ฝากผลงานอีกเรื่องของ"ตรัยโศก"ด้วยนะครับ

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของสิงห์ เด็กหนุ่มจากชนบทห่างไกลแสงสีที่มีความชื่นชอบการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเป็นกีฬา ในแทบทุกวันหากมีเวลาว่าง สิงห์จะแบกอาวุธคู่ใจซึ่งก็คือปืนแก๊บกระบอกเก่าคร่ำคร่าเข้าไปในป่า เพื่อเข่นฆ่าพรากชีวิตสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ แล้วแต่ว่าในช่วงเวลานั้นเค้าจะพบกับสัตว์ชนิดใด เค้ามองว่ามันเป็นเรื่องสนุก ชีวิตของสัตว์เหล่านั้นหาได้มีค่าไม่ หากสัตว์ตัวใดที่เค้ายิงแล้วไม่ตายในทันที บาดเจ็บทุรนทุรายกระยิ้มกระสนไปตายที่อื่นเค้าก็ไม่ได้ไล่ตามมันไปเพื่อปลิดชีพให้พ้นทุกข์ตามวิถีพรานทั่วไป เค้าจะปล่อยผ่านแล้วมองหาเหยื่อรายใหม่เพื่อสนองตัญหาของตนเอง ทว่าสัตว์ใหญ่ที่สุดที่สิงห์เคยยิงได้คือกระจง ด้วยความที่หมู่บ้านของเค้าเป็นชนบท พื้นที่โดยรอบล้วนเป็นป่า จึงมีสัตว์นานาชนิดให้สิงห์ได้เลือกยิงอย่างสบายอารมณ์ ทุกครั้งที่สิงห์ออกไปล่าสัตว์เมื่อกลับมาถึงบ้านก็จะมีซากสัตว์ติดไม้ติดมือกลับมาด้วยเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นเค้ามือขึ้นแค่ไหน บางวันเป็นไก่ป่าบ้าง กระรอกกระแตบ้าง หากวันไหนดวงไม่ค่อยดีก็จะเป็นพวกนกตัวเล็กตัวใหญ่บ้าง เขาใช้ชีวิตแบบเดิมอย่างนี้ทุกวัน เที่ยวบอกใครต่อใครว่าตนเองนั้นเป็นพรานมืออาชีพ คนทั่วไปก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ป่าที่สิงห์เข้าไปเพื่อล่าสัตว์นั้นเป็นเพียงป่าชุมชนที่ห่างจากหมู่บ้านเพียงไม่กี่กิโลเท่านั้น หาได้เป็นป่าใหญ่ป่าลึกไม่ ภายในหมู่บ้านเดียวกันนั้น มีพรานชรามากด้วยประสบการณ์ชื่อว่าพรานเที่ยง ชายผู้นี้เป็นที่ยอมรับของทั้งคนในและต่างหมู่บ้านว่าเป็นพรานที่มีฝีมือที่สุด เป็นครูพรานของเหล่าคนรุ่นหลังหลายต่อหลายคนหนึ่งในนั้นก็คือสิงห์ เหล่าลูกศิษย์ของพรานเที่ยงกลายเป็นพรานมีฝีมือนับไม่ถ้วนเพราะเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ที่เป็นอาจารย์ ยกเว้นก็แต่สิงห์ค่อนข้างหัวรั้นเนื่องจากเป็นคนสมัยใหม่ และความหัวรั้นนี้เองที่ทำให้สิงห์ต้องพบเจอกับจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งใหญ่จุดเปลี่ยนที่เกือบจะกลายเป็นจุดจบของเขาเลยก็ว่าได้ 

รุ่งเช้าที่สดใส บรรยากาศเย็นสบายเพราะเป็นช่วงต้นหน้าหนาเด็กหนุ่มร่างกายกำยำสมส่วนกำลังผ่าฟืนอยู่หน้ากระท่อมของเขาอย่างขมักเขม้น 
“ไอ้แก้ว วันนี้เข้าป่ากับกูมั๊ย ไปหายิงไก่กันหน่อย” 
สิงห์เอ่ยปากชวนขณะก้าวเข้ามาหาแก้ว 
“ยังไม่รู้เลยว่ะ ดูก่อนว่าจะต้องไปไร่มั๊ย” 
แก้วตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แล้วก้มหน้าก้มตาผ่าฟืนต่อไป 
“เออๆ งั้นสายๆกูเข้ามาถามอีกทีละกัน ถ้าจะไปก็เตรียมของรอเลยนะ เดี๋ยวกูแวะไปหาลุงเที่ยงก่อน ดินปืนจะหมดแล้วว่ะ” 
สิงห์บอกแล้วจึงผละจากบ้านแก้วไป เดินมุ่งหน้าไปยังท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นที่อยู่ของพรานเที่ยง เมื่อไปถึง สิงห์ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบกับรถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งบัดนี้ฝุ่นจากถนนในหมู่บ้านเคลือบรถคันนั้นจนเกือบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ที่แคร่หน้ากระท่อมคนกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกับพรานเที่ยงสีหน้าเคร่งเครียด ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นคนจากตัวเมือง สิงห์จึงเดินเลี่ยงไปทางข้างบ้านอย่างเงียบๆแล้วนั่งลงตรงชานบันไดไม่ห่างจากคนกลุ่มนั้นเท่าใดนัก 
“เถอะน่าพรานเที่ยง ชั้นอยากได้ตัวมันจริงๆจะเป็นหรือตายก็ได้ ชั้นตามหามันไปทุกที่จนเมื่อไม่นานมานี้ลูกน้องชั้นบอกว่ามีคนเจอมันอยู่ที่หุบทิ้งปืน พรานเป็นคนที่นี่น่าจะหามันได้ไม่ยากนักหรอกมั๊ง แล้วพรานจะบ่ายเบี่ยงทำไมกัน หรือว่าค่าจ้างที่ชั้นเสนอให้มันน้อยไป ชั้นเพิ่มให้ก็ได้ พรานจะเอาเท่าไหร่ว่ามาเลย”
 พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัย นายทุนเจ้าของปางไม้ขนาดใหญ่อันดับต้นๆของภาคเหนือเอ่ยกับพรานเที่ยงอย่างไม่สบอารมณ์ ในชีวิตของเขาไม่เคยมีสักครั้งที่อยากได้อะไรแล้วจะไม่ได้ เพียงแค่เอาเงินเข้าล่อทุกสิ่งก็วิ่งเข้ามาหาเขาตามต้องการ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาถูกปฏิเสธ แถมคนที่ปฏิเสธยังเป็นพรานเที่ยง เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่คบกันมาตั้งแต่สมัยพ่อเลี้ยงหนุ่มๆ แล้วเริ่มทำธุรกิจค้าไม้ ตอนนั้นก็ได้พรานเที่ยงนี่แหละช่วยนำทางเข้าป่าลึกให้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจวบจนทุกวันนี้ 
“อยากได้ตัวมัน? เป็นหรือตายก็ได้?หุบทิ้งปืน? มันเรื่องอะไรกันวะ” 
สิงห์ตั้งคำถามอยู่คนเดียวอย่างสงสัย
“มันไม่ใช่เรื่องเงินหรอกพ่อเลี้ยง คุณเองก็รู้จักผมมานานน่าจะรู้นิสัยผมดี” 
พรานเที่ยงเอ่ยตอบพ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยมือก็มวนยาฉุนอย่างช้าๆ
“ถ้างั้นติดขัดเรื่องอะไรล่ะพราน อาวุธ คน ชั้นหามาให้พรานได้ทั้งนั้นขอแค่บอกมา” 
พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยพยายามหว่านล้อมทุกวิถีทาง 
“ไอ้ของพวกนั้นน่ะไม่ใช่ปัญหาหรอก”
พรานเที่ยงกล่าวเรียบๆแล้วอัดควันยาฉุนเข้าไปเต็มปอดพ่นออกมาอย่างช้าๆแล้วเอ่ยขึ้น 
“ปัญหาคือไอ้ตัวที่พ่อเลี้ยงอยากได้ กับสถานที่ๆจะไปหามันนั่นแหละ” 
พรานเที่ยงตอบพ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยพลางจ้องหน้า พ่อเลี้ยงศักดิ์ทำหน้าฉงน
“แสดงว่าพรานไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริงอย่างนั้นรึ” 
พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยตั้งคำถาม 
“เปล่า ผมเชื่อ เพราะผมเคยเจอมันมาแล้วครั้งนึงเมื่อตอนผมเป็นพรานฝึกหัด ก่อนจะได้เจอกับพ่อเลี้ยงน่ะนะ” 
พรานเที่ยงเอ่ยตอบ พ่อเลี้ยงเมื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าว
อย่างลิงโลด 
“เคยเจอมัน!! ที่ไหน ยังไง แล้วทำไมตอนนั้นพรานไม่ฆ่ามันล่ะ” 
พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยกล่าว 
“ก็ที่หุบทิ้งปืนนั่นแหละ ตอนนั้นผมตามรอยกระทิงโทนอยู่ กำลังมองสำรวจพื้นที่หาทิศที่กระทิงตัวนั้นน่าจะไป แล้วผมก็เห็นมัน มันปรากฏตัวขึ้นห่างจากผมไม่ถึงสิบเมตร ยืนมองผมผมก็ยืนมองมันอย่างตกตะลึง พอตั้งสติได้ผมก็ประทับปืนขึ้นบ่า มันก็ยังไม่ขยับ ผมลิงโลดใจเล็งศูนย์ปืนไปที่ก้านคอ กะว่านัดเดียวจอดอย่างไม่มีปัญหา แต่..”  
พรานเที่ยงเอ่ยพลางมองออกไปยังทิวเขาไกลลิบ ที่บัดนี้หมอกยามเช้าปกคลุมจนเห็นเพียงครึ่งเดียว  
“แต่..แต่อะไรพราน เกิดอะไรขึ้น มันหนีรอดไปได้รึ” 
พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยถามอย่างสงสัย 
“เปล่ามันไม่ได้หนี มันไม่ขยัยเลยด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวที่มากับมันนั่นแหละปัญหา” 
พรานเที่ยงหันกลับมากล่าวตอบพ่อเลี้ยง แล้วแกะกระดุมเสื้อหม้อฮ่อมของแกออก เผยให้เห็นแผงอกที่เหี่ยวย่นตามอายุสังขาร แต่ที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่พาดตั้งแต่ไหปลาร้าด้านซ้ายยาวเรื่อยลงมาจนถึงเอวด้านขวา 
“ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น ไหปลาร้าผมหัก หนังเปิดจนเห็นซี่โครง ไส้ไหลออกมากองด้านนอก เลือดทะลักออกมาเหมือนถูกเทออกจากถังน้ำ ผมทรุดฮวบลงตรงนั้น ภาพสุดท้ายที่ผมเห็น มันมองผมคล้ายกับเยาะเย้ยแล้วค่อยๆเดินจากไปอย่างเชื่องช้า ผมไม่เห็นด้วยซ้ำว่าตัวที่มันโจมตีผมคือตัวอะไร แล้วโผล่มาจากทางไหน”  
พรานเที่ยงเอ่ยอย่างขมขื่น พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยนั่งนิ่งอ้าปากค้าง
“แล้วพรานรอดมาได้ยังไง” 
พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยเอ่ยถาม
“คนหาของป่าไปเจอผมเข้า ผมก็ไม่รู้เพราะบุญหรือกรรมที่ทำให้ผมรอดชีวิตมาได้ทั้งที่บาดเจ็บขนาดนั้น ผมนอนพักฟื้นอยู่เกือบครึ่งปีกว่าจะหาย” 
พรานเที่ยงตอบสีหน้าเฉยชา  
“พรานครับ”
 เทิด ลูกน้องคนสนิทของพ่อเลี้ยงศักดิ์ชัย กล่าวขึ้น 
"คนที่บอกข่าวนี้กับผมก็พูดเหมือนกับพรานไม่มีผิด เขาเข้าไปกับเพื่อนเพื่อล่าสัตว์กันสองคน เมื่อพบรอยก็แยกกันขนาบซ้ายขวาตามรอยนั้นไป แต่จู่ๆมันก็ปรากฏตัวขึ้น กวางสีเงินตัวนั้น" 
เทิดกล่าว 
“กวางสีเงิน? นี่มันนิยายบ้าบอคอแตกอะไรวะ” 
สิงห์คิดในใจเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน 
“กวางตัวนั้นปรากฏขึ้นต่อหน้าเพื่อนของเค้า มันยืนนิ่ง พอเพื่อนเค้าขยับจะยิงมัน เสือโคร่งตัวนั้นก็โผล่พลวดออกมาจากพุ่มไม้ใหญ่ด้านข้าง มันตะปบทีเดียวเท่านั้นเพื่อนของเค้าก็ล้มลงสิ้นใจทันทีไม่มีเสียงร้องเล็ดลอดออกมาจากปากด้วยซ้ำ”
เทิดกล่าวจบทุกคนต่างตกตะลึง ไม่เว้นแม้กระทั่งพรานเที่ยง 
“เสือโคร่ง เสือโคร่งเนี่ยนะ” 
พรานเที่ยงเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ 
“ที่เจ้าพรานนั่นโดนเสือทำร้าย คงเพราะเสือคิดว่าจะแย่งเหยื่อของมันหรือเปล่า” 
พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยเอ่ยขึ้น 
“เปล่าครับ พรานคนที่รอดมาได้เล่าว่า พอเห็นเหตุการดังนั้นเค้าจึงได้แต่นอนหมอบเงียบๆไม่กระดิกตัว เค้าบอกว่ามันมีเหตุผลที่ทำให้เค้าตะลึงงันอยู่แบบนั้นครับ”  เทิดเอ่ยขึ้น 
“เรื่องอะไร” พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยถาม 
“หนึ่งคือการที่เสือโคร่งตัวนั้นจู่โจมเพื่อนเค้า ราวกับว่ามันปกป้องกวางสีเงินตัวนั้น สองคือขนาดอันใหญ่โตของมัน เค้าบอกว่าตัวมันใหญ่กว่ากระทิงหนุ่มที่โตเต็มที่ด้วยซ้ำ และสามคือ พฤติกรรมของมัน เมื่อโจมตีเพื่อนเค้าเสร็จ มันหันมามองทางเค้าราวกับรู้ว่าหลบอยู่ตรงนั้น แต่มันไม่โจมตี กลับเดินตามกวางเงินตัวนั้นไปเหมือนบ่าวเดินตามนาย” 
“มันเป็นไม่ได้หรอกที่เสือจะเดินตามกวางถ้ามันไม่คิดจะกิน” 
พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยโพล่งขึ้น 
“ทีแรกพรานคนนั้นก็คิดแบบนี้แหละครับ เมื่อตรวจดูแล้วพบว่าเพื่อนเค้าตายแน่แล้ว เค้าคิดจะแก้แค้น จึงได้ตามรอยพวกมันไป จนไปถึงน้ำตกใหญ่ เค้าก็พบพวกมันอยู่ที่นั่น กวางเงินตัวนั้นนอนบนโขดหิน ส่วนเสือโคร่งตัวนั้น ยืนข้างๆโขดหินท่าทางเหมือนจะคอยระวังภัยให้ เมื่อเห็นดังนั้น เค้าคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา พวกนั้นอาจเป็นผีป่าแปลงตัวมา และที่เพื่อนเค้าตายอาจเพราะคิดทำร้ายกวางตัวนั้นก็ได้ คิดได้ดังนั้น เค้าจึงรีบเผ่นออกจากป่าแห่งนั้นอย่างไม่คิดชีวิต”  
เทิดกล่าวจบก็มองไปที่พรานเที่ยง ก็พบว่าอีกฝ่ายจ้องอยู่ก่อนแล้ว 
“แล้วศพพรานคนนั้นสภาพเป็นยังไง” พรานเที่ยงเอ่ยถาม 
“กระดูกไหปลาร้า และซี่โครงตรงทรวงอกหักแตกออกเหมือนถูกทุบ ปอด หัวใจ ฉีกขาดครับ เค้าไม่โชคดีเหมือนพราน เค้าสิ้นใจตายในทันที”
 เทิดกล่าว 
“ไม่แน่ พรานคนนั้นอาจโชคดีกว่าผมก็ได้” 
พรานเที่ยงกล่าวลอยๆ พลางจุดยาฉุดอัดควันเข้าเต็มปอดอีกครั้ง 
บังเกิดความเงียบขึ้นอยู่พักใหญ่ ทุกคนต่างนิ่งไม่พูดจากัน จนกระทั่งพรานเที่ยงดีดก้นยาฉุนทิ้งไปแล้วเอ่ยขึ้น 
“ตกลง ผมจะตามล่ามันให้” พรานเที่ยงเอ่ย 
“แต่มันอาจจะทำให้พรานถึงตายเลยนะ ถึงผมจะอยากได้แค่ไหนแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะเอาชีวิตเพื่อนที่กินนอนมาด้วยกันไปแลกหรอกนะพราน" 
พ่อเลี้ยงศักดิ์ชัยเอ่ยขึ้น สบตาพรานเที่ยงอย่างจริงใจในคำพูด 
“คนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย ไหนๆก็จะตายแล้ว ขอเห็นเรื่องมหัศจรรย์สักครั้งในชีวิต หึ..หึ…เสือที่ยอมเป็นบริวารกวางเนี่ยนะ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่