............. ผู้คนในชุดแต่งดำไว้ทุกข์ ในคืนสวดอภิธรรมศพของคุณยายเศรษฐินีกับหลานชาย
ที่เสียชีวิตกะทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งให้สะใภ้สาวเป็นหม้ายไว้ครองทรัพย์มรดกก้อนโตแต่เพียงผู้เดียว
ข้างร่างอันไร้วิญญาณ ญาติคอยส่งขันน้ำให้แขกที่ต่อแถวรดน้ำศพ สะใภ้สาวไม่อาจทนรับกับการสูญเสียได้
เอามือปิดหน้าร้องไห้ วิ่งลงจากศาลาไป ญาติที่เหลือต่างรีบตามไปปลอบใจ
การตายของคู่ยายหลานมันเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ มีเสียงซุบซิบนินทาในที่ลับตา
เกี่ยวกับข่าวลือพฤติกรรมของผู้เป็นสะใภ้เรื่องชู้สาว ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุร้าย
หลายครั้งที่ญาติฝ่ายสามี ได้พบเห็นชายหนุ่มลึกลับในชุดนักศึกษาปรากฏตัวอยู่ในบ้านที่ไม่อาจจับได้ไล่ทัน
มูลเหตุของการหวาดระแวงของฝ่ายสามี จนนำไปสู่การทะเลาะถึงขั้นขอหย่าร้าง
เรื่องไม่ทันดำเนินการไปถึงไหน ก็มีเหตุสามีรวมทั้งญาติผู้ใหญ่มีอันเป็นไปขึ้นเสียก่อน
ตำรวจเองไม่สามารถชี้มูลรถยนต์พลิกคว่ำจากอุบัติเหตุ
หรือการจงใจกลั่นแกล้งจนนำไปสู่การเสียชีวิต
คงได้แต่รอผลของการพิสูจน์หลักฐานต่อไป
ที่ต่างสะเทือนใจคือคุณนายบุญเรือน ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมไปด้วย
ท่านสุขภาพย่ำแย่ด้วยโรคภัยรุมเร้า ได้แต่พักฟื้นอยู่ที่บ้าน
เมื่อหลานชายว่างก็จะพาไปปฏิบัติธรรมตามสำนักสงฆ์ในต่างจังหวัดอยู่เป็นนิจ
ก่อนเป็นภาพสุดท้ายที่คนในบ้านได้เห็นทั้งสองคน
ผู้คนยังคงทยอยเข้ามาภายในศาลาวัดอย่างเนืองแน่น
พวงหรีดถูกยกมาอย่างรีบเร่งก่อนพระขึ้นอาสน์ ด้วยผู้ตายครั้งที่มีชีวิตอยู่
เป็นเศรษฐีใจบุญชอบช่วยเหลือสังคม ทำธุรกิจค้าส่งรายใหญ่
โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าใหญ่น้อยภายในจังหวัด
ที่ลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะความเอื้อเฟื้อของคุณนาย
ในลานวัดมีตอไม้เก่าผุพังของต้นทองกวาว รถยนต์ของผู้มาร่วมงานศพ
ขับขี่ไม่ระวังเหยียบมันเข้าพลันพังสลาย ทองกวาวที่มีมาตั้งแต่สมัยเริ่มก่อสร้างวัด ยังเป็นผืนนาฟ้าโล่ง
ยามข้าวออกรวงเป็นสีทองอร่าม กาลต่อมาได้กลายเป็นชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม
คุณนายบุญเรือนเป็นผู้มีใจใฝ่บุญอยู่ในศีลธรรม ได้กว้านซื้อที่ดินผืนนี้ แล้วทำการก่อสร้างศาสนสถานขึ้น
ด้านนอกศาลามีต้นไม้ร่มครึ้ม ความร่มรื่นเช่นนี้
กลางคืนกลับดูมืดและวังเวง ผู้คนในชุดสีดำเดินสวนทางกับหญิงสาวนางหนึ่ง
เธอสวมชุดไทยประยุกต์สีขาวทำให้ดูโดดเด่น ใบหน้ารูปไข่
เส้นผมดำเป็นมันเงาในทรงบ๊อบสั้นแค่คอ ดูสวยเก๋แต่เรียบง่าย
มีผ้าแพรหรือผ้าห่มสไบเฉียงทับตัวเสื้ออีกที นุ่งโจงกระเบน สวมถุงเท้าและรองเท้าส้นสูง
ทำให้ดูสง่าเลอค่างามอย่างไทย ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้รับตำแหน่งนางงามประจำตำบลมาแล้ว
กาลเวลาเปลี่ยนไป ความงามเช่นนี้กลับหาได้มีใครสนใจอีกไม่
เธอทอดสายตาดูผู้คนที่เดินสวนทางมา แม้จะเจอคนรู้จักกัน พยายามกวักมือเรียก
เขาและเธอเหล่านั้นหาได้สนใจ ไม่แม้จะเหลียวหันมามอง
ช่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางผู้คน
“บุญเรือน...” เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่ม ขานเรียกนามนี้มาจากด้านหลัง
ในที่สุดก็มีคนจดจำเธอได้แล้วพอหันไปตามน้ำเสียงทางต้นศรีมหาโพธิ์
ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวใจกลางลานวัด แผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาครึ้ม บดบังแสงจันทร์นวลผ่อง ในคืนพระจันทร์เต็มดวง
ร่างของชายหนุ่มนักศึกษาคนนั้นแม้จะมองเห็นได้ไม่ชัด พอมองออกร่างสันทัดผิวสองสี กำลังกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ
ราวถือสนิทยิ่ง น้ำเสียงเรียกขานชื่อของเธอ คล้ายแว่วมาตามลม ทำให้รู้สึกเยือกเย็นยิ่งนัก
ใครกันผู้ชายคนนั้น สำเนียงช่างคุ้นหูเหลือเกิน บุญเรือนพลันนึกทบทวนเหมือนเคยเจอในความฝัน
หรือในกาลเวลาที่ผ่านมานานแสนนาน ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างบอกไม่ถูกจนอดยิ้มตอบรับไม่ได้
“สน นั่นเพื่อนใช่ไหม” เธอจำเขาได้แล้ว มิมีใครเลย ที่มีสำเนียงเหน่อแบบสุพรรณได้น่าฟังเช่นนี้
กริ่ง กริ่ง กริ่ง ยามเมื่อลมพัดกระดิ่งชายคาอุโบสถ ส่งเสียงประสานแหลมดัง
เสียงยิ่งถี่แหลมขึ้นเมื่อลมหอบใหญ่พัดกิ่งไม้โยกครืน ใบไม้ปลิดปลิวจากขั้ว ฝุ่นผงม้วนคลีตลบฟุ้ง
เมฆที่บดบังพระจันทร์กำลังจะเคลื่อนผ่าน ทำให้แสงนวลใยจับใบหน้าคมสัน ของชายไทยในชุดนักศึกษา
เขาเดินอย่างองอาจเข้ามาใกล้เธอทุกที เส้นผมที่หวีเรียบชโลมด้วยน้ำมันจนขึ้นเงา จมูกโด่ง ผิวเนื้อขำคม
เวลายิ้มทำให้ดูมีเสน่ห์ ตามแบบฉบับลูกชาวนา ที่กรำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน มาตั้งแต่วัยเยาว์
แม้ยามโตเป็นหนุ่มอาจหาญไม่กลัวเกรงใคร
“สน...ใช่สนจริงๆ ด้วย” เธอยิ้มอย่างโล่งอก
มืออันหยาบกร้านของสนเข้ามาประคองใบหน้าสวยหวาน ราวกับเป็นชายคู่รักเธอหลบมืออย่างขวยเขิน
แม้หน้าของเขาจะดำแต่ยิ้มทีเห็นฟันขาว เพราะใช้ใบข่อยแตะเกลือขัดฟัน
นานแค่ไหนเธอไม่มีวันลืม เจ้าของรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์คนนี้ได้เลย
ทำให้น้ำตามันเอ่อล้นมาโดยไม่รู้ตัว ความคิดถึงมันประดาประดังเข้ามา
จนดวงใจน้อยๆ ไม่อาจจะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้
ริมฝีปากที่กำลังจะสัมผัสแก้มขาว บุญเรือนสำนึกได้ ตนเองแต่งงานมีสามีแล้ว เป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม
การแสดงความรักกับชายอื่นเป็นสิ่งที่ผิด ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่เธอก้าวถอยห่างออกมาอย่างสงวนตัว
“ไม่นะ...อย่าเข้ามา เราไม่ควรทำเช่นนี้”
“บุญเรือน!..” เขาคำราม คราวนี้เข้ามากางแขนกอดรวบรุกประชิดตัว
จมูกซุกซอนตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย เหมือนอยากจะกลืนกินหญิงสาวไปทั้งตัว
“อย่านะ! ได้โปรดที่นี่มันในวัดนะ”
“บุญเรือน ฉันคอยเพื่อนนานเหลือเกิน นานเกินจะทนไหวแล้ว”
สองแขนแข็งแรงรั้งเอวคอดเอาไว้ เธออ่อนระทวยราวกับเทียนต้องไฟลน
ปล่อยกายใจให้เขา ใช้ริมฝีปากซุกซอนไปตามผิวกายเนียนนุ่ม สมดังใจปรารถนา
มือหยาบกร้านงานหนักมาตลอด เล้าโลมทั่วจุดกระสัน ลมหายใจขาดห้วงเป็นระยะ
ก่อนที่อารมณ์ของทั้งคู่จะถลำเข้าสู่ห้วงลึก ของอำนาจตัณหา
เสียงพระสงฆ์บนศาลา ให้ศีลโยมเริ่มดังขึ้น แว่วมากระทบโสตของทั้งคู่
กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณีปะทัง สะมาทิยามิ...
“เธอได้ยินไหมสน เรากำลังทำผิดนะ”
เธอเอามือผลักใบหน้าของเขาออกไป หลุดพ้นออกมาได้ด้วยความรู้สึกผิดบาปยิ่งนัก
สนแยกเขี้ยวด้วยความไม่พอใจ มองตามหญิงสาวไปบนศาลา
ภาพพระสงฆ์กำลังตั้งหน้า เปล่งเสียงสวดพระคาถา ที่ไม่เป็นมงคลหูเอาเสียเลย
มือหยาบจับคางของเธอให้มองเฉพาะแต่เขาเท่านั้น
“อย่าไปฟังคำพวกโล้นห่มเหลือง พร่ำเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผิดศีลกาเมอะไรกัน ผิดลูกผิดเมียใครกัน
เป็นพระก็อยู่ส่วนพระสิ โลกของเรามันไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ขอเพียงมีใจรัก อยากจะทำอะไรก็ทำ
เวลานี้มีเพียงเราเท่านั้น เมื่อเจ้าคนนั้นมันตายไป ความรักของเราจะไม่มีใครมาขวางได้อีก
ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้ว!”
ยามนี้มันควรอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว
มิใช่เวลามารื้อฟื้น ความสัมพันธ์แต่หนหลังกับคนรักเก่า ศพบนศาลาพึ่งจะสวดคืนแรก
ทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง บุญเรือนต่อว่าต่อขานแรง กำปั้นน้อยทุบตีอกของเขา
ด้วยอำนาจแรงกายที่เหนือกว่า คว้าข้อมือไว้ได้กอดรวบร่างบางไว้อีกครั้ง บรรจงจูบคราบน้ำตาที่แก้มขาว
เวลาแห่งการรอคอย มันเนิ่นนานจนเกินกว่าจะควบคุม ความต้องการไว้ได้อีกแล้ว
สนรู้ว่าน้ำตาของบุญเรือนหลั่งออกมา จากความรู้สึกสับสน ในจิตสำนึกบอกว่ากำลังทำผิด
คนที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัว ที่เลี้ยงดูอบรมมาอย่างดี ตลอดชีวิตได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนในสังคม
และนั่นเป็นสิ่ง ที่ผูกรั้งยึดเหนี่ยวความรู้สึกนึกคิดจิตใจของเธอ เอาไว้อย่างแน่นหนา
การจะทลายมโนคติเหล่านี้ มีแต่จะต้องรื้อฟื้นความรักในอดีตเท่านั้น
จึงจะทำลายโซ่แห่งความผูกพัน ไปสู่ที่สุดแห่งกาลเวลา
และการรอคอยที่เนิ่นนาน มันจะถึงกาลสิ้นสุด
สุสานทองกวาว ฉบับอ่านเอง และเสียงบรรยาย
ที่เสียชีวิตกะทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งให้สะใภ้สาวเป็นหม้ายไว้ครองทรัพย์มรดกก้อนโตแต่เพียงผู้เดียว
ข้างร่างอันไร้วิญญาณ ญาติคอยส่งขันน้ำให้แขกที่ต่อแถวรดน้ำศพ สะใภ้สาวไม่อาจทนรับกับการสูญเสียได้
เอามือปิดหน้าร้องไห้ วิ่งลงจากศาลาไป ญาติที่เหลือต่างรีบตามไปปลอบใจ
การตายของคู่ยายหลานมันเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ มีเสียงซุบซิบนินทาในที่ลับตา
เกี่ยวกับข่าวลือพฤติกรรมของผู้เป็นสะใภ้เรื่องชู้สาว ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุร้าย
หลายครั้งที่ญาติฝ่ายสามี ได้พบเห็นชายหนุ่มลึกลับในชุดนักศึกษาปรากฏตัวอยู่ในบ้านที่ไม่อาจจับได้ไล่ทัน
มูลเหตุของการหวาดระแวงของฝ่ายสามี จนนำไปสู่การทะเลาะถึงขั้นขอหย่าร้าง
เรื่องไม่ทันดำเนินการไปถึงไหน ก็มีเหตุสามีรวมทั้งญาติผู้ใหญ่มีอันเป็นไปขึ้นเสียก่อน
ตำรวจเองไม่สามารถชี้มูลรถยนต์พลิกคว่ำจากอุบัติเหตุ
หรือการจงใจกลั่นแกล้งจนนำไปสู่การเสียชีวิต
คงได้แต่รอผลของการพิสูจน์หลักฐานต่อไป
ที่ต่างสะเทือนใจคือคุณนายบุญเรือน ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมไปด้วย
ท่านสุขภาพย่ำแย่ด้วยโรคภัยรุมเร้า ได้แต่พักฟื้นอยู่ที่บ้าน
เมื่อหลานชายว่างก็จะพาไปปฏิบัติธรรมตามสำนักสงฆ์ในต่างจังหวัดอยู่เป็นนิจ
ก่อนเป็นภาพสุดท้ายที่คนในบ้านได้เห็นทั้งสองคน
ผู้คนยังคงทยอยเข้ามาภายในศาลาวัดอย่างเนืองแน่น
พวงหรีดถูกยกมาอย่างรีบเร่งก่อนพระขึ้นอาสน์ ด้วยผู้ตายครั้งที่มีชีวิตอยู่
เป็นเศรษฐีใจบุญชอบช่วยเหลือสังคม ทำธุรกิจค้าส่งรายใหญ่
โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าใหญ่น้อยภายในจังหวัด
ที่ลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะความเอื้อเฟื้อของคุณนาย
ในลานวัดมีตอไม้เก่าผุพังของต้นทองกวาว รถยนต์ของผู้มาร่วมงานศพ
ขับขี่ไม่ระวังเหยียบมันเข้าพลันพังสลาย ทองกวาวที่มีมาตั้งแต่สมัยเริ่มก่อสร้างวัด ยังเป็นผืนนาฟ้าโล่ง
ยามข้าวออกรวงเป็นสีทองอร่าม กาลต่อมาได้กลายเป็นชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม
คุณนายบุญเรือนเป็นผู้มีใจใฝ่บุญอยู่ในศีลธรรม ได้กว้านซื้อที่ดินผืนนี้ แล้วทำการก่อสร้างศาสนสถานขึ้น
ด้านนอกศาลามีต้นไม้ร่มครึ้ม ความร่มรื่นเช่นนี้
กลางคืนกลับดูมืดและวังเวง ผู้คนในชุดสีดำเดินสวนทางกับหญิงสาวนางหนึ่ง
เธอสวมชุดไทยประยุกต์สีขาวทำให้ดูโดดเด่น ใบหน้ารูปไข่
เส้นผมดำเป็นมันเงาในทรงบ๊อบสั้นแค่คอ ดูสวยเก๋แต่เรียบง่าย
มีผ้าแพรหรือผ้าห่มสไบเฉียงทับตัวเสื้ออีกที นุ่งโจงกระเบน สวมถุงเท้าและรองเท้าส้นสูง
ทำให้ดูสง่าเลอค่างามอย่างไทย ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้รับตำแหน่งนางงามประจำตำบลมาแล้ว
กาลเวลาเปลี่ยนไป ความงามเช่นนี้กลับหาได้มีใครสนใจอีกไม่
เธอทอดสายตาดูผู้คนที่เดินสวนทางมา แม้จะเจอคนรู้จักกัน พยายามกวักมือเรียก
เขาและเธอเหล่านั้นหาได้สนใจ ไม่แม้จะเหลียวหันมามอง
ช่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางผู้คน
“บุญเรือน...” เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่ม ขานเรียกนามนี้มาจากด้านหลัง
ในที่สุดก็มีคนจดจำเธอได้แล้วพอหันไปตามน้ำเสียงทางต้นศรีมหาโพธิ์
ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวใจกลางลานวัด แผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาครึ้ม บดบังแสงจันทร์นวลผ่อง ในคืนพระจันทร์เต็มดวง
ร่างของชายหนุ่มนักศึกษาคนนั้นแม้จะมองเห็นได้ไม่ชัด พอมองออกร่างสันทัดผิวสองสี กำลังกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ
ราวถือสนิทยิ่ง น้ำเสียงเรียกขานชื่อของเธอ คล้ายแว่วมาตามลม ทำให้รู้สึกเยือกเย็นยิ่งนัก
ใครกันผู้ชายคนนั้น สำเนียงช่างคุ้นหูเหลือเกิน บุญเรือนพลันนึกทบทวนเหมือนเคยเจอในความฝัน
หรือในกาลเวลาที่ผ่านมานานแสนนาน ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างบอกไม่ถูกจนอดยิ้มตอบรับไม่ได้
“สน นั่นเพื่อนใช่ไหม” เธอจำเขาได้แล้ว มิมีใครเลย ที่มีสำเนียงเหน่อแบบสุพรรณได้น่าฟังเช่นนี้
กริ่ง กริ่ง กริ่ง ยามเมื่อลมพัดกระดิ่งชายคาอุโบสถ ส่งเสียงประสานแหลมดัง
เสียงยิ่งถี่แหลมขึ้นเมื่อลมหอบใหญ่พัดกิ่งไม้โยกครืน ใบไม้ปลิดปลิวจากขั้ว ฝุ่นผงม้วนคลีตลบฟุ้ง
เมฆที่บดบังพระจันทร์กำลังจะเคลื่อนผ่าน ทำให้แสงนวลใยจับใบหน้าคมสัน ของชายไทยในชุดนักศึกษา
เขาเดินอย่างองอาจเข้ามาใกล้เธอทุกที เส้นผมที่หวีเรียบชโลมด้วยน้ำมันจนขึ้นเงา จมูกโด่ง ผิวเนื้อขำคม
เวลายิ้มทำให้ดูมีเสน่ห์ ตามแบบฉบับลูกชาวนา ที่กรำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน มาตั้งแต่วัยเยาว์
แม้ยามโตเป็นหนุ่มอาจหาญไม่กลัวเกรงใคร
“สน...ใช่สนจริงๆ ด้วย” เธอยิ้มอย่างโล่งอก
มืออันหยาบกร้านของสนเข้ามาประคองใบหน้าสวยหวาน ราวกับเป็นชายคู่รักเธอหลบมืออย่างขวยเขิน
แม้หน้าของเขาจะดำแต่ยิ้มทีเห็นฟันขาว เพราะใช้ใบข่อยแตะเกลือขัดฟัน
นานแค่ไหนเธอไม่มีวันลืม เจ้าของรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์คนนี้ได้เลย
ทำให้น้ำตามันเอ่อล้นมาโดยไม่รู้ตัว ความคิดถึงมันประดาประดังเข้ามา
จนดวงใจน้อยๆ ไม่อาจจะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้
ริมฝีปากที่กำลังจะสัมผัสแก้มขาว บุญเรือนสำนึกได้ ตนเองแต่งงานมีสามีแล้ว เป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม
การแสดงความรักกับชายอื่นเป็นสิ่งที่ผิด ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่เธอก้าวถอยห่างออกมาอย่างสงวนตัว
“ไม่นะ...อย่าเข้ามา เราไม่ควรทำเช่นนี้”
“บุญเรือน!..” เขาคำราม คราวนี้เข้ามากางแขนกอดรวบรุกประชิดตัว
จมูกซุกซอนตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย เหมือนอยากจะกลืนกินหญิงสาวไปทั้งตัว
“อย่านะ! ได้โปรดที่นี่มันในวัดนะ”
“บุญเรือน ฉันคอยเพื่อนนานเหลือเกิน นานเกินจะทนไหวแล้ว”
สองแขนแข็งแรงรั้งเอวคอดเอาไว้ เธออ่อนระทวยราวกับเทียนต้องไฟลน
ปล่อยกายใจให้เขา ใช้ริมฝีปากซุกซอนไปตามผิวกายเนียนนุ่ม สมดังใจปรารถนา
มือหยาบกร้านงานหนักมาตลอด เล้าโลมทั่วจุดกระสัน ลมหายใจขาดห้วงเป็นระยะ
ก่อนที่อารมณ์ของทั้งคู่จะถลำเข้าสู่ห้วงลึก ของอำนาจตัณหา
เสียงพระสงฆ์บนศาลา ให้ศีลโยมเริ่มดังขึ้น แว่วมากระทบโสตของทั้งคู่
กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณีปะทัง สะมาทิยามิ...
“เธอได้ยินไหมสน เรากำลังทำผิดนะ”
เธอเอามือผลักใบหน้าของเขาออกไป หลุดพ้นออกมาได้ด้วยความรู้สึกผิดบาปยิ่งนัก
สนแยกเขี้ยวด้วยความไม่พอใจ มองตามหญิงสาวไปบนศาลา
ภาพพระสงฆ์กำลังตั้งหน้า เปล่งเสียงสวดพระคาถา ที่ไม่เป็นมงคลหูเอาเสียเลย
มือหยาบจับคางของเธอให้มองเฉพาะแต่เขาเท่านั้น
“อย่าไปฟังคำพวกโล้นห่มเหลือง พร่ำเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผิดศีลกาเมอะไรกัน ผิดลูกผิดเมียใครกัน
เป็นพระก็อยู่ส่วนพระสิ โลกของเรามันไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ขอเพียงมีใจรัก อยากจะทำอะไรก็ทำ
เวลานี้มีเพียงเราเท่านั้น เมื่อเจ้าคนนั้นมันตายไป ความรักของเราจะไม่มีใครมาขวางได้อีก
ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้ว!”
ยามนี้มันควรอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว
มิใช่เวลามารื้อฟื้น ความสัมพันธ์แต่หนหลังกับคนรักเก่า ศพบนศาลาพึ่งจะสวดคืนแรก
ทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง บุญเรือนต่อว่าต่อขานแรง กำปั้นน้อยทุบตีอกของเขา
ด้วยอำนาจแรงกายที่เหนือกว่า คว้าข้อมือไว้ได้กอดรวบร่างบางไว้อีกครั้ง บรรจงจูบคราบน้ำตาที่แก้มขาว
เวลาแห่งการรอคอย มันเนิ่นนานจนเกินกว่าจะควบคุม ความต้องการไว้ได้อีกแล้ว
สนรู้ว่าน้ำตาของบุญเรือนหลั่งออกมา จากความรู้สึกสับสน ในจิตสำนึกบอกว่ากำลังทำผิด
คนที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัว ที่เลี้ยงดูอบรมมาอย่างดี ตลอดชีวิตได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนในสังคม
และนั่นเป็นสิ่ง ที่ผูกรั้งยึดเหนี่ยวความรู้สึกนึกคิดจิตใจของเธอ เอาไว้อย่างแน่นหนา
การจะทลายมโนคติเหล่านี้ มีแต่จะต้องรื้อฟื้นความรักในอดีตเท่านั้น
จึงจะทำลายโซ่แห่งความผูกพัน ไปสู่ที่สุดแห่งกาลเวลา
และการรอคอยที่เนิ่นนาน มันจะถึงกาลสิ้นสุด