คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 38
"ถ้าแต่งงาน แล้วคุณจะตาย" +++++ "ผมเป็นเอดส์"
งงตรงที่บอกว่าหากแต่งงานกัน คุณจะต้องตาย ทั้งๆที่ระหว่างที่คบกันเป็นแฟน คุณกับเค้าก็มีเพศสัมพันธ์กันอยู่แล้วนี่
ถ้าเค้าเป็นห่วงว่าคุณจะติดเชื้อแล้วตาย น่าจะบอกคุณตั้งนานแล้ว หรือไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับคุณสิ
ทำไมเพิ่งมากลัว และเพิ่งจะมาเป็นห่วงคุณ ตอนที่คุณบอกว่าจะต้องแต่งงานกัน
พิธีการแต่งงาน ทำให้คุณมีอัตราการติดเชื้อ มากกว่าตอนยังไม่แต่งงานหรืออย่างไรคะ
อ่านแล้วแอบ งง งง ตรงนี้ค่ะ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย หากเราเข้าใจผิดก็ขออภัยค่ะ
คุณเคยเห็นผลการตรวจที่ยืนยันว่าเค้าเป็น HIV หรือเปล่าคะ หรือว่าเห็นแต่ภาพยา ที่เค้าถ่ายรูปส่งมา
งงตรงที่บอกว่าหากแต่งงานกัน คุณจะต้องตาย ทั้งๆที่ระหว่างที่คบกันเป็นแฟน คุณกับเค้าก็มีเพศสัมพันธ์กันอยู่แล้วนี่
ถ้าเค้าเป็นห่วงว่าคุณจะติดเชื้อแล้วตาย น่าจะบอกคุณตั้งนานแล้ว หรือไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับคุณสิ
ทำไมเพิ่งมากลัว และเพิ่งจะมาเป็นห่วงคุณ ตอนที่คุณบอกว่าจะต้องแต่งงานกัน
พิธีการแต่งงาน ทำให้คุณมีอัตราการติดเชื้อ มากกว่าตอนยังไม่แต่งงานหรืออย่างไรคะ
อ่านแล้วแอบ งง งง ตรงนี้ค่ะ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย หากเราเข้าใจผิดก็ขออภัยค่ะ
คุณเคยเห็นผลการตรวจที่ยืนยันว่าเค้าเป็น HIV หรือเปล่าคะ หรือว่าเห็นแต่ภาพยา ที่เค้าถ่ายรูปส่งมา
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
เราขอแสดงความเห็นในฐานะที่เราทำงานที่เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์นะคะ การที่คุณขอเลิกเขาเรามองว่าไม่ผิดเลย เราให้กำลังใจ จขกท นะ แต่เราอยากให้ทุกๆคนที่อ่านคอมเมนท์เราเปิดใจลดตีตราและเลือกปฎิบัติกับผู้ติดเชื้อ ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อทั่วประเทศที่ยังคงมีชีวิตอยู่ถึง 400,000 ราย ***เราจะบอกว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีใช่ว่าจะต้องเป็นเอดส์ทุกคนนะคะ*** ต้องแยกประเด็นกัน ทั้งงานวิจัย ข้อความทางวิชาการ หากผู้ติดเชื้อ hiv รับยาต้าน ทานยาให้ตรงเวลา สามารถกดไวรอลโหลดได้ เชื้อไม่สามารถแพร่กระจายสู่คนอื่นได้นะคะ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ hiv info hub)
ความคิดเห็นที่ 25
เดี๋ยวขอโกรธให้คนที่ว่าเจ้าของกระทู้ว่าเมื่อกินยากดภูมิแล้วสามารถมีอะไรได้ปกติ
เดี๋ยวคุณต้องไปพักเลยนะ ตลอดชีวิตมันยาวนานมาก เหมือนเอาเท้าเหยียบระเบิดไว้ตลอดเวลา ถ้าวันไหนเผลอผ่อนคือตาย
มันไม่ได้หายขาดนะ เมื่อไหร่ที่ขาดยามันพร้อมกลับมาสถานะแพร่เชื้อได้ทุกเมื่อ
ไม่ใช่ทุกคนจะยินดีกำระเบิดไว้กับมือ ใครกำได้ก็ยินดีด้วย ใครทำไม่ได้มีสิทธิอะไรไปว่าเค้า
เดี๋ยวคุณต้องไปพักเลยนะ ตลอดชีวิตมันยาวนานมาก เหมือนเอาเท้าเหยียบระเบิดไว้ตลอดเวลา ถ้าวันไหนเผลอผ่อนคือตาย
มันไม่ได้หายขาดนะ เมื่อไหร่ที่ขาดยามันพร้อมกลับมาสถานะแพร่เชื้อได้ทุกเมื่อ
ไม่ใช่ทุกคนจะยินดีกำระเบิดไว้กับมือ ใครกำได้ก็ยินดีด้วย ใครทำไม่ได้มีสิทธิอะไรไปว่าเค้า
ความคิดเห็นที่ 13
ใครที่เป็นโรคร้ายต้องรักษาต่อเนื่อง เป็นโรคที่อาจมีความเสี่ยงติดต่อคนอื่น เป็นหมัน เป็นพาหะโรคทางกรรมพันธุ์ต่างๆ
ถ้ารู้มาก่อนควรบอกแฟนให้รู้ด้วย บางคนรับได้ บางคนรับไม่ได้
ยิ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แต่ปิดเงียบมีอะไรกันมาแรมปีถือว่าเห็นแก่ตัวมากค่ะ
เราเห็นใจจขกท. นะคะ เป็นใครก็รู้สึกแย่ค่ะ
คุณจะขอเลิกไม่ได้อยู่ดูแลเค้าต่อก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลยค่ะในเมื่อเค้าก็ไม่แฟร์กับคุณก่อนเหมือนกัน
ถ้ารู้มาก่อนควรบอกแฟนให้รู้ด้วย บางคนรับได้ บางคนรับไม่ได้
ยิ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แต่ปิดเงียบมีอะไรกันมาแรมปีถือว่าเห็นแก่ตัวมากค่ะ
เราเห็นใจจขกท. นะคะ เป็นใครก็รู้สึกแย่ค่ะ
คุณจะขอเลิกไม่ได้อยู่ดูแลเค้าต่อก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลยค่ะในเมื่อเค้าก็ไม่แฟร์กับคุณก่อนเหมือนกัน
ความคิดเห็นที่ 18
เสียดายนะคะ ที่คนในสังคมอาจจะมีความรู้ทางการแพทย์น้อยเกี่ยวกับการพัฒนายากดเชื้อเอชไอวี การกดเชื้อจนมันนิ่งหรือไม่ตรวจพบหมายถึงการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นต่ำค่ะ และเผลอๆ คนที่ป่วยโรคนี้สุขภาพจะแข็งแรงกว่าคนปกติด้วยซ้ำไป เพราะเขาต้องเช็คสุขภาพค่าตับไตตลอดทุกครึ่งปี อยากมีลูกในอนาคตแบบธรรมชาติ ก็เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์แล้วว่า ทำได้ ฝ่ายที่ไม่มีเชื้อก็กินยาต้านร่วมกับการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติกับผู้ป่วยที่กินยาสม่ำเสมอได้ และก็มีลูกได้ตามปกติ คลอดเป็นเด็กปกติไม่มีเชื้อ มีค่ะ เห็นมาแล้วหลายคู่ และที่สำคัญคู่รักแบบนี้หลายคู่ประสบความสำเร็จ มีความสุขได้เหมือนคนปกติ ไม่ต่างอะไรเลย และไม่จำเป็นต้องกลัวเพราะโรคนี้จรรยาบรรณทางการแพทย์พยาบาลเค้ารักษาความลับ หมอจะมักจะบอกผู้ป่วยเสมอ ว่าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปบอกคนรอบข้างพ่อแม่ บอกคู่ของเราก็พอ เพราะความรู้ทางการแพทย์คนสมัยนี้ยังน้อย ไม่เข้าใจ จะกลายเป็นความห่วงความคิดมากของคนในครอบครัว จากเรื่องปกติกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
เราลองเอาตัวเราไปยืนอยู่ในจุดของผู้ป่วย มันยากที่จะบอกความจริง เพราะบอกแล้วมันไม่มีใครรับได้ไง เพราะอคติไง ขนาดคนคบกันมานานก็ยังรับไม่ได้เลย แล้วใครจะกล้าล่ะคุณ แต่ต้องมาดูว่า ระหว่างที่มีอะไรกัน เขาใส่ถุงยางหรือเปล่า ถ้าเขาใส่ ก็แสดงว่าเขาปกป้องคุณแล้วนะ และสมัยนี้นะ คนที่ไม่ใส่ถุงยาง แต่กินยาสม่ำเสมอมาระยะเวลานาน แทบจะไม่สามารถแพร่เชื่อได้เลย บางคนมีลูกตามธรรมชาติได้ โดยที่แม่ลูกปลอดภัยก็เกิดขึ้นมาแล้ว แต่หมอจะแนะนำให้กินยาต้านร่วมด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง อยากให้ไปคุยกับหมอด้านนี้ จะกระจ่าง และจะหาทางเดินหน้ามีชีวิตด้วยกันฝ่าฟันไปได้ ซึ่งขอบอกเลยว่า ไม่ได้ยากเลย มันจะยากตรงช่วงเราเริ่มต้นศึกษา แต่ถ้ามีความรู้ทางการแพทย์ ทุกอย่างจะง่าย มันใช้ชีวิตปกติได้นี่หว่า ไม่ได้ต่างอะไรจากคนปกติเลย แค่เพิ่มเติมคือกินยาทุกวัน ตรวจเลือดประจำปี คนที่ไม่รู้จริงรู้ลึกนี่แหละ คู่นั้นจะเกิดปัญหาใหญ่
ต้องขอโทษด้วย เราไม่ได้พูดในฐานะ จขกท เพราะว่าแต่ละคนเจอไม่เหมือนกันต่างมีเหตุผล แต่จะขอพื้นที่เล็กๆออกมาพูดในมุมนึงของผู้ป่วยเอชไอวีค่ะ เพราะเราเห็นคนมากมายอคติกับคนเป็นโรคนี้ เขามีปมน้อยใจในชีวิตเขาอยู่แล้ว เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่อยากมีคนรักคนเข้าใจ อยากมีคู่ชีวิตที่เป็นเพื่อนร่วมทาง แต่อีกใจหนึ่งผู้ป่วยเขาก็กลัว กลัวผิดหวัง กลัวถูกตีจาก กลัวคนรักไม่เข้าใจ คนที่อยู่ในอารมณ์แบบนี้ มันไม่ได้ง่ายๆเลยนะ เราลองไปจุดนั้นบ้าง เราอาจจะมองหักมุมได้ เข้าใจเขาได้มากขึ้น จะให้อภัยเขาได้ ถ้ายังโกรธและแม้ไม่สามารถเดินร่วมทางกับผู้ป่วยได้ ก็ควรเข้าใจในความเป็นปถุชนคนธรรมดา ทุกคนมีทั้งด้านดีด้านไม่ดีผสมกันไป ไม่จำเป็นต้องผูกจิตที่ไม่ดีกับเขา ปล่อยเขาไปตามเหตุปัจจัย เขาจะมีแฟนใหม่หรือจะไปทำกับแฟนใหม่เหมือนเราไหม ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรมของใครของมัน และที่ผ่านมา มันก็เป็นกรรมเก่าของเราด้วย ที่ต้องพัดพาโชคชะตาให้เจอรูปแบบนี้ ดังนั้น อะไรปล่อยวางได้ก็วางลงจะดีกว่า
เราลองเอาตัวเราไปยืนอยู่ในจุดของผู้ป่วย มันยากที่จะบอกความจริง เพราะบอกแล้วมันไม่มีใครรับได้ไง เพราะอคติไง ขนาดคนคบกันมานานก็ยังรับไม่ได้เลย แล้วใครจะกล้าล่ะคุณ แต่ต้องมาดูว่า ระหว่างที่มีอะไรกัน เขาใส่ถุงยางหรือเปล่า ถ้าเขาใส่ ก็แสดงว่าเขาปกป้องคุณแล้วนะ และสมัยนี้นะ คนที่ไม่ใส่ถุงยาง แต่กินยาสม่ำเสมอมาระยะเวลานาน แทบจะไม่สามารถแพร่เชื่อได้เลย บางคนมีลูกตามธรรมชาติได้ โดยที่แม่ลูกปลอดภัยก็เกิดขึ้นมาแล้ว แต่หมอจะแนะนำให้กินยาต้านร่วมด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง อยากให้ไปคุยกับหมอด้านนี้ จะกระจ่าง และจะหาทางเดินหน้ามีชีวิตด้วยกันฝ่าฟันไปได้ ซึ่งขอบอกเลยว่า ไม่ได้ยากเลย มันจะยากตรงช่วงเราเริ่มต้นศึกษา แต่ถ้ามีความรู้ทางการแพทย์ ทุกอย่างจะง่าย มันใช้ชีวิตปกติได้นี่หว่า ไม่ได้ต่างอะไรจากคนปกติเลย แค่เพิ่มเติมคือกินยาทุกวัน ตรวจเลือดประจำปี คนที่ไม่รู้จริงรู้ลึกนี่แหละ คู่นั้นจะเกิดปัญหาใหญ่
ต้องขอโทษด้วย เราไม่ได้พูดในฐานะ จขกท เพราะว่าแต่ละคนเจอไม่เหมือนกันต่างมีเหตุผล แต่จะขอพื้นที่เล็กๆออกมาพูดในมุมนึงของผู้ป่วยเอชไอวีค่ะ เพราะเราเห็นคนมากมายอคติกับคนเป็นโรคนี้ เขามีปมน้อยใจในชีวิตเขาอยู่แล้ว เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่อยากมีคนรักคนเข้าใจ อยากมีคู่ชีวิตที่เป็นเพื่อนร่วมทาง แต่อีกใจหนึ่งผู้ป่วยเขาก็กลัว กลัวผิดหวัง กลัวถูกตีจาก กลัวคนรักไม่เข้าใจ คนที่อยู่ในอารมณ์แบบนี้ มันไม่ได้ง่ายๆเลยนะ เราลองไปจุดนั้นบ้าง เราอาจจะมองหักมุมได้ เข้าใจเขาได้มากขึ้น จะให้อภัยเขาได้ ถ้ายังโกรธและแม้ไม่สามารถเดินร่วมทางกับผู้ป่วยได้ ก็ควรเข้าใจในความเป็นปถุชนคนธรรมดา ทุกคนมีทั้งด้านดีด้านไม่ดีผสมกันไป ไม่จำเป็นต้องผูกจิตที่ไม่ดีกับเขา ปล่อยเขาไปตามเหตุปัจจัย เขาจะมีแฟนใหม่หรือจะไปทำกับแฟนใหม่เหมือนเราไหม ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรมของใครของมัน และที่ผ่านมา มันก็เป็นกรรมเก่าของเราด้วย ที่ต้องพัดพาโชคชะตาให้เจอรูปแบบนี้ ดังนั้น อะไรปล่อยวางได้ก็วางลงจะดีกว่า
แสดงความคิดเห็น
เมื่ิอรู้ว่าแฟนตัวเอง ติดเชื้อHiv เราจะไปต่อหรือพอแค่นี้??