อยากแชร์ไว้เป็นวิทยาทานเผื่อใครแวะมาอ่านค่ะ
เมื่อ 4 เดือนก่อน เราทานข้าวไม่ตรงเวลา แล้วไปทานอาหารรสเผ็ดจัดติดกันหลายวันช่วงที่ท้องว่างและกำลังหิวแสบท้อง กลายเป็นโรคกระเพาะเลยค่ะ
ตอนนั้นปวดท้อง นอนไม่หลับ กินยาน้ำลดกรด + ขมิ้นชัน + งดของเผ็ด เป็นอยู่ประมาณอาทิตย์นึงก็หาย
พอผ่านไปก็ใช้ชีวิตแบบเดิม ทานข้าวไม่ตรงเวลา แล้วไปทานรสเผ็ดจัดตอนท้องว่างอีก คราวนี้กลับมาเป็นอีกแล้ว
แต่คราวนี้ เหมือนยาลดกรดตัวเดิมก็เอาไม่อยู่ อาการคือ หิวแทบจะทุก 1 ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมง
ดึกดื่นห้าทุ่ม - เที่ยงคืน - ตี 1 - ตี 2 ไม่เป็นอันนอนเลยค่ะ มันจะหิวจนต้องลุกมาหาอะไรกิน ถ้าไม่กินจะปวดท้อง
กินยาลดกรดก็เหมือนกรดเกินในกระเพาะไม่ลดลงเลย
ซื้อขมิ้นชันมากินร่วมด้วย ก็เบาขึ้น แต่ก็ยังหิวบ่อยอยู่ เป็นแบบนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ ไม่อยากกินยาแล้ว ทำไงดี
แถมเริ่มมีอาการเหมือนจะเป็นกรดไหลย้อนอีก คงเป็นเพราะตื่นมากินกลางดึกแล้วเข้านอนนี่แหละ
จนกระทั่งอ่านเจอในนี้ว่าชงผงกล้วยน้ำว้าดิบดื่มช่วยรักษาโรคกระเพาะ และกรดไหลย้อน ก็เลยลองซื้อมาทานบ้าง
ตื่นเช้ามาก่อนทานอาหารซักครึ่งชั่วโมง ชงผงกล้วยน้ำหว้าดิบ 1 ช้อนโต๊ะ ในน้ำอุ่นค่อนร้อน ประมาณ 200-250 มล. เพื่อให้กล้วยน้ำหว้าเข้าไปเคลือบกระเพาะก่อน
ดื่มก่อนอาหารวันละ 4 เวลา มื้อเช้า, มื้อกลางวัน, มื้อเย็น และก่อนนอน (ถ้าดื่มก่อนนอน ดื่มเสร็จก็นั่งพักก่อนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ป้องกันกรดไหลย้อน)
หลังอาหาร 1 ชั่วโมงก็จะทานขมิ้นชัน 1- 2 แคปซูล
ไม่ถึงอาทิตย์ อาการดีขึ้นจริงๆค่ะ ดีใจมากๆ เลิกทานยาลดกรดแล้ว ตอนหลังลองไม่ชงผงกล้วยน้ำหว้าดื่มก็ไม่แสบท้องแล้ว ส่วนขมิ้นชันยังทานหลังอาหารอยู่ อันนี้ช่วยได้จริงๆค่ะ
นอกจากนี้ เราพยายามดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อให้มันไปเจือจางกรดในกระเพาะด้วย ซึ่งก็ช่วยได้เหมือนกัน
ตอนนี้ก็ปรับพฤติกรรมการกินใหม่ พยายามกินข้าวให้ตรงเวลา อย่ารอจนหิวจัด และไม่กินรสจัดตอนท้องว่าง
ในส่วนของผงกล้วยน้ำหว้าดิบนั้น หากท่านไหนไม่สะดวก จะซื้อกล้วยน้ำหว้าดิบมาปอกเปลือก ฝานเป็นแว่นบางๆ ตากแดดจัดซัก 2-3 แดด แล้วตำให้ละเอียดเก็บใส่ภาชนะปิดสนิทเก็บไว้ชงดื่มก็ได้ค่ะ
ของเราซื้อแบบที่เค้าทำสำเร็จถุงละ 200 กรัม มาลองชงดื่มถุงนึง กะว่าถ้าไม่หาย จะซื้อกล้วยมาตากเอง แต่ปรากฏว่าชงดื่มไปยังไม่ทันถึงครึ่งถุงอาการก็ดีขึ้นแล้วค่ะ
ฝากไว้เผื่อใครทานยาลดกรดแล้วไม่ดีขึ้น ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูนะคะ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็แนะนำให้หาหมอดีที่สุดค่ะ
ขอแชร์ประสบการณ์ ดูแลตัวเองจากโรคกระเพาะอาหารค่ะ
เมื่อ 4 เดือนก่อน เราทานข้าวไม่ตรงเวลา แล้วไปทานอาหารรสเผ็ดจัดติดกันหลายวันช่วงที่ท้องว่างและกำลังหิวแสบท้อง กลายเป็นโรคกระเพาะเลยค่ะ
ตอนนั้นปวดท้อง นอนไม่หลับ กินยาน้ำลดกรด + ขมิ้นชัน + งดของเผ็ด เป็นอยู่ประมาณอาทิตย์นึงก็หาย
พอผ่านไปก็ใช้ชีวิตแบบเดิม ทานข้าวไม่ตรงเวลา แล้วไปทานรสเผ็ดจัดตอนท้องว่างอีก คราวนี้กลับมาเป็นอีกแล้ว
แต่คราวนี้ เหมือนยาลดกรดตัวเดิมก็เอาไม่อยู่ อาการคือ หิวแทบจะทุก 1 ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมง
ดึกดื่นห้าทุ่ม - เที่ยงคืน - ตี 1 - ตี 2 ไม่เป็นอันนอนเลยค่ะ มันจะหิวจนต้องลุกมาหาอะไรกิน ถ้าไม่กินจะปวดท้อง
กินยาลดกรดก็เหมือนกรดเกินในกระเพาะไม่ลดลงเลย
ซื้อขมิ้นชันมากินร่วมด้วย ก็เบาขึ้น แต่ก็ยังหิวบ่อยอยู่ เป็นแบบนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ ไม่อยากกินยาแล้ว ทำไงดี
แถมเริ่มมีอาการเหมือนจะเป็นกรดไหลย้อนอีก คงเป็นเพราะตื่นมากินกลางดึกแล้วเข้านอนนี่แหละ
จนกระทั่งอ่านเจอในนี้ว่าชงผงกล้วยน้ำว้าดิบดื่มช่วยรักษาโรคกระเพาะ และกรดไหลย้อน ก็เลยลองซื้อมาทานบ้าง
ตื่นเช้ามาก่อนทานอาหารซักครึ่งชั่วโมง ชงผงกล้วยน้ำหว้าดิบ 1 ช้อนโต๊ะ ในน้ำอุ่นค่อนร้อน ประมาณ 200-250 มล. เพื่อให้กล้วยน้ำหว้าเข้าไปเคลือบกระเพาะก่อน
ดื่มก่อนอาหารวันละ 4 เวลา มื้อเช้า, มื้อกลางวัน, มื้อเย็น และก่อนนอน (ถ้าดื่มก่อนนอน ดื่มเสร็จก็นั่งพักก่อนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ป้องกันกรดไหลย้อน)
หลังอาหาร 1 ชั่วโมงก็จะทานขมิ้นชัน 1- 2 แคปซูล
ไม่ถึงอาทิตย์ อาการดีขึ้นจริงๆค่ะ ดีใจมากๆ เลิกทานยาลดกรดแล้ว ตอนหลังลองไม่ชงผงกล้วยน้ำหว้าดื่มก็ไม่แสบท้องแล้ว ส่วนขมิ้นชันยังทานหลังอาหารอยู่ อันนี้ช่วยได้จริงๆค่ะ
นอกจากนี้ เราพยายามดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อให้มันไปเจือจางกรดในกระเพาะด้วย ซึ่งก็ช่วยได้เหมือนกัน
ตอนนี้ก็ปรับพฤติกรรมการกินใหม่ พยายามกินข้าวให้ตรงเวลา อย่ารอจนหิวจัด และไม่กินรสจัดตอนท้องว่าง
ในส่วนของผงกล้วยน้ำหว้าดิบนั้น หากท่านไหนไม่สะดวก จะซื้อกล้วยน้ำหว้าดิบมาปอกเปลือก ฝานเป็นแว่นบางๆ ตากแดดจัดซัก 2-3 แดด แล้วตำให้ละเอียดเก็บใส่ภาชนะปิดสนิทเก็บไว้ชงดื่มก็ได้ค่ะ
ของเราซื้อแบบที่เค้าทำสำเร็จถุงละ 200 กรัม มาลองชงดื่มถุงนึง กะว่าถ้าไม่หาย จะซื้อกล้วยมาตากเอง แต่ปรากฏว่าชงดื่มไปยังไม่ทันถึงครึ่งถุงอาการก็ดีขึ้นแล้วค่ะ
ฝากไว้เผื่อใครทานยาลดกรดแล้วไม่ดีขึ้น ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูนะคะ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็แนะนำให้หาหมอดีที่สุดค่ะ