ฉีซีกงประมุขแห่งแคว้นฉี ผู้ครองเมืองอยู่ในช่วง 730 ถึง 698 ปีก่อนคริสตกาลนั้น มีลูกสาวที่ขึ้นชื่อว่างามเลิศในแผ่นดินอยู่สองนาง คนน้องชื่อนางเหวินเจียง ส่วนคนพี่ชื่อนางเสวียนเจียง สองคนนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่าความงามของพวกนาง จึงขอเล่าเป็นสังเขปดังนี้
ฉีซีกงนั้นเป็นประมุขแคว้นฉีผู้เปี่ยมด้วยอำนาจ ในยุคของเขา แคว้นฉีพยายามสร้างพันธมิตรกับแคว้นต่างๆ ขยายแสนยานุภาพออกไปทั่วสารทิศ ทั้งการรบกับพวกเป่ยหยงเพื่อชิงดินแดนเหนือแม่น้ำหวงเหอ การไปตีแคว้นสวีเพื่อขยายดินแดนลงใต้ และการไปตีแคว้นจวู้เพื่อแก้แค้นในวงศ์ตระกูล ซึ่งการกระทำเหล่านี้แคว้นฉีล้วนต้องการพึ่งพาพันธมิตรเพื่อให้สามารถดำเนินแผนได้โดยสะดวก และการสร้างพันธมิตรฝ่ายเครือข่ายญาติมิตรก็เป็นสิ่งที่คนยุคนั้นมองว่า เป็นหนทางที่ยั่งยืน ดังนั้นการส่งกงจู๊หรือลูกสาวเจ้าผู้ครองแคว้น ไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับแคว้นอื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นางเหวินเจียงและนางเสวียนเจียงนั้น ก็ขึ้นชื่อว่ามีรูปโฉมงดงามไปทั่วสารทิศ แถมด้วยการเป็นบุตรีเจ้าแคว้นฉีผู้ทรงอำนาจและมั่งคั่ง ก็ยิ่งเสริมให้พวกนางกลายเป็นเครื่องเชื่อมสัมพันธ์ชั้นดีที่เจ้าแคว้นต่างๆอยากได้มาครอบครอง
ขอเล่าเรื่องนางเหวินเจียงก่อน นางเหวินเจียงนั้นเป็นลูกที่ฉีซีกงรักมาคนหนึ่ง เนื่องจากเป็นลูกสาวคนเล็กที่เกิดจากภรรยาใหญ่ในยามที่ฉีซีกงแก่ชราแล้ว นางก็รู้จักเอาอกเอาใจผู้เป็นบิดา ฉีซีกงหวังจะให้นางแต่งเป็นภรรยาเอกเจ้าแคว้นใหญ่ที่ฐานะเท่าเทียม หรือ อย่างน้อยก็ต้องเป็นภรรยาของซื่อจื่อ (ลูกเอก) ที่จะขึ้นเป็นเจ้าแคว้นต่อไป
ในครั้นเมื่อเจิ้งจวงกงกับฉีซีกง ทำสัตย์สาบานเป็นมิตรต่อกันที่ชายแดนแคว้นเจิ้งนั้น กงจื่อหู ลูกชายของเจิ้งจวงกงได้ติดตามบิดาไปพบฉีซีกงด้วย ฉีซีกงเมื่อแรกเห็นกงจื่อหูก็มีใจเอ็นดูนัก เพราะเห็นว่าองอาจสมชาย มีลักษณะอันเป็นผู้มีบุญญาธิการ จึงเอ่ยปากขอว่า
“กงจื่อหูบุตรชายของท่านผู้นี้ ดูมีลักษณะของยอดบุรุษ ข้าพเจ้ารักใคร่เอ็นดูนัก ใคร่อยากได้เป็นบุตรเขย เพียงแต่ตอนนี้บุตรีข้าพเจ้ายังไม่ถึงวัยที่จะออกเรือน หากข้าพเจ้าขอหมั้นเขาไว้กับบุตรีของข้าพเจ้าก่อน ท่านจะเห็นชอบหรือไม่?”
เจิ้งจวงกงได้ฟังก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง กล่าวตอบไปว่า
“ช่างเป็นวาสนาของกงจื่อหูยิ่งนัก ที่ได้รับความเมตตาจากท่านผู้ใหญ่ อันเมืองเจิ้งของข้าพเจ้าเป็นเมืองเล็ก เมืองฉีของท่านเป็นเมืองใหญ่ ท่านมีความไมตรีมาเช่นนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมรับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
หลายปีต่อมา กองทัพเป่ยหยงคนเถื่อนบุกโจมตีแคว้นฉี เจิ้งจวงกงก็บัญชาให้กงจื่อหูนำทหารและรถศึกร้อยคันยกไปช่วยฉีซีกงรบปราบศัตรู กงจื่อหูก็นำทหารเจิ้งและฉีออกรบเป็นสามารถ ได้ขับไล่พวกเป่ยหยงคนเถื่อนให้พ้นไปจากแดนเมืองฉี ซ้ำยังบุกข้ามแม่น้ำเหลืองและแม่น้ำจีเข้าตีดินแดนของเป่ยหยงมาได้เป็นอันมาก ฉีซีกงซาบซึ่งน้ำใจและบุญคุณของกงจื่อหูในคราวนี้มาก จึงเอ่ยปากว่า
“ครั้งนี้แคว้นฉีประสบเคราะห์กรรมถูกพวกเป่ยหยงรุกราน ไพร่บ้านพลเมืองได้รับความเดือดร้อน เดชะบุญที่กงจื่อยื่นมือเข้าช่วยเรารบขับไล่พวกศัตรู เมืองฉีจึงรอดพ้นความวิบัติมาได้ บุญคุณของท่านที่มีต่อเรา เราซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
“อนึ่ง ในครั้งอดีต เราได้เคยกล่าวยกบุตรีของเราให้เป็นภรรยาท่าน บัดนี้นางเหวินเจียงบุตรีของเราก็เจริญวัยสมควรแก่การออกเรือนแล้ว ขอท่านโปรดรับนางไว้เป็นภรรยาคอยปรณิบัติท่านด้วยเถิด ถือว่าเป็นการสนองคุณท่าน”
กงจื่อหูได้ฟังก็ยังมิกล้ารับปากฉีซีกง ได้แต่ผ่อนผันว่า การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องปรึกษาเจิ้งจวงกงผู้เป็นบิดาก่อน จึงจะตัดสินใจได้
เหวินเจียง และ เสวียนเจียง สองกงจู๊แคว้นฉีผู้เลอโฉม
ฉีซีกงนั้นเป็นประมุขแคว้นฉีผู้เปี่ยมด้วยอำนาจ ในยุคของเขา แคว้นฉีพยายามสร้างพันธมิตรกับแคว้นต่างๆ ขยายแสนยานุภาพออกไปทั่วสารทิศ ทั้งการรบกับพวกเป่ยหยงเพื่อชิงดินแดนเหนือแม่น้ำหวงเหอ การไปตีแคว้นสวีเพื่อขยายดินแดนลงใต้ และการไปตีแคว้นจวู้เพื่อแก้แค้นในวงศ์ตระกูล ซึ่งการกระทำเหล่านี้แคว้นฉีล้วนต้องการพึ่งพาพันธมิตรเพื่อให้สามารถดำเนินแผนได้โดยสะดวก และการสร้างพันธมิตรฝ่ายเครือข่ายญาติมิตรก็เป็นสิ่งที่คนยุคนั้นมองว่า เป็นหนทางที่ยั่งยืน ดังนั้นการส่งกงจู๊หรือลูกสาวเจ้าผู้ครองแคว้น ไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับแคว้นอื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นางเหวินเจียงและนางเสวียนเจียงนั้น ก็ขึ้นชื่อว่ามีรูปโฉมงดงามไปทั่วสารทิศ แถมด้วยการเป็นบุตรีเจ้าแคว้นฉีผู้ทรงอำนาจและมั่งคั่ง ก็ยิ่งเสริมให้พวกนางกลายเป็นเครื่องเชื่อมสัมพันธ์ชั้นดีที่เจ้าแคว้นต่างๆอยากได้มาครอบครอง
ขอเล่าเรื่องนางเหวินเจียงก่อน นางเหวินเจียงนั้นเป็นลูกที่ฉีซีกงรักมาคนหนึ่ง เนื่องจากเป็นลูกสาวคนเล็กที่เกิดจากภรรยาใหญ่ในยามที่ฉีซีกงแก่ชราแล้ว นางก็รู้จักเอาอกเอาใจผู้เป็นบิดา ฉีซีกงหวังจะให้นางแต่งเป็นภรรยาเอกเจ้าแคว้นใหญ่ที่ฐานะเท่าเทียม หรือ อย่างน้อยก็ต้องเป็นภรรยาของซื่อจื่อ (ลูกเอก) ที่จะขึ้นเป็นเจ้าแคว้นต่อไป
ในครั้นเมื่อเจิ้งจวงกงกับฉีซีกง ทำสัตย์สาบานเป็นมิตรต่อกันที่ชายแดนแคว้นเจิ้งนั้น กงจื่อหู ลูกชายของเจิ้งจวงกงได้ติดตามบิดาไปพบฉีซีกงด้วย ฉีซีกงเมื่อแรกเห็นกงจื่อหูก็มีใจเอ็นดูนัก เพราะเห็นว่าองอาจสมชาย มีลักษณะอันเป็นผู้มีบุญญาธิการ จึงเอ่ยปากขอว่า
“กงจื่อหูบุตรชายของท่านผู้นี้ ดูมีลักษณะของยอดบุรุษ ข้าพเจ้ารักใคร่เอ็นดูนัก ใคร่อยากได้เป็นบุตรเขย เพียงแต่ตอนนี้บุตรีข้าพเจ้ายังไม่ถึงวัยที่จะออกเรือน หากข้าพเจ้าขอหมั้นเขาไว้กับบุตรีของข้าพเจ้าก่อน ท่านจะเห็นชอบหรือไม่?”
เจิ้งจวงกงได้ฟังก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง กล่าวตอบไปว่า
“ช่างเป็นวาสนาของกงจื่อหูยิ่งนัก ที่ได้รับความเมตตาจากท่านผู้ใหญ่ อันเมืองเจิ้งของข้าพเจ้าเป็นเมืองเล็ก เมืองฉีของท่านเป็นเมืองใหญ่ ท่านมีความไมตรีมาเช่นนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมรับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
หลายปีต่อมา กองทัพเป่ยหยงคนเถื่อนบุกโจมตีแคว้นฉี เจิ้งจวงกงก็บัญชาให้กงจื่อหูนำทหารและรถศึกร้อยคันยกไปช่วยฉีซีกงรบปราบศัตรู กงจื่อหูก็นำทหารเจิ้งและฉีออกรบเป็นสามารถ ได้ขับไล่พวกเป่ยหยงคนเถื่อนให้พ้นไปจากแดนเมืองฉี ซ้ำยังบุกข้ามแม่น้ำเหลืองและแม่น้ำจีเข้าตีดินแดนของเป่ยหยงมาได้เป็นอันมาก ฉีซีกงซาบซึ่งน้ำใจและบุญคุณของกงจื่อหูในคราวนี้มาก จึงเอ่ยปากว่า
“ครั้งนี้แคว้นฉีประสบเคราะห์กรรมถูกพวกเป่ยหยงรุกราน ไพร่บ้านพลเมืองได้รับความเดือดร้อน เดชะบุญที่กงจื่อยื่นมือเข้าช่วยเรารบขับไล่พวกศัตรู เมืองฉีจึงรอดพ้นความวิบัติมาได้ บุญคุณของท่านที่มีต่อเรา เราซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
“อนึ่ง ในครั้งอดีต เราได้เคยกล่าวยกบุตรีของเราให้เป็นภรรยาท่าน บัดนี้นางเหวินเจียงบุตรีของเราก็เจริญวัยสมควรแก่การออกเรือนแล้ว ขอท่านโปรดรับนางไว้เป็นภรรยาคอยปรณิบัติท่านด้วยเถิด ถือว่าเป็นการสนองคุณท่าน”
กงจื่อหูได้ฟังก็ยังมิกล้ารับปากฉีซีกง ได้แต่ผ่อนผันว่า การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องปรึกษาเจิ้งจวงกงผู้เป็นบิดาก่อน จึงจะตัดสินใจได้