ใครจะไปคาดคิดกันว่าดิสนีย์จะหยิบนำวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รวมกว่าสิบประเทศให้มาอยู่ในโปรเจกต์อนิเมชั่นยักษ์ใหญ่ที่มีการผสมผสานของหลากหลายวัฒนธรรมบนดินแดนเดียวกัน ผสมกับความแฟนตาซีแบบที่ดิสนีย์ถนัดมือ แต่ก็ต้องมาเรียนรู้และนับหนึ่งกันใหม่ เมื่อทีมงานต้องศึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเนรมิตให้วัฒนธรรมที่ทำออกมาสามารถนำเสนอได้อย่างไม่มีการผิดพลาด หรือทำลายวัฒนธรรมหนึ่งผ่านตัวละครเจ้าหญิงคนใหม่ และจากเอเชียตะวันเฉียงใต้คนแรกของโลกอย่าง รายา หญิงสาวผู้มุ่งมั่นที่จะออกตามหามังกรที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก พญานาค (มีขา?) เพื่อปลดปล่อยอาณาจักรจากความมืดทั้งปวง เรียกได้ว่านอกจากทีมงานจะต้องทำการบ้านใหญ่ ที่สำคัญกระบวนการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ WORK FROM HOME คุยงานผ่านเฟซไทม์ พากย์เสียงผ่านทางไกลในบ้าน ทำทุกอย่างที่บ้านในช่วงยุคโควิด ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้ทีมงานเข้าไปอีก แต่ในที่สุดภาพยนตร์ก็ได้คำวิจารณ์ในแง่บวกเรียบร้อยโรงเรียนดิสนีย์
“คูมันตรา ดินแดนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรายา นักรบหญิงพเนจรผู้หลบหนีออกมาจากเหตุร้ายที่คร่าชีวิตครอบครัวของเธอไปจนหมด ปฏิญาณเดียวที่เธอต้องทำคือการกอบกู้โลกและเธอจะไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น เธอและสัตว์พาหนะเพื่อนรักของเธออย่างตุ๊ก ตุ๊ก จึงต้องออกเดินทางผ่านห้าอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามส่วนต่าง ๆ ของมังกร เพื่อนำผลึกมังกรและมังกรตัวสุดท้าย ชิซู ที่ในตำนานกล่าวไว้ว่า เป็นผู้กอบกู้อาณาจักรในอดีต มาหลอมรวมกันเพื่อสร้างความสงบสุขอีกครั้ง แต่เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้น เมื่อชนเผ่าต่าง ๆ ที่เคยสามัคคีก็ลุกขึ้นมาต่อสู้และแก่งแย่งชิงกันไม่สิ้นสุด ความไม่เชื่อใจเข้าปกคลุมอาณาจักร รายาต้องเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับความบาดหมางในอดีตที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นก่อน และความสัมพันธ์ที่มีต่อคนรอบตัว หาทางรวมใจทุกเผ่าเพื่อกอบกู้อาณาจักรให้กลับมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ก่อนที่ความมืดที่ชั่วร้ายอย่าง ดรูน จะกลืนกินทุกชีวิตในอาณาจักรไปจนหมดสิ้น”
ก่อนที่รายาจะฉายนั้น มีอนิเมชั่นสั้นตามธรรมเนียมดิสนีย์ให้ดูกันประมาณ 10 นาทีชื่อว่า Us Again เหมือนอย่างเคย เป็นอนิเมชั่นที่ไม่มีบทพูดแต่เป็นเหมือนโชว์ก่อนแสดงของดิสนีย์ซึ่งผมจะไม่สปอยเนื้อเรื่องเพราะมันไม่มีอะไรนอกจากเพลงแจ๊สกับงานภาพสวย ๆ ระดับทอย สตอรี่ให้ดูเพลิน ๆ จากนั้นเมื่อเข้าเรื่องรายามา จะมีกลิ่นอายของความเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มันลอยเข้ามาเลยด้วยงานภาพสไตล์ตะวันตกแต่ถูกบอกเล่าผ่านสภาพแวดล้อมแบบอาเซียน พลอตแบบอนิเมชั่นสูตรสำเร็จ และค่อนข้างจับต้องง่ายภายในเวลาห้านาที และการเล่าเรื่องนี้เองที่ส่วนตัวมองว่ามันรวบรัดไปหน่อย แป๊บเดียวเรื่องก็ไปข้างหน้าไวมาก ๆ เหมือนกับจะรีบโยนตัวละครให้เข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุดจะตื่นเต้น เหมือนเป็นสคริปต์ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับตัวละครอื่น ๆ นอกจากรายา และบทก็ค่อนข้างจะหลวม ๆ ไม่ค่อยแน่น สถานที่ที่ถูกนำเสนอในเรื่องจึงเป็นเหมือนจุดแวะพักของตัวละครให้ออกมาแนะนำตัว และแทบไม่ขยี้เรื่องเลย แป๊บเดียวเปลี่ยนเรื่อง เดี๋ยวก็ตลกเดี๋ยวก็เศร้า เปลี่ยนไปเร็วมาก แต่ก็ยังดี ดูได้เพลิน ๆ ไม่มีอะไรให้รู้สึกเบื่อตามมาตรฐานของดิสนีย์อยู่ แค่รู้สึกว่าชอบอนิเมชั่นเรื่องก่อน ๆ มากกว่า
ดังนั้นสิ่งที่จะมาช่วยอุดในบทที่หลวมของตัวละครจึงเป็นสภาพแวดล้อมและการนำเสนอ ในแต่ละฉากจะชวนให้เรานึกถึงประเทศไทย อาหารการกิน ผู้คน บ้านเมือง สิ่งของ พื้นที่ต่าง ๆ เป็นการจำลองสถานที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย รายาก็มีความโดดเด่นในบุคลิกและการต่อสู้และโชว์ให้เห็นมุมที่มากกว่าเจ้าหญิงคนหนึ่งจะเป็นได้ ในขณะชื่อตัวละครเสริมอื่น ๆ ยังเป็นแบบไทย ๆ และมีเสน่ห์แตกต่างกันไปตามดินแดนนั้น ๆ และมีปมเข้มข้นเป็นของตัวเอง ตัวละครประเภทสัตว์โลกหรืออะไรน่ารัก ๆ ก็มีให้ออกมาขำและเอ็นกูกับความน่ารัก นอกจากนี้ฉากและมุมกล้องต่าง ๆ ยังแปลกตา ชวนให้นึกถึงหนังแอ็คชั่น ฉากต่อสู้ระหว่างตัวละครถือว่ายกระดับดิสนีย์ไปเลย เพราะมันมีการตีรันฟันแทงแบบจัดเต็ม มุมกล้องฉับไว และชวนให้นึกถึงหนังผจญภัยอย่าง Indiana Jones and the Last Crusade โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ของเรื่อง ซึ่งเป็นแบบที่ไม่คาดคิดว่าดิสนีย์จะทำ แม้จะได้ยินว่าได้แรงบันดาลใจจากอินเดียน่า โจนน์ เพราะมีฉากผจญภัยแบบล่าสมบัติเบา ๆ แต่เสียดายที่ไม่ได้ตื่นตามากอย่างที่คิด เหมือนเป็นการเดินทางไปเรื่อย ๆ และจะมีการผจญภัยที่สุดตื่นตราได้บางฉาก แต่ก็ไม่ได้แฟนตาซีจ๋า ๆ ผจญภัยบู๊แหลกราญขนาดนั้น มันจะมีเป็นระยะ ๆ
การผสมผสานทำให้เราได้เห็นมวยไทย กระบี่กระบองในเรื่องด้วย ซึ่งใครไปดูก็จะเก็ตเลยว่ามันก็คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่เอง การต่อสู้จะค่อนข้างมีหมัด มีดาบ มีมวย และแทบไม่มีเรื่องของความรักหนุ่มสาวตามแบบเจ้าหญิงควรจะมีด้วย (แบบโมอาน่า แต่เพราะตัวละครหลัก ๆ จะเป็นผู้หญิงที่มีความขัดแย้งและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนจนพูดได้เต็มปากว่า ถ้าจะเป็นคู่รักคู่แค้นก็ไม่ผิด เพราะตัวละครผู้ชายแทบจะไม่มีบทเด่นสำคัญหรือมีผลต่อความสัมพันธ์อะไรเหมือนดิสนีย์ และมันก็ทำออกมาได้ดีด้วย) แถมเนื้อเรื่องยังค่อนข้างจะเข้มข้นด้วยปมปัญหาของตัวละครที่เข้ามาทำให้ตัวละครดูมีมิติขึ้นมา โดยเฉพาะช่วงต้นเรื่องชวนให้นึกถึงฉากนึงใน อเวนเจอร์หลายภาคมารวมกัน เลยทีเดียว มันทั้งดาร์กโทนเรื่องยังสิ้นหวังและหมองหม่นผิดกับธรรมเนียมดิสนีย์มาก ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แก่นเรื่องของ Raya and The Last Dragon นั้นไม่ได้มีอะไรใหม่หรือแตกต่างจากที่เราเคยรับรู้ มันคือความสามัคคีและความเชื่อใจ ซึ่งเป็นแก่นหลักที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือแม้แต่ประเทศไทยก็ยังยึดถือ เราต้องรู้จักที่จะพยายามไว้ใจคนอื่น ก่อนที่จะไม่ไว้ใจใคร เพราะมันไม่สายเกินไปที่จะเปิดโอกาสให้กับผู้อื่น ตัวละครหลักในเรื่องจะมีปมที่ไม่เชื่อใจใคร เพราะมีบาดแผลจากในอดีตทำให้ทำทุกอย่างไปด้วยกำลัง ด้วยความโกรธ ด้วยความหุนหันพลันแล่นจนมักจะทำให้อะไรแย่ลงเรื่อย ๆ เธอมองทุกคนเป็นศัตรูและคิดว่าทุกคนต้องต่อสู้กันถึงจะสามารถสร้างความสงบสุขได้ จนกระทั่งเธอได้เรียนรู้จากการเดินทาง การได้เจอคนรอบ ๆ ตัว ก็ทำให้มุมมองรอบตัวเปลี่ยนไป เธอต้องรู้จักให้ใจคนอื่น มอบความหวังดี และมันจะเปลี่ยนเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับอุปสรรค หรือทำการใด ๆ ให้สำเร็จ หรือแม้แต่ความเชื่อที่เข้ามาปิดกั้นสิ่งที่คิดอย่างแท้จริง บางครั้งเราอาจจะคิดว่าสิ่งที่กำลังทำ มันดี เพราะเราคิดว่าดี แต่ถ้าเรามีสิ่งที่อยากทำจากใจจริง เราก็ไม่ต้องไปสนใจเสียงของใคร แค่มุ่งหน้าไปและทำมันก็พอ และที่สำคัญเราต้องรู้จักที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง และเข้มแข็งแต่ก็อ่อนแอได้ เพราะมันไม่ผิดเลยในการเป็นมนุษย์ที่สามารถพ่ายแพ้ได้ ซึ่งแมสเซจเหล่านี้มันสามารถทำให้ทรงพลังได้ แต่กลับทำออกมาได้พอผ่าน ๆ ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งหรือกินใจจนต้องเสียน้ำตาสักเท่าไหร่ ยกเว้นตอนเดิมพันที่หนักหนามากของตัวละครในท้ายเรื่องที่ทำให้น้ำตาซึมอยู่ เพราะตัวละครของเรื่องทำให้เราอินและสิ้นหวังได้จริง ๆ
งานภาพตามมาตรฐานดิสนีย์แต่สมจริงขึ้นด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ หยดน้ำที่สมจริงยันรายละเอียดของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงรูขุมขน บรรยากาศของพื้นที่บ้านเมือง ต่าง ๆ ในเรื่องมีชีวิตชีวาชวนให้นึกถึงประเทศไทย ลาว เวียดนาม เมียนมาร์ และประเทศอื่น ๆ ในส่วนของสิ่งของในเรื่อง ซึ่งนำเสนอออกมาได้ดีมีรายละเอียด และประณีตวิจิตร ทั้งผ้าไหม ผ้าสไบ ลวดลายต่าง ๆ ทำให้เห็นแล้วร้องอ๋อเลยว่า เห้ย นี่มันคล้ายของประเทศเราเลยทีเดียว แต่ถ้าถามหาความเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบจริง ๆ จัง ๆ ในพื้นที่ อาจจะต้องแอบผิดหวังเพราะเอาจริง ๆ มันเหมือนหยิบเอาส่วนเด่น ๆ ของบางประเทศมาใช้มากกว่า แต่เข้าใจว่าคงเอามาทั้งหมดไม่ได้แน่ ๆ เพราะมันเยอะมาก ๆ เลยในทวีปเรา ทำให้พื้นที่อาณาจักรต่าง ๆ ในเรื่องมันก็ถูกเล่าแบบพอหอมปากหอมคอไม่ได้มีความหลากหลายขนาดนั้น ยิ่งเมื่อเรื่องราวมันเล่าไว โลกของหนังมันจึงค่อนข้างเล็ก ๆ และไม่ค่อยมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง เหมือนเดินทางไปแบบผ่าน ๆ ให้เห็นวัฒนธรรมดินแดนนั้น ๆ มากกว่า ไหนจะบทพูดหรือมุกตลกที่บางครั้งก็ดูทันสมัยผิดกับยุคที่ตัวละครอยู่ แต่ในส่วนของการเคลื่อนไหวคือเป็นธรรมชาติสมจริงและพริ้วไหวมาตรฐานของดิสนีย์ในยุคหลัง ๆ
เรื่องของเสียงเพลงบรรเลงในเรื่องก็ไพเราะ อลังการ มีกลิ่นอายของเครื่องดนตรีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เจือจางเล็ก ๆ เสริมบรรยากาศในเรื่อง จะมีก็แต่เพลงประกอบช่วงท้ายอย่าง Lead The Way เพลงปิดแบบป๊อบที่พอจะเป็นที่ติดหูบ้าง เพราะความหมายของเพลงคือใจความสำคัญของเรื่องนี้เลย ส่วนในเสียงพากย์ของตัวละครหลักอย่าง รายา ที่ได้นักแสดงดาราสาวอย่าง ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ ก็ต้องบอกว่าไม่มีอะไรติดขัดมากมาย ญาญ่าสอบผ่านในการเป็นรายาอย่างไม่มีข้อกังขาครับ เก็บรายละเอียดของตัวละครมาเป็นอย่างดีและสามารถมีเคมีกับตัวละครอื่นที่เป็นนักพากย์มืออาชีพได้อย่างกลมกลืน ซึ่งถือว่าผิดคาดมาก เพราะตอนแรกแอบทำใจไว้ว่ามันจะต้องพอใช้ได้แค่นั้น แต่ญาญ่าทำได้ดีแม้จะมีจริตของตัวเองที่เป็นญาญ่าและมีเสียงไม่แข็งกร้าวเท่าต้นฉบับ แต่เวลาตัวละครรายาพูดจามันก็ชัดเจนหนักแน่นและทรงพลังจริง ๆ ตามโทนเสียง เพราะงั้นถ้าใครที่กลัวว่าพากย์ไทยจะห่วย ก็ไม่ต้องกังวลไป ญาญ่าพากย์ดีมาก ๆ ตัวละครอื่นก็มาตรฐานนักพากย์ดิสนีย์ครับ
ถ้าไม่นับช่วงแรกที่เล่าเรื่องแล้วพยายามจูนกับตัวละครรายาจนติดเสียงแบบโฆษณาแปร่ง รายาของญาญ่าคือเกาะติดบทและเข้าขากับนักพากย์มืออาชีพอย่างเป็นธรรมชาติ ดึงเสน่ห์ของรายา ทั้งยังเก็บรายละเอียดพากย์ทุกเม็ด บอกได้เลยว่า ถ้าฝึกฝนพัฒนาฝีมือมากกว่านี้เป็นนักพากย์อาชีพได้สบายเลย ในขณะที่คุณพิม พิมพิดา พิทักษ์สงคราม ที่ได้มาพากย์เสียงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก หลังจากฝากผลงานพากย์ แอมฟิเบีย อนิเมชั่นผจญดินแดนบึงที่มีตัวละครเอกหญิงเป็นคนไทยอย่างแอนน์ บุญช่วย ก็ทำออกมาได้ดีจนนึกว่าเป็นอควาฟีน่าพูดไทยเลยทีเดียว เธอสามารถถ่ายทอดซีซูที่มีความขี้เล่น แต่ก็จริงจัง และบางครั้งก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่โดดเด่น และเคมีเข้าขากับญาญ่ามาก ๆ อย่างน่าตกใจเลย ใครเป็นแฟนคลับเสียงพากย์กับญาญ่าคุณจะต้องปลื้มและภูมิใจกับเธอมาก ๆ
ถือเป็นก้าวแรกของดิสนีย์ในการหยิบนำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของดิสนีย์ที่ไม่ได้แย่ ดีตามมาตรฐาน ตีตลาดเป้าหมายเอเชียได้อยู่ แต่ถ้าพูดแบบไม่อ้อมค้อมในภาพรวมจริง ๆ มันไม่ได้มีอะไรน่าจดจำ โดดเด่นนอกจากเรื่องของการนำเสนอวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีความแตกต่างจากงานดิสนีย์ก่อนหน้าในทางการนำเสนอเจ้าหญิงดิสนีย์ที่จับต้องง่ายด้วยความติดดินและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับคนไทย ประเด็นของเรื่องที่เข้มข้นแม้ไม่ได้ขยี้อะไรมาก และฉากแอ็คชั่นสุดดุเดือด พล็อตที่คาดเดาง่าย เล่าเรื่องไว ไม่มีการขยี้ประเด็นอื่น ๆ ของตัวละครให้เรารู้สึกอินตาม แต่ก็ได้เห็นวัฒนธรรมของอาเซียนตัวเองมาโลดเล่นอยู่บนจอภาพยนตร์ เสียงพากย์ของตัวละครทุกตัวก็ต้องบอกเลยว่าใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้รายากับมังกรสุดท้าย เป็นเหมือนยำใหญ่ที่ทานอร่อยนะแต่ไม่ค่อยอยากทานซ้ำเป็นครั้งที่สองสักเท่าไหร่ อยากกลับไปดูอีกเพราะเสียงพากย์ไทยจริง ๆ ดังนั้นถ้ามีเวลาว่างก็พาครอบครัวไปดูกันเยอะ ๆ นะครับ งานคุณภาพอยู่แล้ว จะรออะไรอยู่ล่ะครับ
7.5/10
ปล. สปอยตอนท้าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รายากับนามารีเขารักกันครับ เคลลี่ มารี ทราน คนพากย์ส่งไม้พายให้แล้ว
เรื่องที่ 37 Raya and The Last Dragon ยำใหญ่ SEA ที่ก็ทานอร่อยอยู่
ใครจะไปคาดคิดกันว่าดิสนีย์จะหยิบนำวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รวมกว่าสิบประเทศให้มาอยู่ในโปรเจกต์อนิเมชั่นยักษ์ใหญ่ที่มีการผสมผสานของหลากหลายวัฒนธรรมบนดินแดนเดียวกัน ผสมกับความแฟนตาซีแบบที่ดิสนีย์ถนัดมือ แต่ก็ต้องมาเรียนรู้และนับหนึ่งกันใหม่ เมื่อทีมงานต้องศึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเนรมิตให้วัฒนธรรมที่ทำออกมาสามารถนำเสนอได้อย่างไม่มีการผิดพลาด หรือทำลายวัฒนธรรมหนึ่งผ่านตัวละครเจ้าหญิงคนใหม่ และจากเอเชียตะวันเฉียงใต้คนแรกของโลกอย่าง รายา หญิงสาวผู้มุ่งมั่นที่จะออกตามหามังกรที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก พญานาค (มีขา?) เพื่อปลดปล่อยอาณาจักรจากความมืดทั้งปวง เรียกได้ว่านอกจากทีมงานจะต้องทำการบ้านใหญ่ ที่สำคัญกระบวนการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ WORK FROM HOME คุยงานผ่านเฟซไทม์ พากย์เสียงผ่านทางไกลในบ้าน ทำทุกอย่างที่บ้านในช่วงยุคโควิด ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้ทีมงานเข้าไปอีก แต่ในที่สุดภาพยนตร์ก็ได้คำวิจารณ์ในแง่บวกเรียบร้อยโรงเรียนดิสนีย์
“คูมันตรา ดินแดนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรายา นักรบหญิงพเนจรผู้หลบหนีออกมาจากเหตุร้ายที่คร่าชีวิตครอบครัวของเธอไปจนหมด ปฏิญาณเดียวที่เธอต้องทำคือการกอบกู้โลกและเธอจะไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น เธอและสัตว์พาหนะเพื่อนรักของเธออย่างตุ๊ก ตุ๊ก จึงต้องออกเดินทางผ่านห้าอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามส่วนต่าง ๆ ของมังกร เพื่อนำผลึกมังกรและมังกรตัวสุดท้าย ชิซู ที่ในตำนานกล่าวไว้ว่า เป็นผู้กอบกู้อาณาจักรในอดีต มาหลอมรวมกันเพื่อสร้างความสงบสุขอีกครั้ง แต่เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้น เมื่อชนเผ่าต่าง ๆ ที่เคยสามัคคีก็ลุกขึ้นมาต่อสู้และแก่งแย่งชิงกันไม่สิ้นสุด ความไม่เชื่อใจเข้าปกคลุมอาณาจักร รายาต้องเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับความบาดหมางในอดีตที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นก่อน และความสัมพันธ์ที่มีต่อคนรอบตัว หาทางรวมใจทุกเผ่าเพื่อกอบกู้อาณาจักรให้กลับมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ก่อนที่ความมืดที่ชั่วร้ายอย่าง ดรูน จะกลืนกินทุกชีวิตในอาณาจักรไปจนหมดสิ้น”
ก่อนที่รายาจะฉายนั้น มีอนิเมชั่นสั้นตามธรรมเนียมดิสนีย์ให้ดูกันประมาณ 10 นาทีชื่อว่า Us Again เหมือนอย่างเคย เป็นอนิเมชั่นที่ไม่มีบทพูดแต่เป็นเหมือนโชว์ก่อนแสดงของดิสนีย์ซึ่งผมจะไม่สปอยเนื้อเรื่องเพราะมันไม่มีอะไรนอกจากเพลงแจ๊สกับงานภาพสวย ๆ ระดับทอย สตอรี่ให้ดูเพลิน ๆ จากนั้นเมื่อเข้าเรื่องรายามา จะมีกลิ่นอายของความเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มันลอยเข้ามาเลยด้วยงานภาพสไตล์ตะวันตกแต่ถูกบอกเล่าผ่านสภาพแวดล้อมแบบอาเซียน พลอตแบบอนิเมชั่นสูตรสำเร็จ และค่อนข้างจับต้องง่ายภายในเวลาห้านาที และการเล่าเรื่องนี้เองที่ส่วนตัวมองว่ามันรวบรัดไปหน่อย แป๊บเดียวเรื่องก็ไปข้างหน้าไวมาก ๆ เหมือนกับจะรีบโยนตัวละครให้เข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุดจะตื่นเต้น เหมือนเป็นสคริปต์ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับตัวละครอื่น ๆ นอกจากรายา และบทก็ค่อนข้างจะหลวม ๆ ไม่ค่อยแน่น สถานที่ที่ถูกนำเสนอในเรื่องจึงเป็นเหมือนจุดแวะพักของตัวละครให้ออกมาแนะนำตัว และแทบไม่ขยี้เรื่องเลย แป๊บเดียวเปลี่ยนเรื่อง เดี๋ยวก็ตลกเดี๋ยวก็เศร้า เปลี่ยนไปเร็วมาก แต่ก็ยังดี ดูได้เพลิน ๆ ไม่มีอะไรให้รู้สึกเบื่อตามมาตรฐานของดิสนีย์อยู่ แค่รู้สึกว่าชอบอนิเมชั่นเรื่องก่อน ๆ มากกว่า
ดังนั้นสิ่งที่จะมาช่วยอุดในบทที่หลวมของตัวละครจึงเป็นสภาพแวดล้อมและการนำเสนอ ในแต่ละฉากจะชวนให้เรานึกถึงประเทศไทย อาหารการกิน ผู้คน บ้านเมือง สิ่งของ พื้นที่ต่าง ๆ เป็นการจำลองสถานที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย รายาก็มีความโดดเด่นในบุคลิกและการต่อสู้และโชว์ให้เห็นมุมที่มากกว่าเจ้าหญิงคนหนึ่งจะเป็นได้ ในขณะชื่อตัวละครเสริมอื่น ๆ ยังเป็นแบบไทย ๆ และมีเสน่ห์แตกต่างกันไปตามดินแดนนั้น ๆ และมีปมเข้มข้นเป็นของตัวเอง ตัวละครประเภทสัตว์โลกหรืออะไรน่ารัก ๆ ก็มีให้ออกมาขำและเอ็นกูกับความน่ารัก นอกจากนี้ฉากและมุมกล้องต่าง ๆ ยังแปลกตา ชวนให้นึกถึงหนังแอ็คชั่น ฉากต่อสู้ระหว่างตัวละครถือว่ายกระดับดิสนีย์ไปเลย เพราะมันมีการตีรันฟันแทงแบบจัดเต็ม มุมกล้องฉับไว และชวนให้นึกถึงหนังผจญภัยอย่าง Indiana Jones and the Last Crusade โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ของเรื่อง ซึ่งเป็นแบบที่ไม่คาดคิดว่าดิสนีย์จะทำ แม้จะได้ยินว่าได้แรงบันดาลใจจากอินเดียน่า โจนน์ เพราะมีฉากผจญภัยแบบล่าสมบัติเบา ๆ แต่เสียดายที่ไม่ได้ตื่นตามากอย่างที่คิด เหมือนเป็นการเดินทางไปเรื่อย ๆ และจะมีการผจญภัยที่สุดตื่นตราได้บางฉาก แต่ก็ไม่ได้แฟนตาซีจ๋า ๆ ผจญภัยบู๊แหลกราญขนาดนั้น มันจะมีเป็นระยะ ๆ
การผสมผสานทำให้เราได้เห็นมวยไทย กระบี่กระบองในเรื่องด้วย ซึ่งใครไปดูก็จะเก็ตเลยว่ามันก็คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่เอง การต่อสู้จะค่อนข้างมีหมัด มีดาบ มีมวย และแทบไม่มีเรื่องของความรักหนุ่มสาวตามแบบเจ้าหญิงควรจะมีด้วย (แบบโมอาน่า แต่เพราะตัวละครหลัก ๆ จะเป็นผู้หญิงที่มีความขัดแย้งและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนจนพูดได้เต็มปากว่า ถ้าจะเป็นคู่รักคู่แค้นก็ไม่ผิด เพราะตัวละครผู้ชายแทบจะไม่มีบทเด่นสำคัญหรือมีผลต่อความสัมพันธ์อะไรเหมือนดิสนีย์ และมันก็ทำออกมาได้ดีด้วย) แถมเนื้อเรื่องยังค่อนข้างจะเข้มข้นด้วยปมปัญหาของตัวละครที่เข้ามาทำให้ตัวละครดูมีมิติขึ้นมา โดยเฉพาะช่วงต้นเรื่องชวนให้นึกถึงฉากนึงใน อเวนเจอร์หลายภาคมารวมกัน เลยทีเดียว มันทั้งดาร์กโทนเรื่องยังสิ้นหวังและหมองหม่นผิดกับธรรมเนียมดิสนีย์มาก ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
งานภาพตามมาตรฐานดิสนีย์แต่สมจริงขึ้นด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ หยดน้ำที่สมจริงยันรายละเอียดของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงรูขุมขน บรรยากาศของพื้นที่บ้านเมือง ต่าง ๆ ในเรื่องมีชีวิตชีวาชวนให้นึกถึงประเทศไทย ลาว เวียดนาม เมียนมาร์ และประเทศอื่น ๆ ในส่วนของสิ่งของในเรื่อง ซึ่งนำเสนอออกมาได้ดีมีรายละเอียด และประณีตวิจิตร ทั้งผ้าไหม ผ้าสไบ ลวดลายต่าง ๆ ทำให้เห็นแล้วร้องอ๋อเลยว่า เห้ย นี่มันคล้ายของประเทศเราเลยทีเดียว แต่ถ้าถามหาความเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบจริง ๆ จัง ๆ ในพื้นที่ อาจจะต้องแอบผิดหวังเพราะเอาจริง ๆ มันเหมือนหยิบเอาส่วนเด่น ๆ ของบางประเทศมาใช้มากกว่า แต่เข้าใจว่าคงเอามาทั้งหมดไม่ได้แน่ ๆ เพราะมันเยอะมาก ๆ เลยในทวีปเรา ทำให้พื้นที่อาณาจักรต่าง ๆ ในเรื่องมันก็ถูกเล่าแบบพอหอมปากหอมคอไม่ได้มีความหลากหลายขนาดนั้น ยิ่งเมื่อเรื่องราวมันเล่าไว โลกของหนังมันจึงค่อนข้างเล็ก ๆ และไม่ค่อยมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง เหมือนเดินทางไปแบบผ่าน ๆ ให้เห็นวัฒนธรรมดินแดนนั้น ๆ มากกว่า ไหนจะบทพูดหรือมุกตลกที่บางครั้งก็ดูทันสมัยผิดกับยุคที่ตัวละครอยู่ แต่ในส่วนของการเคลื่อนไหวคือเป็นธรรมชาติสมจริงและพริ้วไหวมาตรฐานของดิสนีย์ในยุคหลัง ๆ
เรื่องของเสียงเพลงบรรเลงในเรื่องก็ไพเราะ อลังการ มีกลิ่นอายของเครื่องดนตรีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เจือจางเล็ก ๆ เสริมบรรยากาศในเรื่อง จะมีก็แต่เพลงประกอบช่วงท้ายอย่าง Lead The Way เพลงปิดแบบป๊อบที่พอจะเป็นที่ติดหูบ้าง เพราะความหมายของเพลงคือใจความสำคัญของเรื่องนี้เลย ส่วนในเสียงพากย์ของตัวละครหลักอย่าง รายา ที่ได้นักแสดงดาราสาวอย่าง ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ ก็ต้องบอกว่าไม่มีอะไรติดขัดมากมาย ญาญ่าสอบผ่านในการเป็นรายาอย่างไม่มีข้อกังขาครับ เก็บรายละเอียดของตัวละครมาเป็นอย่างดีและสามารถมีเคมีกับตัวละครอื่นที่เป็นนักพากย์มืออาชีพได้อย่างกลมกลืน ซึ่งถือว่าผิดคาดมาก เพราะตอนแรกแอบทำใจไว้ว่ามันจะต้องพอใช้ได้แค่นั้น แต่ญาญ่าทำได้ดีแม้จะมีจริตของตัวเองที่เป็นญาญ่าและมีเสียงไม่แข็งกร้าวเท่าต้นฉบับ แต่เวลาตัวละครรายาพูดจามันก็ชัดเจนหนักแน่นและทรงพลังจริง ๆ ตามโทนเสียง เพราะงั้นถ้าใครที่กลัวว่าพากย์ไทยจะห่วย ก็ไม่ต้องกังวลไป ญาญ่าพากย์ดีมาก ๆ ตัวละครอื่นก็มาตรฐานนักพากย์ดิสนีย์ครับ
ถ้าไม่นับช่วงแรกที่เล่าเรื่องแล้วพยายามจูนกับตัวละครรายาจนติดเสียงแบบโฆษณาแปร่ง รายาของญาญ่าคือเกาะติดบทและเข้าขากับนักพากย์มืออาชีพอย่างเป็นธรรมชาติ ดึงเสน่ห์ของรายา ทั้งยังเก็บรายละเอียดพากย์ทุกเม็ด บอกได้เลยว่า ถ้าฝึกฝนพัฒนาฝีมือมากกว่านี้เป็นนักพากย์อาชีพได้สบายเลย ในขณะที่คุณพิม พิมพิดา พิทักษ์สงคราม ที่ได้มาพากย์เสียงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก หลังจากฝากผลงานพากย์ แอมฟิเบีย อนิเมชั่นผจญดินแดนบึงที่มีตัวละครเอกหญิงเป็นคนไทยอย่างแอนน์ บุญช่วย ก็ทำออกมาได้ดีจนนึกว่าเป็นอควาฟีน่าพูดไทยเลยทีเดียว เธอสามารถถ่ายทอดซีซูที่มีความขี้เล่น แต่ก็จริงจัง และบางครั้งก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่โดดเด่น และเคมีเข้าขากับญาญ่ามาก ๆ อย่างน่าตกใจเลย ใครเป็นแฟนคลับเสียงพากย์กับญาญ่าคุณจะต้องปลื้มและภูมิใจกับเธอมาก ๆ
ถือเป็นก้าวแรกของดิสนีย์ในการหยิบนำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของดิสนีย์ที่ไม่ได้แย่ ดีตามมาตรฐาน ตีตลาดเป้าหมายเอเชียได้อยู่ แต่ถ้าพูดแบบไม่อ้อมค้อมในภาพรวมจริง ๆ มันไม่ได้มีอะไรน่าจดจำ โดดเด่นนอกจากเรื่องของการนำเสนอวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีความแตกต่างจากงานดิสนีย์ก่อนหน้าในทางการนำเสนอเจ้าหญิงดิสนีย์ที่จับต้องง่ายด้วยความติดดินและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับคนไทย ประเด็นของเรื่องที่เข้มข้นแม้ไม่ได้ขยี้อะไรมาก และฉากแอ็คชั่นสุดดุเดือด พล็อตที่คาดเดาง่าย เล่าเรื่องไว ไม่มีการขยี้ประเด็นอื่น ๆ ของตัวละครให้เรารู้สึกอินตาม แต่ก็ได้เห็นวัฒนธรรมของอาเซียนตัวเองมาโลดเล่นอยู่บนจอภาพยนตร์ เสียงพากย์ของตัวละครทุกตัวก็ต้องบอกเลยว่าใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้รายากับมังกรสุดท้าย เป็นเหมือนยำใหญ่ที่ทานอร่อยนะแต่ไม่ค่อยอยากทานซ้ำเป็นครั้งที่สองสักเท่าไหร่ อยากกลับไปดูอีกเพราะเสียงพากย์ไทยจริง ๆ ดังนั้นถ้ามีเวลาว่างก็พาครอบครัวไปดูกันเยอะ ๆ นะครับ งานคุณภาพอยู่แล้ว จะรออะไรอยู่ล่ะครับ
7.5/10
ปล. สปอยตอนท้าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้