ครั้งเมื่อผมบวช ตอน เชือกผูกคอบ่วงผูกกรรม "ตรัยโศก"

สวัสดีครับ ผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน

พบกับผม "ตรัยโศก" กันอีกเช่นเคย 

และก็เช่นเคยอีกนั่นแหละครับ

เหตุการณ์ที่ผมจะเขียน ก็ยังเป็นเหตุการณ์ในช่วงที่

ผมยังบวชอยู่

แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเสียทีเดียว 

บางช่วงบางตอนก็ฟังเค้าเล่ามา

แล้วจึงเอามาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกัน

อาจจะพอใช้เป็นการฆ่าเวลารอมาม่าสุกได้นะครับ 

เหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง 

ลองไปอ่านกันเลยครับ 
(กลอง รัว!!)

   -----------------

"สายลมหนาวพัดโบกโบย พริ้วดูแล้วสวยใส ใส 

เย็นลมเย็นไหว ไหว สวยงาม  

วัดอยู่ไกลทุระกันดาร กุฏิอยู่หลังเขา

มีแต่เราหลวงพี่ไม่มีใคร 

ยามร้อน ก็ใช้ ยามหนาวก็วานไม่สนใจ

ไม่มีสงสารกัน….เลย 

วัดมีเด็กวัดหนึ่งคน เด็กผู้เสียสละตน 

อดทนเดินไปซื้อ ของมากมาย 

ใช่จะวอนให้เห็นใจ ความสำนึกต่อน้ำใจ 

ใยจึงใช้เด็กวัด  หนักจัง

ร้านค้าหน้าวัด ก็ไกลไกล๊ไกล 

อยากให้หลวงพี่หันมอง 

รองเท้าของหนู..."

เสียงไอ้เต้ เด็กวัดผู้ทรงอิทธิพลคนเดิม

ร้องเพลงประชดประชันผม เมื่อถูกใช้ให้ไปซื้อน้ำ

อัดลมที่ร้านค้า

เมื่อผมได้ยินดังนั้นก็นึกขำในความหัวไบร์ทของมัน

จะโกรธก็โกรธไม่ลง 

“อยากกินอะไรก็ซื้อมา

ไม่ต้องมาประชด เดี๋ยวปั๊ด!!” 

ผมเอ่ยอย่างยิ้มๆ ไอ้เต้หัวเราะร่า 

วิ่งตรงไปน่าวัดอย่างลิงโลด

ชีวิตของไอ้เต้นั้นน่าสงสารนัก

แม่มันหอบมันมาทิ้งไว้ให้หลวงพ่อตั้งแต่ยังเป็นทารก

ตัวแดงๆ ฝากฝังให้ช่วยดูแล

เพราะตนเองต้องไปทำงานในเมืองหลวง

จะทิ้งไว้กับผัวก็ไม่ได้ เพราะเมาทุกวัน เช้ายันค่ำ

หลวงพ่อก็น้ำท่วมปาก จะปฏิเสธไปก็สงสารเด็ก

เพราะตัวแม่เองก็คงไร้ที่พึ่ง

หากปฏิเสธไปก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมของไอ้เด็กคนนี้จะ

ไปตกอยู่ที่ใด จำใจต้องรับไว้

ชาวบ้านเมื่อรู้ข่าวก็ขึ้นมาที่วัดแทบทุกวัน

ช่วยกันเลี้ยงดูไอ้เต้เหมือนลูกในไส้

เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ป้อนนมป้อนข้าวมันจนมันเติบโต

รอดตายมาได้จากที่เป็นทารกตัวน้อย

น้ำหนักไม่ถึง 1 กิโล

เพราะแม่ไม่เอาใจใส่ตัวเองตอนตั้งท้อง

มันเป็นเด็กน่ารัก อายุไม่ถึง 10 ขวบดีแต่รู้งาน

รู้ภาษาทุกอย่าง อะไรที่เคยทำผิดแล้วถูกลงโทษ

มันจะไม่ทำอีกเป็นครั้งที่สอง

ทุกคนจึงรักไคร่เอ็นดูในความน่ารักของมัน

ไอ้เต้เลยเหมือนเป็นลูกของคนทั้งหมู่บ้าน

ส่วนตัวผู้เป็นแม่ ขาดการติดต่อไปตั้ง 3 เดือนแรก

หลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร 

“หมาแมวเป็นสิบยังเลี้ยงได้ นับประสาอะไรแค่เด็ก

คนเดียว”

คำพูดของหลวงพ่อตอนเล่าเรื่องไอ้เต้ให้ผมฟัง

ทำให้ผมรู้เลยว่า ที่ชาวบ้านรัก

เคารพและศรัทธาท่านนั้น มิใช่ด้วยบารมีผ้าเหลือง

แต่เป็นเพราะความมีเมตตาของท่านที่แผ่ออกมาจน

ใครๆก็รับรู้ได้

ในตอนที่รู้ข่าวร้ายเรื่องป้าปราณี

ไอ้เต้ร้องห่มร้องไห้พูดจาไม่เป็นภาษา

เนื่องด้วยป้าปราณีนั้น ประคบประหงมฟูมฟักไอ้เต้

ดุจสายเลือดเดียวกัน

แถมชื่อเต้ของมันก็ได้ป้าปราณีนี่แหละตั้งให้ 

วันนี้ผมไม่มีภารกิจใดๆต้องทำ

เนื่องจากห้องน้ำก็เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จึงได้นั่งนั่งชิลตามสบาย สไตล์เขตอภัยทานโฮม

สเตย์ 

“ท่านนิ่ม คืนนี้มีสวดพระธรรมนะ พวกเราไปกันเอง

หลวงพ่อไม่ว่าง” 

เสียงหลวงพี่เพ็ญ หัวหน้าแก๊งสามสหายธรรม

บันดาล เอ่ยขึ้น ดึงผมให้หลุดจากภวังค์ 

“ที่ไหนล่ะหลวงพี่ ไหงช่วงนี้ตายกันบ่อยแท้”

ผมเอ่ยถาม เพราะสองสามวันมานี้

พวกผมออกสวดพระอภิธรรมกันทุกคืน

แถมยังไม่ใช่ที่เดียวกันด้วย 

“หมู่บ้านข้างๆนี่เอง 

บ้านของผีเด็กที่เกาะขาท่านนั่นแหละ

คนแม่ผูกคอตายเมื่อเช้า” 

ได้ยินดังนั้นผมก็สลดลงทันที

เด็กสาววัยรุ่นที่หลงผิด กระทำการอันน่าหดหู่ด้วย

การร่วมมือกับชายคนรักสังหารลูกน้อยในไส้

จะด้วยเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรือเพราะสิ่งใดมิอาจรู้

เธอเสียสติ เพ้อหาแต่ลูกตัวเองจนทางบ้านต้องมัดไว้

สุดท้ายก็มีจุดจบอันน่าเศร้าตามลูกน้อยของเธอไป

แค่ไม่กี่วัน หลังจากเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญนั้น 

“ชาวบ้านบอกว่าผีลูกนั่นแหละมาเอาไป”

หลวงพี่เพ็ญเอ่ย 

ขณะที่นั่งสนนากันได้สักครู่ เสียงรถมอเตอร์ ซูซูกิ

อาซี ก็ดังกังวาลลั่นวัด 

ทั้งเสียงที่ดังและควันที่พวยพุ่งออกจากทุกรูรั่วของ

ท่อไอเสียเนื่องจากความเก่า 

กลุ่มควันนั้นม้วนตลบตามหลัง

ดูเผินๆราวกับรถขายไก่ย่างส้มตำก็มิปาน

สักครู่ก็มาจอดดับสนิทที่หน้ากุฏิผมที่เป็นหลังแรก

ลมตีกลับพาเอาควันไอเสียโหมเข้ามาทางพวกเรา

สภาวะตอนนั้นเสมือนนั่งอยู่ในสายหมอก

ลุงก้านเจ้าของรถเดินมาหานั่งลงข้างๆผม

ยังไม่ทันกล่าวทักทายใดๆ

แกก็ควักเอายาเส้นมาพันแล้วจุดสูบอย่างรวดเร็วด้วย

ความไวแสงเสร็จแล้วก็พ่นควันมาทางผม

อืม…เอาเข้าไป ไม่รู้จะเลือกเป็นมะเร็งด้วยควันอัน

ไหนดีเลยครับท่าน 

ลุงก้าน ชะเง้อมองไปทางกุฏิหลวงพ่อ

ทำท่าทำทางมีพิรุธชอบกล

เมื่อแน่ใจว่าหลวงพ่อไม่อยู่แน่แล้วก็กระซิบขึ้นข้างหู

ผม แต่เป็นการกระซิบที่มีความดังเกิน 60 เดซิเบล

แน่นอน เล่นซะสะดุ้งเลย 

“ไอ้ภาไปไหนอ่ะหลวงน้ามีธุระจะคุยกะมันซะหน่อย”

แกเอ่ยถามพลางพ่นควันใส่ผมแทบสำลัก 

“ น่าจะหลังวัดละมั้ง ด่วนมั๊ยล่ะธุระที่ว่า

ถ้าไม่ด่วน รอไอ้เต้กลับมาเดี๋ยวใช้ไปตามให้

แต่ถ้าด่วน ก็ควบ อาซีต๊อดไปตามเองโลด”

ผมกล่าวอย่างเคืองๆ 

ลุงก้าน มองหน้าผมแล้วบ่นอุบอิบ

พลางล้วงมือเข้าไปในถุงย่ามใบเล็กที่แกสะพายอยู่

ควักเอาเชือกไนล่อนสีเขียวที่ถูกมันไว้เป็นบ่วงแลดู

คุ้นตา ด้านปลายที่ยาวหน่อยมีรอยถูกตัด

วางลงบนโต๊ะตรงหน้าผมกับหลวงพี่เพ็ญ 

เราทั้งคู่มองเชือกแล้วกันกลับไปจ้องหน้าลุงก้าน

อย่างสงสัย 

“เชือกอะไร เอามาทำไม”

ผมเอ่ยถามทำสีหน้าอ่อนต่อโลก

ทั้งที่ในใจก็ตะหงิดๆ เหมือนจะรู้คำตอบล่วงหน้า  

“เชือกผูกคอของอี่ฟ้ามัน

ก็บ้านที่พวกหลวงน้าจะไปร้องเพลงกันคืนนี้ไง

จะเอามาทำหวย”

แกตอบพลางพ่นควันต่อไปอย่างไม่ยี่หระในคำพูด

ของตนเอง

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่าคำพูดประโยคนั้นจะทำร้าย

จิตใจดวงน้อยๆของผมแค่ไหน 

ผมลุกพลวดทันทีเมื่อประมวลผลคำพูดนั้นเสร็จ

สมบูรณ์ โธ่ พ่อคุณ พ่อทูลกระหม่อม

แค่วันนั้นผมจับผ้าขี้ริ้วที่ห่อศพน้อง

พอตกกลางคืนน้องก็มาหาเล่นยิมนาสติกลีลา

เกาะขาผมให้ไอ้เต้เห็นเป็นบุญตาไปรอบนึงแล้ว 

นี่เล่นเอาเชือกผูกคอตายของแม่เด็กมา

ขนาดตัวลูกที่ไม่รู้ภาษายังเฮี้ยนขนาดนั้นแล้วตัวแม่

มันจะเฮี้ยนขนาดไหน

จะเห็นผีได้ก็คราวนี้แหละมั๊งกู 

“ ยะ โยมพ่อ ไปเอามาทำม้ายยย อยากได้หวยก็

จุดธูปแล้วนอนฝันเอาก็ได้มั๊ง”

ผมเอ่ยขึ้นหน้าตาเหรอหรา 

“ หู้ย….ไม่ได้หรอกหลวงน้า ของแบบนี้ไม่ได้มีมา

บ่อยๆ ยิ่งตายแบบนี้นะ เฮี้ยนดีนัก ”

ลุงก้านตอบ ราวกับเชือกที่กองอยู่ตรงหน้าเป็นของ

ลดราคาที่ต้องรีบพุ่งเข้าใส่ 

“ ก็นั่นไง เฮี้ยนขนาดไหนผมไม่รู้หรอก

แล้วโยมพ่อไม่กลัวเค้ามาเอาคืนรึไง” 

ลุงก้านเมื่อได้ยิมผมเอ่ยถามดังนั้น แกก็ลุกขึ้นยืน

ควักพระเครื่องที่ห้อยคออยู่เป็นพวงออกมาโชว์ให้ดู

จากจำนวนขนาดนั้น ถ้าแกเกิดเป็นอะไรขึ้นมา

เหล่าบรรดาหลวงพ่อคงเถียงกันวุ่นว่าใครจะเป็นคน

ไปช่วย 

“พระขนาดนี้ ผีที่ไหนจะกล้ามาหลอกล่ะหลวงน้า

แล้วก็นี่อีก”

แกบอกพลางแกะกระดุมเสื้อ เผยให้เห็นรอยสักรูป

หมีดำทะมึนอยู่กลางอก 

“พญาหมีควาย จากป่าหิมพานต์

ถ้ามันเก่งขนาดผ่านด่านพระเครื่องมาได้

ก็ต้องตายรอบสองเพราะโดนหมีตบ”

แกกล่าวอย่างภูมิใจ 

“รอยสักมัวๆดูแทบไม่รู้เรื่องนี่น่ะนะ

มันจะช่วยอะไรได้” 

หลวงพี่เพ็ญกล่าวขึ้นอย่างสบประมาท 

“โอ้โหหลวงน้า

พูดเหมือนไม่รู้จักเสือก้านผู้จัดจ้านในย่านนี้

ในเมื่อดูถูกกันก็ต้องโชว์ของซะหน่อย”

 

ลุงก้านพูดกับหลวงพี่เพ็ญด้วยท่าทีฉุนเฉียว 

แกถอดพระเครื่องออกยื่นมาให้ผมรับไว้

หนักขนาดนี้แต่คอแกไม่หักแสดงว่ามีของดี

แกก้มหน้าพนมมือขึ้น 

บ่นงึมงัมๆอยู่ซักพัก ตัวแกก็เริ่มสั่น

แล้วจู่ๆ แกก็เงยหน้าทำตาขวาง

กางแขนกางขากระโดดเหยงๆ ปากก็ร้อง ฮู่ม….ฮู่ม…

มือก็กวัดแกว่งไปในอากาศทำท่าคล้ายหมีตะปบ

ขาก็กางออกบางครั้งเดินโยกเยก บางครั้งกระโดด 

ผมนึกว่ายืนดูรายการเดอะแรปเปอร์อยู่

ถ้าผมใส่เสียงบีตบ็อกซ์เข้าไปนี่ใช่เลย แล้วจู่ๆ

เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ปึก!! อึ๊!! อูย….

“อั๊ยยะ!! ใช่ๆ” ผมอุทานลั่นเลยครับ

(คำพูดติดปากของ แรปเอก แรปเปอร์ชื่อดังของ

เมืองไทย ตำนานที่ยังมีชีวิต) 

ครับ พญาหมีควายแห่งป่าหิมพานต์ในร่างของลุง

ก้าน ในขณะที่กำลังโดดเหยงๆ แสดงพลัง

เท้าก็เกิดไปสัมผัสกับเหลี่ยมม้าหินอ่อนปลุกเสกเข้า

อย่างแรงจนม้านั่งกึงกับเคลื่อน

ด้วยความที่ในป่าหิมพานต์ไม่น่าจะมีของที่อาถรรพ์

แรงแบบนี้ ส่งผลให้ พญาหมีควายถึงกับเล็บหัวแม่

เท้าฉีก เลือดโชกไปตามระเบียบ 

ผมกับหลวงพี่เพ็ญเมื่อเห็นดังนั้นก็ลั่นก๊ากออกมา

พร้อมกัน 

พญาหมีควายที่คึกคักบ้าพลังอยู่เมื่อครู่

บัดนี้นั่งหงอยเหมือนกินเห็ดพิษเข้าไป

ต้องลำบากพระ เอาเบตาดีนมานั่งป้ายแผลให้อีก

เฮ่อ…พ่อพญาหมีควาย

สักครู่ ไอ้เต้ก็เดินร้องเพลงเข้ามาพร้อมถุงน้ำอัดลม

มันไม่ได้ซื้ออะไรมากินเลย เงินทอนเอามาคืนผม

ครบทุกบาท 

“เอาเก็บไว้ไปซื้อขนมที่โรงเรียนไป๊

เออแล้วก็ไปตามโยมพ่อภาให้ด้วย

บอกว่าท่านพญาหมีควายเดินทางมาพบจากป่า

หิมพานต์” 

ผมพูดพร้อมยื่นเงินทอนคืนไปให้มันมันยกมือไหร้

รับเงินทอนแล้ววิ่งไปทางหลังวัด 

เมื่อลุงภามาถึง ผมก็ปล่อยให้ทั้งสองคุยกัน

ผมกับหลวงพี่เพ็ญปลีกตัวไปกุฏิหลวงพี่หน่อง

กะว่าจะไปนั่งเล่น และแน่นอนครับ 

ลูกพี่เต้ก็ติดสอยห้อยตามผมมาอีกเช่นเคย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่