พระนคร
กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗
ธิดา ที่คิดถึง
ภายในสามเดือนข้างหน้า พี่จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางครอบครัวพี่ได้หมั้นหมายไว้ให้
ขอให้เธอจงลืมพี่เสียเถิด เราคงไม่ได้ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันมา
ชาตินี้เราถึงไม่ได้มาอยู่ครองคู่กัน ขอโทษที่พี่ไม่สามารถทำตามคำสัญญาที่อยากทำให้อย่างที่หัวใจต้องการได้
อย่าโกรธตัวเอง ถ้าจะโกรธก็จงโกรธพี่ ความผิดทั้งหมดขอยอมรับมันมาเป็นของพี่เองแต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งพี่ก็ไม่อาจร้องขอให้เธอยกโทษให้ หวังแต่เพียงว่าเธอคงจะได้มีอนาคตใหม่ที่ดี
และเจอคนที่ดีและมีความสมบูรณ์เพรียบพร้อมมากกว่าพี่นิตย์คนนี้
นี่คงเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่พี่จะเขียนถึงเธอ
ลาก่อน
วินิจ
ไม่มีแม้คำลงท้ายที่เคยเขียนไว้ว่า รักและคิดถึงเสมอ
เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ที่พึงกระทำได้เพื่อเธอ
อันเป็นที่รัก เป็นรักเดียวและรักครั้งแรกของเรา
หยดน้ำตาที่หยดรดลงในส่วนท้ายจดหมายพร้อมลายมือที่สั่นเทา
ของชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษๆค่อยๆขยับมือจับดินสอและขยับออกจากจดหมาย
ที่เขียนไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร ร่องรอยยางลบสีตุ่นๆและเศษยางลบจำนวนมาก
อยู่ข้างๆกระดาษแผ่นนั้น แสดงถึงความผิดพลาดในการเขียนครั้งแล้วครั้งเล่า
เป็นเพราะใจที่สับสนจนไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงคำพูดใดๆออกมาได้ให้เหมือนอย่างที่ใจต้องการ
รอยด่างที่ส่วนล่างคล้ายหยดน้ำตาของผู้เขียน ได้รินรดลงไป
แม้จะเหือดแห้งไปเหมือนหัวใจคนเขียน
แต่ยังมีร่องรอยความพองของกระดาษเมื่อโดนความชื้นอย่างเห็นได้ชัด
หากแต่เพียงว่าน้ำตาถ้ามันมีสีแดงเหมือนเลือดที่กลั่นออกมาจากหัวใจของคนเขียน
กระดาษจดหมายฉบับนี้คงจะหาที่ว่างให้ตัวหนังสือได้แทรกลงไปไม่ได้เลย
จดหมาย ที่เขียนส่งถึงรุ่นน้องในละแวกบ้านเดียวกันสมัยมัธยมศึกษา
ซึ่งเป็นหญิงสาวในชั้นเรียนสมัยมัธยมต้นคนหนึ่ง
คนที่เราได้ฝากหัวใจเพียงคนเดียวเสมอมา
ความเรียบร้อยน่ารัก ทำให้เราเองถูกชะตากับเธอเป็นอย่างมาก
แต่ขนบประเพณีในยุคนั้น ไม่สามารถแสดงออกอะไรจนเกินงาม
ไปกว่าการกล่าวทักทายในโรงเรียนตามมารยาทที่พึงกระทำได้แค่นั้น
การเดินทางไปโรงเรียนก็มีเพียงทางเรือตามคลองหลักๆ
แล้วก็เดินตามกันจากท่าเรือไปถึงโรงเรียน แยกกันเป็นกลุ่มหญิงชายอย่างเรียบร้อย
มิได้ปะปนกันแม้แต่นิดเดียว การแสดงออกต่างๆอยู่ในสายตาของคุณครูประจำโรงเรียนอย่างเข้มงวด
แม้จะเข้าวัยวัยรุ่นในสมัยนั้น ซึ่งช่างแตกต่างกันมากตามกาลเวลามาเมื่อเทียบกับสมัยนี้
การที่จะไปเกี้ยวพาราสีในเชิงคำพูดหยอกล้อ สมัยนี้คงเป็นการแซวก็ไม่มีการเกินเลยด้วยวาจา
ภาพของเด็กสาวรุ่นน้องนั่งเรือมาท่าทางหวาดระแวงเพราะเพิ่งย้ายตามครอบครัวมาศึกษาต่อที่พระนคร
และยังไม่คุ้นชินการขึ้นลงเรือที่ท่าด้วยความประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้เราอดรนทนไม่ได้ถึงกับรีบก้าวขึ้นไปรอที่ท่าน้ำเมื่อเรือกำลังจะเทียบเข้ามา
พร้อมยื่นมือมาเพื่อให้เธอได้จับเพื่อขึ้นจากเรือได้อย่างทุลักทุเลด้วยความกลัว
มีแค่เพียงสายตาส่งมาโดยมิรู้ได้ว่าความนัย ของหัวใจชายหนุ่มคนนั้นได้มอบไว้ให้แก่เธอเสมือนรักครั้งแรก
อย่างที่จะไม่มีที่ว่างเหลือให้ใครเข้ามาได้อีกตั้งแต่แรกเห็นเมื่อก้าวออกมาจากซอยในทุกเช้าพร้อมๆกัน
นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เราเห็นสีหน้าเหมือนตกใจ
ที่จู่ๆเราก็ยื่นมืออกไปให้ แต่ก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มแทนคำขอบคุณ
เมื่อได้รับการดึงตัวขึ้นมาบนท่าได้ตัวเอียงจนแทบจะทำให้ล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่
ธิดา ชื่อรุ่นน้องคนนั้นที่ได้ยอมรับมือที่ส่งไปพร้อมหัวใจเรา เอาไว้ ตั้งแต่วันนั้น
หัวใจของวินิจ ก็ไม่เคยมีที่ว่างให้ใครได้อีก
“ขอบคุณค่ะ”เสียงพร้อมรอยยิ้มกึ่งอายพูดออกมา
หากไม่แสดงออกก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทที่ได้รับการช่วยเหลือในครั้งนี้
“ไม่เป็นไรครับ เพิ่งย้ายมาหรือครับ” ถามเด็กสาวในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน
แต่เป็นชุดมัธยมต้น ส่วนเราอยู่มัธยมปลาย
“ค่ะ”ตอบเพียงสั้นๆ ขณะที่คนอื่นๆเริ่มเดินทยอยออกจากจากท่าน้ำไปยังโรงเรียนเพราะใกล้เวลาเข้าแถว
“พี่ชื่อวินิจนะครับ มีอะไรพอให้ช่วยได้ก็ยินดีครับ ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
พูดพร้อมเดินออกไปขณะที่เพื่อนคนอื่นๆก็ยืนรอดูว่าเราทำไมไม่เดินตามออกไปสักที
จากนั้นทุกเช้าเย็นที่ท่าเรือ จะมีเราคอยรอไปกลับพร้อมน้องธิดา
บางครั้งก็ยังได้พูดคุยทักทายกัน
จากความคุ้นชิน
ก็กลายเป็นความสัมพันธ์
และเป็นความสำคัญของกันและกันในที่สุด
ได้มีโอกาสนัดกันไปดูภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยกัน
ยังเก็บตั๋วรับชมภาพยนตร์เรื่องนั้นไว้เป็นอย่างดี
ผ้าเช็ดหน้าที่ถักขอบเรียบร้อยตามแบบการศึกษาวิชากุลสตรีในสมัยนั้น
ได้ถูกมอบให้ในวันสำคัญในครั้งต่อๆมา
พิเศษเพียงว่ามีอักษรปักที่มุมขอบผ้าเช็ดหน้าเป็นตัวอักษร “น “
ซึ่งย่อมาจาก ชื่อเล่น วินิจ ว่า นิตย์ นั่นเอง
จนกระทั่งเราเรียนจบออกมาแต่ก็ยังติดต่อกับธิดาอย่างสม่ำเสมอ มาจนถึงสี่ปี
เมื่อเรียนจบมัธยม ธิดา ได้ย้ายไปเรียนต่อในโรงเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพที่นครราชสีมาตามครอบครัว
จนจบออกมาก็สอบบรรจุได้ไปเป็นครูที่ นครราชสีมานั้นเอง
ส่วนตัวเราเองแม้จะติดต่อกันตั้งแต่เธอจบมัธยมออกไปด้วยจดหมาย
ซึ่งเป็นการสื่อสารในยุคนั้น ทราบความเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อเธอได้ไปเรียนต่อจนสอบบรรจุได้
แตกต่างกับเราเองที่ไม่ได้ศึกษาต่ออย่างที่คิดไว้
เป็นเหมือนชะตาชีวิตกลับมาเล่นตลก
ด้วยเหตุผลที่แท้จริงคือเมื่อหัวหน้าครอบครัวได้ล้มป่วยลง
หน้าที่ลูกชายคนโตก็ต้องออกมารับผิดชอบทุกอย่างในบ้านแทนบิดา
อย่าพูดถึงอนาคตกับเธอเลย
แม้แต่อนาคตของเราเองยังมองไม่เห็นช่องทางไหนที่มันจะเดินทางไปได้ด้วยควาสุขมิได้เลย
การโกหกในครั้งที่เป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตจึงเกิดขึ้นมาในห้วงความคิด
เพราะไม่อาจทำให้ความรักที่บริสุทธิ์นี้ต้องมาทำให้รักนี้ต้องมาจมกับคนจรหมอนหมิ่น
ที่มีเพียงแค่ความรักอย่างเดียวได้
ธิดา หากเธอได้รับรู้ได้
พี่เองก็จะมีเพียงเธอเป็นรักเดียวไม่ตลอดไปแต่จะเป็นแค่ช่วงชีวิตที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ก็พอ
เมื่อซองจดหมายซองนั้นมาถึงโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
จ่าหน้าถึงคุณครูธิดา
ซึ่งก็ประจำสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปี
แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆแต่กลับผูกรัดไว้กับหัวใจของครูสาวไว้อย่างมั่นคง
บ่อยครั้งที่แม้จะมีหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่มากมายหลายหน้าตา แวะเวียนมาสานสัมพันธ์ให้
กลับมิอาจทำให้หัวใจดวงนี้หวั่นไหวไปได้แม้แต่เพียงนิดเดียว
ไม่ใช่เพราะหน้าตาที่แสนธรรมดาของเขาคนนั้น
ไม่ใช่เพราะเป็นคนมีเสน่ห์ในทางวาจาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเหมือนชายอื่นทั่วไป
แต่ความมั่นคงและจริงใจเพียงอย่างเดียว
นอกเหนือจากการให้เกียรติไม่เคยล่วงเกินแม้แต่เพียงนิดเมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
เท่านี้ก็เป็นสิ่งที่เธอยึดมั่นยืนหยัดอยู่ได้ว่าเขาจะดีพอสำหรับเธอ
ความเสมอต้นเสมอปลายในการติดต่อจึงดำเนินมาจนถึงวันนี้
จนกระทั่ง
ช่วงสายของวันหนึ่งเมื่อบุรุษไปรษณีย์มาทำหน้าที่ตามเวลา
ได้นำจดหมายฉบับสุดท้ายจากพระนครมาถึง
รอเมื่อพักกลางวันครูสาวหยิบจดหมายขึ้นมา
ใช้กรรไกรตัดที่ริมซองอย่างประณีต ราวกับว่ากลัวจะไปทำให้เกิดริ้วรอยแม้เพียงสักเล็กน้อย
ที่อาจจะทำให้เจ้าของจดหมายได้รับรู้
เปิดรอยพับกระดาษกางออกมาหวังจะได้อ่านความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจของคนที่รักกัน
แม้ระยะทางห่างไกลกันจะเป็นอุปสรรคสักเพียงไหน
ก็คิดว่าไม่ใช่อุปสรรคของความรักครั้งนี้ได้
แม้คำทัดทานของบุพการีเรื่องความเหมาะสม ฐานะ ระยะทางจะรุมเร้ามาตลอดเวลา
ก็ไม่เคยไหวหวั่น
แต่
ทำไม
ครั้งนี้
หลังจากอ่านถ้อยความซ้ำแล้วซ้ำอีกในจดหมายไม่รู้กี่รอบ
สิ่งที่เป็นอุปสรรค
กับกลายเป็นคนที่เราฝากความรักไว้จนหมดหัวใจ
พี่วินิจ ทำไมคะ ? ทำไม ?
ทำไมทำร้ายจิตใจธิดาได้ถึงเพียงนี้
ไม่มีถ้อยคำใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากเม้มแน่น
มือที่จับจดหมายสั่นเทาราวกับคนเป็นไข้ที่ตัวร้อนสูง
ไม่มีสติมากพอที่จะถือสิ่งที่เป็นจริงแค่แผ่นกระดาษบางเบาแผ่นเดียว
แต่ตอนนี้มันกลับรู้สึกหนักราวกับถ่วงไว้ด้วยลูกเหล็กขนาดใหญ่
จนไม่อาจจะถือต่อไปได้แม้แต่เสี้ยวนาที
ก้มหน้าฟุบลงกับโต๊ะสะอื้นไห้ออกมาราวกับหัวใจได้หลุดลอยออกไปอย่างไร้ทิศทาง
และสุดท้ายก็ร่วงหล่นลงแตกสลายกระจัดกระจายออกไป
เศษของหัวใจมันแตกละเอียดออกเป็นชิ้นเล็กๆ
จนไม่สามารถมองเห็นเค้าเดิมว่ามันเคยถูกห่อหุ้มด้วยความรัก
และไม่อาจจินตนาการถึงสภาพเดิมที่เคยมีความงดงามสักเพียงใด
รู้สึกเนิ่นนานจนเมื่อได้ยินเสียงเด็กนักเรียนตัวเล็กๆบางคนกลับมาจากพักกลางวัน
พากันเข้ามาล้อมดูพร้อมกับร้องถามว่าคุณครูเป็นอะไร ?
จึงได้ค่อยๆหยุดสะอื้นแล้วแอบเช็ดน้ำตาพร้อมพับจดหมายฉบับนั้นไว้
บอกนักเรียนแต่เพียงว่าครูรู้สึกไม่ค่อยสบาย
ที่บ้านพักเย็นวันนั้น
“เห็นไหมลูก แม่บอกแล้ว ว่านายนิตย์ อะไรนั่นไม่เหมาะกับลูกหรอกเชื่อแม่สิ แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน”
เสียงเพียงผ่านออกไปในขณะที่ใจครูสาวนั่งเหม่อใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สมองมึนงง
ไม่รู้ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
น้ำตายังไหลซึมอยู่ตลอดเวลา
ความทรงจำผุดขึ้นมาตั้งแต่ครั้งที่ยื่นมือออกไปให้เขาฉุดขึ้นจากเรือที่ท่าน้ำในวันแรกที่เจอกัน
คำพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนสุภาพเพียงคำว่า
“พี่ชื่อวินิจนะครับ” ยังก้องอยู่ในหูราวกับว่าได้เอ่ยมาเมื่อสักครู่นี้
และบันทึกที่หัวใจของเธอตลอดมา
และประทับตราไว้ในความทรงจำอย่างไม่มีวันจะลืมลงไปได้
แม่ของเธอเดินเข้ามาใกล้ๆและนั่งลงข้างๆ เอามือลูบศรีษะ อย่างแผ่วเบา
พูดปลอบเบาๆด้วยความสงสารว่า
“ทำใจเถอะลูก ทำบุญกันมาแค่นี้”
หันกายไปกอดแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
จนคนเป็นแม่รู้สึกถึงร่างที่สั่นเทิ้มด้วยความเสียใจอย่างที่สุด
รับรู้ถึงความเสียใจของลูกสาวได้เป็นอย่างดี
กอดรัดกลับด้วยความรู้สึกสงสารและทะนุถนอม
มือลูบหลังอย่างแผ่วเบา มืออีกข้างลูบผมแช่มช้านิ่มนวล
ไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยออกมาได้อีก นานจนเหมือนเวลาแทบจะไม่เคลื่อนไปไหนได้เลย
นิ่งนาน
จนร่างนั้นค่อยๆหายสั่นและเสียงสะอื้นนิ่งลงไป
เรื่องสั้น : เพื่อนใหม่ (หัวใจเดิม)
วินิจ
ไม่มีแม้คำลงท้ายที่เคยเขียนไว้ว่า รักและคิดถึงเสมอ
เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ที่พึงกระทำได้เพื่อเธอ
อันเป็นที่รัก เป็นรักเดียวและรักครั้งแรกของเรา
หยดน้ำตาที่หยดรดลงในส่วนท้ายจดหมายพร้อมลายมือที่สั่นเทา
ของชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษๆค่อยๆขยับมือจับดินสอและขยับออกจากจดหมาย
ที่เขียนไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร ร่องรอยยางลบสีตุ่นๆและเศษยางลบจำนวนมาก
อยู่ข้างๆกระดาษแผ่นนั้น แสดงถึงความผิดพลาดในการเขียนครั้งแล้วครั้งเล่า
เป็นเพราะใจที่สับสนจนไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงคำพูดใดๆออกมาได้ให้เหมือนอย่างที่ใจต้องการ
รอยด่างที่ส่วนล่างคล้ายหยดน้ำตาของผู้เขียน ได้รินรดลงไป
แม้จะเหือดแห้งไปเหมือนหัวใจคนเขียน
แต่ยังมีร่องรอยความพองของกระดาษเมื่อโดนความชื้นอย่างเห็นได้ชัด
หากแต่เพียงว่าน้ำตาถ้ามันมีสีแดงเหมือนเลือดที่กลั่นออกมาจากหัวใจของคนเขียน
กระดาษจดหมายฉบับนี้คงจะหาที่ว่างให้ตัวหนังสือได้แทรกลงไปไม่ได้เลย
จดหมาย ที่เขียนส่งถึงรุ่นน้องในละแวกบ้านเดียวกันสมัยมัธยมศึกษา
ซึ่งเป็นหญิงสาวในชั้นเรียนสมัยมัธยมต้นคนหนึ่ง
คนที่เราได้ฝากหัวใจเพียงคนเดียวเสมอมา
ความเรียบร้อยน่ารัก ทำให้เราเองถูกชะตากับเธอเป็นอย่างมาก
แต่ขนบประเพณีในยุคนั้น ไม่สามารถแสดงออกอะไรจนเกินงาม
ไปกว่าการกล่าวทักทายในโรงเรียนตามมารยาทที่พึงกระทำได้แค่นั้น
การเดินทางไปโรงเรียนก็มีเพียงทางเรือตามคลองหลักๆ
แล้วก็เดินตามกันจากท่าเรือไปถึงโรงเรียน แยกกันเป็นกลุ่มหญิงชายอย่างเรียบร้อย
มิได้ปะปนกันแม้แต่นิดเดียว การแสดงออกต่างๆอยู่ในสายตาของคุณครูประจำโรงเรียนอย่างเข้มงวด
แม้จะเข้าวัยวัยรุ่นในสมัยนั้น ซึ่งช่างแตกต่างกันมากตามกาลเวลามาเมื่อเทียบกับสมัยนี้
การที่จะไปเกี้ยวพาราสีในเชิงคำพูดหยอกล้อ สมัยนี้คงเป็นการแซวก็ไม่มีการเกินเลยด้วยวาจา
ภาพของเด็กสาวรุ่นน้องนั่งเรือมาท่าทางหวาดระแวงเพราะเพิ่งย้ายตามครอบครัวมาศึกษาต่อที่พระนคร
และยังไม่คุ้นชินการขึ้นลงเรือที่ท่าด้วยความประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้เราอดรนทนไม่ได้ถึงกับรีบก้าวขึ้นไปรอที่ท่าน้ำเมื่อเรือกำลังจะเทียบเข้ามา
พร้อมยื่นมือมาเพื่อให้เธอได้จับเพื่อขึ้นจากเรือได้อย่างทุลักทุเลด้วยความกลัว
มีแค่เพียงสายตาส่งมาโดยมิรู้ได้ว่าความนัย ของหัวใจชายหนุ่มคนนั้นได้มอบไว้ให้แก่เธอเสมือนรักครั้งแรก
อย่างที่จะไม่มีที่ว่างเหลือให้ใครเข้ามาได้อีกตั้งแต่แรกเห็นเมื่อก้าวออกมาจากซอยในทุกเช้าพร้อมๆกัน
นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เราเห็นสีหน้าเหมือนตกใจ
ที่จู่ๆเราก็ยื่นมืออกไปให้ แต่ก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มแทนคำขอบคุณ
เมื่อได้รับการดึงตัวขึ้นมาบนท่าได้ตัวเอียงจนแทบจะทำให้ล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่
ธิดา ชื่อรุ่นน้องคนนั้นที่ได้ยอมรับมือที่ส่งไปพร้อมหัวใจเรา เอาไว้ ตั้งแต่วันนั้น
หัวใจของวินิจ ก็ไม่เคยมีที่ว่างให้ใครได้อีก
“ขอบคุณค่ะ”เสียงพร้อมรอยยิ้มกึ่งอายพูดออกมา
หากไม่แสดงออกก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทที่ได้รับการช่วยเหลือในครั้งนี้
“ไม่เป็นไรครับ เพิ่งย้ายมาหรือครับ” ถามเด็กสาวในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน
แต่เป็นชุดมัธยมต้น ส่วนเราอยู่มัธยมปลาย
“ค่ะ”ตอบเพียงสั้นๆ ขณะที่คนอื่นๆเริ่มเดินทยอยออกจากจากท่าน้ำไปยังโรงเรียนเพราะใกล้เวลาเข้าแถว
“พี่ชื่อวินิจนะครับ มีอะไรพอให้ช่วยได้ก็ยินดีครับ ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
พูดพร้อมเดินออกไปขณะที่เพื่อนคนอื่นๆก็ยืนรอดูว่าเราทำไมไม่เดินตามออกไปสักที
จากนั้นทุกเช้าเย็นที่ท่าเรือ จะมีเราคอยรอไปกลับพร้อมน้องธิดา
บางครั้งก็ยังได้พูดคุยทักทายกัน
จากความคุ้นชิน
ก็กลายเป็นความสัมพันธ์
และเป็นความสำคัญของกันและกันในที่สุด
ได้มีโอกาสนัดกันไปดูภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยกัน
ยังเก็บตั๋วรับชมภาพยนตร์เรื่องนั้นไว้เป็นอย่างดี
ผ้าเช็ดหน้าที่ถักขอบเรียบร้อยตามแบบการศึกษาวิชากุลสตรีในสมัยนั้น
ได้ถูกมอบให้ในวันสำคัญในครั้งต่อๆมา
พิเศษเพียงว่ามีอักษรปักที่มุมขอบผ้าเช็ดหน้าเป็นตัวอักษร “น “
ซึ่งย่อมาจาก ชื่อเล่น วินิจ ว่า นิตย์ นั่นเอง
จนกระทั่งเราเรียนจบออกมาแต่ก็ยังติดต่อกับธิดาอย่างสม่ำเสมอ มาจนถึงสี่ปี
เมื่อเรียนจบมัธยม ธิดา ได้ย้ายไปเรียนต่อในโรงเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพที่นครราชสีมาตามครอบครัว
จนจบออกมาก็สอบบรรจุได้ไปเป็นครูที่ นครราชสีมานั้นเอง
ส่วนตัวเราเองแม้จะติดต่อกันตั้งแต่เธอจบมัธยมออกไปด้วยจดหมาย
ซึ่งเป็นการสื่อสารในยุคนั้น ทราบความเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อเธอได้ไปเรียนต่อจนสอบบรรจุได้
แตกต่างกับเราเองที่ไม่ได้ศึกษาต่ออย่างที่คิดไว้
เป็นเหมือนชะตาชีวิตกลับมาเล่นตลก
ด้วยเหตุผลที่แท้จริงคือเมื่อหัวหน้าครอบครัวได้ล้มป่วยลง
หน้าที่ลูกชายคนโตก็ต้องออกมารับผิดชอบทุกอย่างในบ้านแทนบิดา
อย่าพูดถึงอนาคตกับเธอเลย
แม้แต่อนาคตของเราเองยังมองไม่เห็นช่องทางไหนที่มันจะเดินทางไปได้ด้วยควาสุขมิได้เลย
การโกหกในครั้งที่เป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตจึงเกิดขึ้นมาในห้วงความคิด
เพราะไม่อาจทำให้ความรักที่บริสุทธิ์นี้ต้องมาทำให้รักนี้ต้องมาจมกับคนจรหมอนหมิ่น
ที่มีเพียงแค่ความรักอย่างเดียวได้
ธิดา หากเธอได้รับรู้ได้
พี่เองก็จะมีเพียงเธอเป็นรักเดียวไม่ตลอดไปแต่จะเป็นแค่ช่วงชีวิตที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ก็พอ
เมื่อซองจดหมายซองนั้นมาถึงโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
จ่าหน้าถึงคุณครูธิดา
ซึ่งก็ประจำสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปี
แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆแต่กลับผูกรัดไว้กับหัวใจของครูสาวไว้อย่างมั่นคง
บ่อยครั้งที่แม้จะมีหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่มากมายหลายหน้าตา แวะเวียนมาสานสัมพันธ์ให้
กลับมิอาจทำให้หัวใจดวงนี้หวั่นไหวไปได้แม้แต่เพียงนิดเดียว
ไม่ใช่เพราะหน้าตาที่แสนธรรมดาของเขาคนนั้น
ไม่ใช่เพราะเป็นคนมีเสน่ห์ในทางวาจาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเหมือนชายอื่นทั่วไป
แต่ความมั่นคงและจริงใจเพียงอย่างเดียว
นอกเหนือจากการให้เกียรติไม่เคยล่วงเกินแม้แต่เพียงนิดเมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
เท่านี้ก็เป็นสิ่งที่เธอยึดมั่นยืนหยัดอยู่ได้ว่าเขาจะดีพอสำหรับเธอ
ความเสมอต้นเสมอปลายในการติดต่อจึงดำเนินมาจนถึงวันนี้
จนกระทั่ง
ช่วงสายของวันหนึ่งเมื่อบุรุษไปรษณีย์มาทำหน้าที่ตามเวลา
ได้นำจดหมายฉบับสุดท้ายจากพระนครมาถึง
รอเมื่อพักกลางวันครูสาวหยิบจดหมายขึ้นมา
ใช้กรรไกรตัดที่ริมซองอย่างประณีต ราวกับว่ากลัวจะไปทำให้เกิดริ้วรอยแม้เพียงสักเล็กน้อย
ที่อาจจะทำให้เจ้าของจดหมายได้รับรู้
เปิดรอยพับกระดาษกางออกมาหวังจะได้อ่านความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจของคนที่รักกัน
แม้ระยะทางห่างไกลกันจะเป็นอุปสรรคสักเพียงไหน
ก็คิดว่าไม่ใช่อุปสรรคของความรักครั้งนี้ได้
แม้คำทัดทานของบุพการีเรื่องความเหมาะสม ฐานะ ระยะทางจะรุมเร้ามาตลอดเวลา
ก็ไม่เคยไหวหวั่น
แต่
ทำไม
ครั้งนี้
หลังจากอ่านถ้อยความซ้ำแล้วซ้ำอีกในจดหมายไม่รู้กี่รอบ
สิ่งที่เป็นอุปสรรค
กับกลายเป็นคนที่เราฝากความรักไว้จนหมดหัวใจ
พี่วินิจ ทำไมคะ ? ทำไม ?
ทำไมทำร้ายจิตใจธิดาได้ถึงเพียงนี้
ไม่มีถ้อยคำใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากเม้มแน่น
มือที่จับจดหมายสั่นเทาราวกับคนเป็นไข้ที่ตัวร้อนสูง
ไม่มีสติมากพอที่จะถือสิ่งที่เป็นจริงแค่แผ่นกระดาษบางเบาแผ่นเดียว
แต่ตอนนี้มันกลับรู้สึกหนักราวกับถ่วงไว้ด้วยลูกเหล็กขนาดใหญ่
จนไม่อาจจะถือต่อไปได้แม้แต่เสี้ยวนาที
ก้มหน้าฟุบลงกับโต๊ะสะอื้นไห้ออกมาราวกับหัวใจได้หลุดลอยออกไปอย่างไร้ทิศทาง
และสุดท้ายก็ร่วงหล่นลงแตกสลายกระจัดกระจายออกไป
เศษของหัวใจมันแตกละเอียดออกเป็นชิ้นเล็กๆ
จนไม่สามารถมองเห็นเค้าเดิมว่ามันเคยถูกห่อหุ้มด้วยความรัก
และไม่อาจจินตนาการถึงสภาพเดิมที่เคยมีความงดงามสักเพียงใด
รู้สึกเนิ่นนานจนเมื่อได้ยินเสียงเด็กนักเรียนตัวเล็กๆบางคนกลับมาจากพักกลางวัน
พากันเข้ามาล้อมดูพร้อมกับร้องถามว่าคุณครูเป็นอะไร ?
จึงได้ค่อยๆหยุดสะอื้นแล้วแอบเช็ดน้ำตาพร้อมพับจดหมายฉบับนั้นไว้
บอกนักเรียนแต่เพียงว่าครูรู้สึกไม่ค่อยสบาย
ที่บ้านพักเย็นวันนั้น
“เห็นไหมลูก แม่บอกแล้ว ว่านายนิตย์ อะไรนั่นไม่เหมาะกับลูกหรอกเชื่อแม่สิ แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน”
เสียงเพียงผ่านออกไปในขณะที่ใจครูสาวนั่งเหม่อใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สมองมึนงง
ไม่รู้ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
น้ำตายังไหลซึมอยู่ตลอดเวลา
ความทรงจำผุดขึ้นมาตั้งแต่ครั้งที่ยื่นมือออกไปให้เขาฉุดขึ้นจากเรือที่ท่าน้ำในวันแรกที่เจอกัน
คำพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนสุภาพเพียงคำว่า
“พี่ชื่อวินิจนะครับ” ยังก้องอยู่ในหูราวกับว่าได้เอ่ยมาเมื่อสักครู่นี้
และบันทึกที่หัวใจของเธอตลอดมา
และประทับตราไว้ในความทรงจำอย่างไม่มีวันจะลืมลงไปได้
แม่ของเธอเดินเข้ามาใกล้ๆและนั่งลงข้างๆ เอามือลูบศรีษะ อย่างแผ่วเบา
พูดปลอบเบาๆด้วยความสงสารว่า
“ทำใจเถอะลูก ทำบุญกันมาแค่นี้”
หันกายไปกอดแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
จนคนเป็นแม่รู้สึกถึงร่างที่สั่นเทิ้มด้วยความเสียใจอย่างที่สุด
รับรู้ถึงความเสียใจของลูกสาวได้เป็นอย่างดี
กอดรัดกลับด้วยความรู้สึกสงสารและทะนุถนอม
มือลูบหลังอย่างแผ่วเบา มืออีกข้างลูบผมแช่มช้านิ่มนวล
ไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยออกมาได้อีก นานจนเหมือนเวลาแทบจะไม่เคลื่อนไปไหนได้เลย
นิ่งนาน
จนร่างนั้นค่อยๆหายสั่นและเสียงสะอื้นนิ่งลงไป