกหนีการคลุมถุงชนครั้งนี้ เธอจึงต้องรีบรุกจีบหนุ่มในฝันมาเป็นแฟนก่อนอายุครบสามสิบให้ได้
“ว่าแต่หล่อๆ แบบนี้เขาจะไม่มีเจ้าของแล้วเหรอวะแก” วาสิตาตั้งข้อสงสัย
ปาณฑรานิ่งคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย “แกลองถามเขาดูก่อนก็ได้ ถ้าเขาโสดแกค่อยขอ แต่ถ้าเขามีแฟนแล้วก็ไม่เป็นไร” เอ่ยเสียงเศร้าในประโยคสุดท้าย และได้แต่หวังว่าสวรรค์คงจะไม่ใจร้ายกับเธอเกินไป
“เร็วแก เขาจะเดินออกไปแล้ว” ปาณฑราเร่งเมื่อเห็นว่าชายในฝันกำลังจะเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไป
“เคๆ เดี๋ยวฉันจัดการให้” พูดจบวาสิตาก็รีบซอยเท้าตามร่างสูงที่เป็นเป้าหมายของเพื่อนไป
ขอฝากผลงานเรื่องใหม่ของคีตมินทร์ด้วยนะคะ
หัวใจพลิกล็อค...บทนำ
ภายในห้องแกรนด์บอลรูมของโรงแรมหรูถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดโทนสีขาวและชมพู ดูสวยงามและหรูหราสมกับเป็นงานมงคลสมรสของลูกชายคนเล็กเจ้าของโรงแรม ภายในงานเต็มไปด้วยญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งผองเพื่อนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวตั้งแต่สมัยประถมยันเพื่อนสมัยทำงาน ที่ต่างก็พร้อมใจกันมาร่วมยินดีกับคู่บ่าวสาว ความรักและความอบอุ่นอบอวลไปทั่วบริเวณ
เจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวแบบเรียบหรูยืนเคียงข้างเจ้าบ่าวในชุดทักซิโด้สีกรมท่าอยู่บนเวที สีหน้าของทั้งสองนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข หลังถ่ายทอดเส้นทางความรักที่กว่าจะมีวันนี้ได้จบลง เสียงพิธีกรซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าบ่าวก็ดังขึ้น
“ต่อไปนี้เป็นเวลาที่สาวๆ รอคอยแล้วนะครับ นั่นก็คือการโยนช่อดอกไม้ ขอเสียงคนอยากเป็นเจ้าสาวคนต่อไปหน่อยครับ”
สิ้นเสียงพิธีกรรูปหล่อบนเวที บรรดาสาวโสดทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ก่อนออกไปยืนออกันแน่นที่ลานหน้าเวที พร้อมชูไม้ชูมือส่งสัญญาณให้เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้มาทางตน ไม่เว้นแม้แต่สาวแก่แม่ม่าย ที่ต่างก็ไปร่วมวงด้วยเพื่อให้เป็นสีสันของงาน
ขณะที่สาวๆ ส่วนใหญ่กำลังชุลมุนอยู่ที่หน้าเวที ‘ปาณฑรา’ หนึ่งในเพื่อนเจ้าสาวกลับกำลังวุ่นวายอยู่กับอาหารตรงหน้า
“ป้ะแป้ง ไปแย่งช่อดอกไม้เจ้าสาวกัน” วาสิตาสะกิดเรียกเพื่อนที่กำลังตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“แกไปเถอะวิว คนเยอะขนาดนั้น มันคงไม่เล็ดลอดมาถึงมือฉันหรอก”
“ห่วงกินตลอดเลยแกเนี่ย แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะมีผัวกับเขาสักทียะ พลาดวันนี้ไปก็ไม่รู้อีกเมื่อไหร่จะมีงานแต่งให้ได้ไปแย่งช่อดอกไม้แบบนี้อีก”
“โอ๊ยแก ถ้าดวงคนมันจะมีผัวน่ะนะ ถึงไม่ได้ช่อดอกไม้เจ้าสาวมันก็มี แต่ถ้าดวงคนมันจะไม่มีผัว ต่อให้รับช่อดอกไม้ได้ทุกงานมันก็ไม่มีอยู่ดี แล้วคนอย่างฉันก็เชื่อแบบแรกมากกว่า” พูดจบก็หันกลับไปสนใจกับอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าต่อ
“ความคิดแกแต่ละอย่างนี่นะ”วาสิตาพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับเพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยจะหือจะอือกับอะไรสักเท่าไร นอกจากเรื่องกิน
“งั้นฉันไปแย่งช่อดอกไม้ก่อนนะ เผื่อจะโชคดีได้มีผัวเหมือนคนอื่นเขาบ้าง” คนที่ยังเชื่อว่าการได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาว จะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปรีบเดินเร็วๆ เข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ บริเวณลานหน้าเวที
“ขอให้ได้ ขอให้โดนนะแก” ปาณฑราอวยพรไล่หลังพร้อมส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเพื่อนสนิท
คล้อยหลังวาสิตา ปาณฑราก็ตั้งใจจะไปตักอาหารเพิ่ม ขณะกำลังเดินผ่านกลุ่มสาวๆ ที่ออกันอยู่หน้าเวที ก็เป็นจังหวะที่เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้มาพอดี และดอกไม้ช่อนั้นก็ดันลอยละลิ่วมายังทิศทางที่เธอยืนอยู่ ส่งผลให้บรรดาสาวๆ ที่หวังจะเป็นผู้ครอบครองบูเก้ช่อนั้นต่างก็พุ่งตัวมาทางปาณฑราและชนเธอเข้าเต็มแรง จนหญิงสาวที่ไม่ทันตั้งตัวเซถลาไปชนเข้ากับร่างหนึ่งเข้าอย่างจัง
ปาณฑราคงจะล้มลงไปกองบนพื้นแล้วถ้าไม่ได้วงแขนแกร่งของบุรุษนิรนามช่วยประคองเธอไว้ และทันทีที่ได้สบตากับเจ้าของใบหน้าคมสัน หญิงสาวก็เบิกตาโพลง อ้าปากค้าง เหมือนตกตะลึงอะไรสักอย่าง หญิงสาวชะงักค้างอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจนชายผู้นั้นต้องสะกิดเรียก
“คุณครับ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสุภาพ เมื่อเห็นอาการเหมือนตกใจจนช็อคของหญิงสาว
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นข้างหูเรียกสติที่เตลิดไปไกลของปาณฑราให้กลับมา หญิงสาวรีบทรงตัวก่อนตอบ
“ปะ เปล่าค่ะ” เอ่ยตะกุกตะกักราวคนติดอ่าง “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันชนคุณเมื่อกี้ ฉันนี่ซุ่มซ่ามตลอดเลย”
“ไม่เป็นไรครับ อีกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ”
“ว่าแต่คุณเจ็บตรงไหนไหมคะ ฉันชนคุณซะแรงเลย” ถามพลางมองสำรวจไปตามร่างกายของเขา
“ไม่ครับ ผมไม่ได้บาดเจ็บอะไร” เขายังคงตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพตามเดิม
“ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ช่วยไม่ให้ฉันล้มเมื่อสักครู่”
“ครับ” เขาตอบรับพร้อมส่งยิ้มกระชากใจมาให้คู่สนทนา ก่อนจะเอ่ยขอตัว “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
ปาณฑรามองตามชายหนุ่มไปจนลับสายตา พร้อมกับกรีดร้องอยู่ในใจ ผู้ชายอะไรนอกจากจะหล่อแล้วยังดูสุภาพ น้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟัง หน้าตาก็คมเข้ม ตรงสเป็กเลย นี่แหละผู้ชายที่เธอเฝ้ารอมานาน นี่แหละคนที่จะมาเป็นพ่อของลูกเธอ
เพราะมัวแต่สนใจชายในฝัน ทำให้ปาณฑราไม่ทันได้มองว่ามีคนมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ และจังหวะที่กำลังหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะ เธอก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง ส่งผลให้ร่างบางเซเล็กน้อย ในขณะที่อีกฝ่ายยังยืนนิ่งไม่ไหวติง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอโทษ ก่อนจะรีบปรี่เข้าไปหาเพื่อนรักที่กำลังเดินมาหา
“แก...ฉันเจอเนื้อคู่แล้ว” ปาณฑราลากเสียงยาวพร้อมเขย่าแขนเพื่อนไปมาอย่างกระดี๊กระด๊า
“ไหน คนไหน” วาสิตาถามอย่างตื่นเต้นพลางชะเง้อคอมองไปโดยรอบ
“เพื่อนเจ้าบ่าวคนหล่อๆ ตัวสูงๆ ที่ยืนอยู่ตรงโน้นไง” หญิงสาวบุ้ยใบ้ไปยังกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวที่กำลังยืนคุยกันอยู่ที่จุดบริการเครื่องดื่ม
วาสิตาหยีตามองตามแต่ก็มองเห็นแค่เพียงรางๆ เพราะวันนี้เธอถอดแว่นตาหนาเตอะเก็บไว้ที่บ้าน แล้วเลือกใส่คอนแทคเลนส์แทน แต่ใส่ได้ไม่นานก็รู้สึกระคายเคือง หญิงสาวจึงตัดสินใจถอดคอนแทคเลนส์ออก จึงทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นของหญิงสาวลดลง
“วิว แกว่าการที่ผู้หญิงเข้าไปจีบผู้ชายก่อนมันน่าเกลียดหรือเปล่า แล้วเขาจะมองว่าเราแรดไหม” ถามเสียงจริงจังพร้อมทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่หรอก สมัยนี้ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน ขืนมัวแต่รอให้ผู้ชายเข้ามาจีบแกได้ขึ้นคานกันพอดี ดูสิปีนี้แกอายุเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่เพราะมัวแต่รอให้ผู้ชายเข้ามาจีบหรือไง ถึงยังโสดมาจนป่านนี้”
“จริงของแก”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักพลางมองไปยังหนุ่มในฝันที่กำลังยืนแจกรอยยิ้มกระชากใจให้กับคู่สนทนา
“วิวแกไปขอเบอร์ ขอไลน์ ขอเฟซบุ๊กเขาให้ฉันหน่อยสิ ฉันเขิน ไม่กล้าเข้าไปขอเอง” ปาณฑรากระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน หลังตัดสินใจได้แล้วว่าเธอจะลองเดินหน้าจีบผู้ชายดูสักครั้ง นานๆ สวรรค์จะส่งผู้ชายตรงสเป็กมาให้ ถ้าไม่รีบคว้าไว้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสแบบนี้อีกไหม
“เอาจริงเหรอวะแก” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้จักกันมาเป็นสิบปี เพื่อนเธอคนนี้เคยคิดจะเดินหน้าจีบผู้ชายเสียที่ไหน ไม่ว่าเธอจะเคยยุยังไงก็ปฏิเสธท่าเดียว
“จริงสิ” คนที่ตั้งใจแน่วแน่บอกเสียงหนักแน่น “อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะอายุครบสามสิบตามที่ได้ตกลงกับพ่อแม่เอาไว้แล้ว ถ้าไม่เอาจริงตอนนี้ ไม่ทันกาลแน่เลย”
หญิงสาวเท้าความไปถึงข้อตกลงระหว่างตนกับบิดามารดา ที่ตกลงกันไว้ว่าหากเธออายุครบสามสิบปีแล้วแต่ยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน เธอต้องยอมแต่งงานกับ ‘บุญฤทธิ์’ ลูกชายของเพื่อนบิดา ตามความประสงค์ของบุพการี ซึ่งเธอจะไม่มีวันยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แถมยังไม่เคยเจอหน้าค่าตากันมาก่อนแน่ๆ ฉะนั้นเพื่อให้หลีกหนีการคลุมถุงชนครั้งนี้ เธอจึงต้องรีบรุกจีบหนุ่มในฝันมาเป็นแฟนก่อนอายุครบสามสิบให้ได้
“ว่าแต่หล่อๆ แบบนี้เขาจะไม่มีเจ้าของแล้วเหรอวะแก” วาสิตาตั้งข้อสงสัย
ปาณฑรานิ่งคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย “แกลองถามเขาดูก่อนก็ได้ ถ้าเขาโสดแกค่อยขอ แต่ถ้าเขามีแฟนแล้วก็ไม่เป็นไร” เอ่ยเสียงเศร้าในประโยคสุดท้าย และได้แต่หวังว่าสวรรค์คงจะไม่ใจร้ายกับเธอเกินไป
“เร็วแก เขาจะเดินออกไปแล้ว” ปาณฑราเร่งเมื่อเห็นว่าชายในฝันกำลังจะเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไป
“เคๆ เดี๋ยวฉันจัดการให้” พูดจบวาสิตาก็รีบซอยเท้าตามร่างสูงที่เป็นเป้าหมายของเพื่อนไป