ร่วมเรื่องเล่า ลี้ลับ

เรื่องที่1
ใครมาสะกิด
ผู้เล่าเรื่อง ชื่อ คุณคำดี  เป็นชายอายุ 40  มีอาชีพ ขับรถสิบล้อ 
ตอนนั้นเขาอายุ27ปี  งานโดยหลักๆจะขับสิบล้อจาก กรุงเทพ มุ่งหน้าไปสายอีสาน เป็นประจำ
ครั้งหนึ่ง มีงานพิเศษที่เขาต้องขับสิบล้อขึ้นเส้นทางเหนือ ซึ่งเขาจะไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก
ครั้งนี้คุณคำดีต้องขับรถไปส่งสินค้าที่โรงงานแห่งหนึ่ง และต้องทิ้งรถไว้ที่นั้น
ส่วนตัวเองก็ต้องรอนั่งรถขนส่งของบริษัทตัวเองกลับ กรุงเทพอีกที
ฟังๆดูแล้วก็ไม่ใช่งานยากเท่าไหร่
เป็นที่ทราบกันดีว่า
คนขับสิบล้อแทบทุกคนมักจะมีเครื่องลางของขลังติดตัวกันไว้แทบทุกคน
แต่ด้วยความที่ ได้เปลี่ยนรถขับกระทันหัน
เครื่องลางที่แขวนไว้ตรงกระจกมองหลัง ที่รถคันเก่งจึงไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย
พอขับออกมาได้กว่าสิบกิโลแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ ว่าลืมเอามาด้วย
แต่ตอนนั้น ด้วยความที่คุณคำดี อาจจะอายุยังไม่มาก
ยังไม่เจนจัดประสบการณ์ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
"แค่คืนเดียว คงไม่เป็นอะไรหรอก"
ขับมาได้นานพอดู ท้องฟ้าก็เริ่มมามืดช่วงที่เข้าเส้นกำแพงเพชร
คุณคำดีเลยจอดแวะหาอะไรทานมื้อค่ำ
เพราะกะว่าจากนี้ไป จะขับยาวไม่พักแล้ว
ช่วงที่ไปแวะพักในปั๊ม  ซึ่งเป็นปั้มสุดท้ายที่จะออกจากตัวเมืองแล้ว
หลังจากทานข้าวเสร็จเดินกลับมาที่รถ
แล้วก็นั่งพักเล่นอยู่รอบๆรถตรงนั้น อยู่ๆก็มี คนจูงช้างผ่านมา
คุณคำดีเล่าว่า มองดูผ่านๆก็เหมือนคนจูงช้างมาขายอาหารช้างตามปกติ
ช้างก็ตัวไม่ใหญ่ น่าจะเป็นช้างรุ่นๆอยู่
คุณคำดีไม่ได้ใส่ใจอะไร จนทั้งคนทั้งช้างเดินผ่านคุณคำดีไป
แต่สักพัก พอนั่งดูโน่นดูนี่เล่นเรื่อยเปื่อย มองไปดูตรงหน้าปั๊มอีกที
เห็นมีคนที่เขาเอารถสิบล้อมาจอดพักอยู่แถวนี้
กำลังพากันไปยืนมุงดูอะไรกันอยู่ ตรงที่คนจูงช้างเดินผ่านไป
พอเห็นแบบนั้น ด้วยความสงสัย คุณคำดีก็เลยเดินไปดูบ้าง
ปรากฏว่า ที่เขากำลังมุงดูกันอยู่นั้น ก็คือ ควาญช้างกำลังขายของขลังนั่นเอง
พอไปยืนฟังควาญช้างบรรยายสรรพคุณอยู่สักพัก
คุณคำดีก็ตัดสินใจ บูชามาชุดหนึ่ง
อย่างน้อยก็ขอให้มีติดตัวไว้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจหน่อยก็ยังดี
หลังจากได้ของขลังจากควาญช้างแล้ว
คุณคำดีก็ขับรถต่อไป จนไปถึงที่โรงงานก็ประมาณเกือบ เที่ยงคืนได้
ที่โรงงานเขาจะมีห้องพักเล็กๆให้สำหรับพนักงานขับรถที่มาถึงกะกลางคืนได้พักกัน 
พอเสร็จธุระจากโรงงานแล้ว น้องผู้หญิงที่อยู่กะกลางคืน ยื่นกุญแจห้องให้
ชี้ไปทางบ้านหลังมืดๆ
ที่อยู่ห่างไปทางรั้วด้านหลังโรงงาน
คุณคำดีเดินไปตามทางที้พนักงานหญิงคนนั้นบอก
พอไปถึง ก็เห็นสภาพเป็นบ้านไม้เก่าๆ
มีบันไดเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง มองไปที่ชั้นสองก็มีประตูอยู่หลายบานเหมือนกัน
ข้างล่างมีของอะไรน้อยใหญ่วางอยู่เกลื่อนไปหมด
แต่ถัดจากบันไดทางขึ้นไปไม่ไกลก็มีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ
คุณคำดีเล่าต่อว่า
ผมมองขึ้นไปที่ระเบียงชั้นสอง
ด้วยความที่ตรงนั้นมันไม่มีแสงไฟอะไรเลย
ระเบียงทะมึนทะมึน ทำให้ผมเย็นสันหลังวาบ
ทั้งหลังมีแค่ไฟนิออนหลอดเดียวที่ติดอยู่แถวทางขึ้นบันไดเท่านั้น
คุณคำดีเดินไปหยุดอยู่ตรงทางขึ้นบันได
พอเอากุญแจที่พนักงานหญิงส่งให้ ขึ้นมาดู
มันก็มีป้ายเล็กๆติดอยู่กับกุญแจ เขียนว่า 3H
คุณคำดี ค่อยๆเดินขึ้นไปที่ชั้นสองช้าๆ
พอถึงตรงระเบียง แสงจากโรงงานไกลๆ ยังพอทำให้มองเห็นเลขที่ห้อง
ที่แปะไว้อยู่เหนือประตู ห้องแรก 1H 
แสดงว่า  ถัดจาก นี้ไปสองห้องน่าจะเป็น 3H 
พอไปถึงหน้าห้อง3H คุณคำดีก็รีบไขกุญแจเข้าไปในห้อง อย่างไม่รอช้า 
แต่ปรากฏว่ามันไขไม่ได้ กุญแจไม่ยอมเปิด
จนสักพัก เห็นว่ามันน่าจะเป็นกุญแจคนละดอกแน่แล้ว
คุณคำดีก็เลยเดินลงมา กะว่าจะเอากุญแจไปเปลี่ยน
ช่วงเดินลงมาถึงตรงที่แสงไฟนิออนเปิดอยู่ 
คุณคำดี ก็เริ่มได้ยินเสียงคนเดิน ตึงตังเบาๆ อยู่ไม่ไกลจากห้อง 3H 
สงสัย ที่ไปไขกุญแจอยู่พักใหญ่เมื่อกี้จะทำเสียงดังให้ข้างๆห้องตื่น 
พอคุณคำดีกำลังจะเดินกลับไปที่โรงงาน ตอนนั้นก็เลยเอากุญแจขึ้นมาดูอีกทีหนึ่ง 
เห็นป้ายเขียนว่า  3H   แล้วพอพลิกป้ายกลับไปดูด้านหลัง
มันเขียนว่า 8H
อ้าว
ผมก็ตกใจสิ  มันทำไมมีสองตัวเลข
คุณคำดีกล่าว
แล้วแกก็พยามมองดูป้ายนั้นดีๆ ถึงเห็นว่าตรงเลข 3H
มันก็คือ เลข 8 นั้นเอง แต่สีมันลอก เลยมองเห็นเป็น 3H
 คุณคำดีเลยตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปใหม่
เดินผ่านแต่ละห้อง มองผ่านแสงสลัว สลัว ไปที่ประตู
ห้องที่1 ล็อคด้วยแม่กุญแจ
ห้องที่สองก็ล็อคด้วยแม่กุญแจ
เดินผ่านไปเรื่อยๆทุกห้องถูกล็อคด้วยแม่กุญแจหมด
จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้อง  8H
คุณคำดีก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อกี้ห้องไหนมีคนตื่น 
พอหันไปดูห้องต่อไป มันเป็นห้องที่ 9 แล้ว
และก็เป็นจุดสิ้นสุดระเบียง
ห้องนั้นก็ล็อคด้วยแม่กุญแจเหมือนกัน
เฮ้ย.. บ้านทั้งหลังไม่มีใครอยู่เลยสักคนหรือนี่
คุณคำดีเล่าว่า ตอนนั้นผมขนลุกไปหมดเลย ได้แต่กำของขลังที่ห้อยอยู่ตรงคอไว้แน่น
พอตั้งหลักได้ แกก็รีบไขกุญแจห้องอย่างไว
พอเข้าไปในห้องได้
แล้วเปิดไฟในห้อง แสงสว่างเริ่มทำให้คลายความวิตกลงไปได้บ้าง
มองไปดูรอบๆห้อง  เป็นห้องไม่ใหญ่มาก
มีเตียงที่เป็นเตียงไม้กระดานหนาๆ ไม่มีอะไรปู
วางหันหัวมาทางระเบียง
ที่ปลายเท้าหันไปทางหลังห้องที่เป็นหน้าต่างอยู่บานเดียว
ข้างๆเตียงที่ติดกับผนังมีพัดลมโคจรเก่าๆติดอยู่กับเสาตรงกลางเตียงพอดี
แต่ที่พัดลมมันมีแต่ใบพัดแบบทำด้วยเหล็ก
ไม่มีตะแกรงครอบปิดเหมือนพัดลมทั่วไป
มันคงเก่ามากจริงๆอะ
ที่หน้าต่างมีเก้าอี้พับเก่าๆพิงอยู่
ข้างๆประตูตรงสวิทช์ไฟมีโต๊ะไม้วางอยู่ตัวหนึ่ง
นอกนั้นไม่มีอะไรเลย
คุณคำดี บอกว่า พอเข้าไปในห้องได้สักพัก ก็รู้สึกว่าข้างในห้องมันร้อนมาก
ก็เลยเดินไปเปิดหน้าต่าง แล้วก็เปิดพัดลมที่อยู่ตรงเสาข้างๆเตียง
ข้างในไม่มีหมอน คุณคำดีก็เอากระเป๋ามาหนุนหัวนอน
ด้วยความที่ตอนนั้นบรรยากาศมันค่อนข้างหลอนมากๆ
คุณคำดีแกก็เปิดไฟนอน
จนเคลิ้มหลับไป
มารู้สึกตัวอีกที ตอนรู้สึกว่า
หัวแกสะเทือนขึ้นลง เหมือนมีใครกำลังเดินอยู่ตรงระเบียง
แล้วไม้กระดานมันสั่น
คุณคำดีก็เลยรีบลุกขึ้นมานั่งฟังว่า
มีใครเดินขึ้นมา จะมาไขกุญแจห้องเหมือนแกหรือเปล่า
แต่พอลุกขึ้นมานั่งแล้ว
ปรากฏว่าเสียงเดินก็เงียบไป แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงใครไขกุญแจอะไรเลย
รอจนแน่ใจแล้วไม่มีใครไขกุญแจแน่
คุณคำดีแกก็เลยตัดสินใจ เปิดประตูออกไปดูตรงหน้าระเบียงทางเดิน
พอเปิดประตูออกไปดู
ปรากฏว่า
ไม่มีใครอยู่ที่ระเบียงเลย มองไปที่ประตูข้างๆ ก็ยังล็อคกุญแจอยู่เหมือนเดิม
คุณคำดีก็รีบกลับเข้าห้องอย่างไม่รอรี
แล้วก็พยายามข่มตาให้หลับต่อ
พอหลับไป  คราวนี้หลับสนิทมาก จนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
แล้วก็มาสะดุ้งตื่น ตอนมีคนมาสะกิดที่ไหล่แก
คุณคำดีเล่าว่า มันเหมือนมีคนมาสะกิดไหลแก หลายๆที่ เหมือนจะมาปลุกให้ตื่น
พอแกลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆตัว ก็ไม่เห็นมีใครเลย
แต่ความรู้สึกที่มีคนมาสะกิดที่ไหล่แรงๆ ยังรู้สึกถึงแรงสัมผัสอยู่เลย
แกได้แต่นอนเหงือแตก ท่วมไปทั้งตัว 
ได้แต่สงสัย  ว่ามันคืออะไร
พอมองดูนาฬิกา ก็เกือบๆจะตีห้าแล้ว
แกก็เลยตัดสินใจเดินลงไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำข้างล่าง
พอลงไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายอยู่สักพัก
คุณคำดีก็กลับเข้าไปที่ห้อง
พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง มองไปที่เตียง
เท่านั้นแหละ แกบอกว่า
นี่ถ้าแกไม่ตื่นแล้วลงไปเข้าห้องน้ำข้างล่าง นะ  แกคงได้แผลอะไรสักที่แน่
เพราะสิ่งที่คุณคำดีเห็น ก็คือ
ใบพัดลมที่เป็นเหล็ก มันตกลงมาจากแกนพัดลม แล้วมากองอยู่ตรงกลางเตียงพอดี
พอเห็นแบบนั้น แกก็เอาของขลังที่คอ ออกมาดูอีกที
ไม่รู้ว่าใช่สิ่งนี้หรือเปล่านะ ที่มาสะกิตแกให้ตื่น
แต่แกจำความรู้สึกวันนั้นได้ดีเลย มันเหมือนมีมือคนมาสะกิดปลุกแกให้ตื่นจริงๆ
พอเห็นท่าไม่ดี แกก็รีบเก็บข้าวของ ไม่ยอมนอนต่อ  รีบไปนั่งรอ รถกลับที่โรงงานทันที
พอไปถึงโรงงาน คนน้อยมากไม่รู้ไปไหนกันหมด
เห็นแต่ รปภ ก็เลยไปนั่ง คุยเล่นกับ รปภ
แล้วคุณคำดีก็เล่าให้ รปภ. ฟังว่า นี่นอนไม่ได้เลย เจอผีหลอกมา
รปภ. ก็ถามว่าที่บ้านพักใช่ไหม
แล้วแกก็ยิ้ม
รปภ. ก็เล่าให้คุณคำดีฟังว่า 
สองสามเดือนก่อน คนขับสิบล้อชื่อจง เขาเสียชีวิตอยู่ที่บ้านพักหลังนั้นแหละ
เป็นโรคประจำตัวเสียชีวิต
พอรับสมัครคนขับรถคนใหม่ ใครมาอยู่พักที่บ้านหลังนั้น ก็อยู่ไม่ทนสักราย 
นี่ก็ยังขาดคนขับรถอยู่เลย
อ๋อ พอฟังลุง รปภ.เล่าจบ แกถึงรู้เลยว่า
ทำไม แกต้องขับรถมาให้โรงงานนี้ แทนชั่วคราว

เรื่องที่2
เห็นเต็มบ้าน
เรื่องนี้เล่าโดย น้องเป้ ปัจจุบันอายุ 28 
น้องเป้ เล่าว่า เป้เป็นเด็กผู้หญิงห่ามๆ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับเท่าไหร่นัก
"ตอนนั้นเรียนอยู่มหาลัยปี2 แล้วมีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด"
เป็นเพื่อนสนิท ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับเล่าทุกอย่างให้ฟังได้ 
แต่สาเหตุที่อยากไปเที่ยวบ้านเพื่อนตอนนั้น
น่าจะเป็นเพราะ อยากเห็นบรรยากาศต่างจังหวัดบ้างว่าจะเป็นยังไง
จวบกับเพื่อนมันชวนไปทำบุญที่หมู่บ้านมันด้วย
พอไปถึงที่บ้านเพื่อน มันก็เป็นบรรยากาศแบบค่อนข้างจะกันดานพอสมควร 
เพื่อนไม่เคยเล่าแบ็คกราวด์ที่บ้านมันให้เป้ฟังเท่าไหร่
ตอนนั้นไปถึงบ้านเพื่อนก็ช่วงเย็นๆ  ยังไม่ทันได้สวัสดีใครในบ้านเลย 
นอกจากยายของเพื่อน  
เพื่อนมันก็ชวนออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้ว
เพื่อนมันพาไปหาคนรู้จักที่อยู่แถวบ้านของมัน แล้วก็พาไปกินของแปลกๆ
อย่าง พวก เล็บวัวน้อย  กุดจี่  ยำต้นข่า 
ต้มงู ปิ้งเขียด ไข่มดแดง อะไรแบบนี้ 
จนกว่าจะได้กลับเข้าบ้านมันอีกทีก็สองสามทุ่มแล้ว
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ 
เพื่อนมันก็พามานอนอยู่ที่ห้องนอนชั้นล่าง 
ก็ไม่มีอะไร
พอปูที่นอน กางมุ้งเสร็จ หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลย
มาตื่นขึ้นกลางดึกตอนรู้สึก ปวดท้องบิด เหมือนจะปวดหนัก
ตื่นมา ในห้องมันมืดมาก  
ด้วยความที่ เป็นคนขี้เกรงใจ ก็เลยไม่อยากปลุกเพื่อน 
ห้องน้ำก็อยู่ในบ้าน ไม่ไกลอะไร
เดินเปิดประตูออกไป
แล้วก็เลี้ยวไปทางหลังบ้าน ก็เจอห้องน้ำแล้ว
นึกได้แบบบนั้น เป้ก็ตัดสินใจมุดมุ้งออกไป แล้วค่อยๆเดินไปเปิดประตูห้อง
พอเปิดประตูออกไป
ก็ปรากฏว่า ที่โถงหน้าห้องตรงนั้นไฟยังเปิดอยู่ ไม่ได้มืดเหมือนห้องที่เป้นอน
แต่เป้ ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย ที่เห็นญาติๆของเพื่อน ยังไม่นอน 
นั่งใส่ชุดลิเก เช็ดหน้าเช็ดตากันอยู่ตามโต๊ะยาวๆ ข้างๆผนัง
ทุกคนหันมามองเป้ เป็นตาเดียวกัน
เป้ได้แต่ยิ้มให้แบบแหยๆ เกรงใจก็เกรงใจ ปวดท้องก็ปวดท้อง
ผงกหัวขอโทษทีหนึ่ง ก่อนจะเดินเลี้ยวไปทางหลังบ้าน เพื่อเข้าห้องน้ำ
พอได้เข้าห้องน้ำสมใจเป้ 
ช่วงที่กำลังปลดทุกข์อยู่นั้น อยู่ๆเป้ก็ได้ยินเสียงหมาหอนแว่วๆมา
เสียงมันอยู่ไกลๆแบบไม่ชัดเท่าไหร่
แต่ก็เป็นเสียงที่เย็นยะเยือกจนทำให้เป้ขนลุกได้
สักพัก 
เป้ก็ได้ยินเสียงขันพลาสติกขูดไปกับพื้นดังออกมาจากห้องข้างๆ
เสียงเหมือนคนตักน้ำในตุ่มที่น้ำกำลังหมดตุ่มแล้ว
พอเป้ทำธุระเสร็จ กำลังจะออกมาจากห้องน้ำ 
แล้วก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงออกมาจากห้องข้างๆ 
เป็นเสียงผู้หญิง แบบก้องกังวาน 
สงสัยญาติของเพื่อนคงอาบน้ำอยู่
เดินไป ในใจก็คิดไป ญาติของเพื่อนกลับจากเล่นลิเกกันหรือ
ทำไมเพื่อนไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่าบ้านมันเล่นลิเกกันทั้งบ้าน
พอเดินผ่านโถงตรงนั้น ก็เห็นญาติเพื่อนนั่งกันอยู่เหมือนเดิม 
เป้ไม่ได้มองอะไรมาก รีบก้มหน้าก้มตากลับเข้าห้องไป
แล้วก็นอนหลับต่อ
จนถึงเช้า 
ช่วงสายๆ พากันนั่งทานข้าวเช้ากันอยู่
มียายกับแม่ของเพื่อนมานั่งทานด้วย
เป้ก็เลยถามเพื่อนไปว่า
พวกน้าๆเอ็งเขาจะตื่นกันกี่โมง แล้วกลับดึกแบบนี้ทุกวันเลยหรือ
เพื่อนมองหน้าเป้ แบบ งงๆ
ถามว่า น้าคนไหน 
นี่ทั้งบ้านก็มีอยู่กันแค่สามคนแค่นี้ จะมีใครอีกหละ
พอเพื่อนบอกแบบนี้  เป้ก็เหวอเลย
ก็เลยเล่าให้เพื่อนฟังว่าเมื่อคืนปวดท้องเข้าห้องน้ำกลางดึก
ตื่นมาเจอคนแต่งชุดลิเกนั่งกันเต็มโถงตรงนี้เลย
พอเพื่อนได้ฟัง เพื่อนก็ตกใจ ถามเป้ว่า เห็นด้วยหรือ
แล้วแม่เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า
บ้านหลังนี้เมื่อก่อนเคยให้ คณะลิเก คณะหนึ่งมาเช่า
เช่าอยู่หลายปี จนมีวันหนึ่ง
รถลิเกคณะนั้นก็ประสบอุบัติเหตุ พลิกคว่ำ ทำให้เสียชีวิตกันทั้งคณะเลย
พอเป้ได้ฟัง
ภาพแววตาที่เป้หันไปสพตากับเขาเหล่านั้นตอนกลางดึก
ก็แว๊บขึ้นมาในหัวเป้ ทันทีเลย
ขนแขนลุกเกลียว ตัวเย็นเฉียบ ไล่ไปถึงแผ่นหลัง อย่างฉับพลัน
พอถามเพื่อนกับแม่เพื่อนว่า แล้วไม่เห็นกันบ้างหรือ
แม่เพื่อนก็บอกว่าเคยเห็น แต่พอจุดธูปบอกว่าต่างคนต่างอยู่นะ เขาก็ไม่ค่อยมาให้เห็นแล้ว
โปรดติดตามฯ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่