JJNY : โควิดทุบ“เซเว่น”วูบ3หมื่นล.│ธปท.ชี้“NPL”ปี64ไหลต่อ│เชียงใหม่แล้งจัด!│ยื่น ป.ป.ช.ถอน รมต.│นายกฯเกาหลีใต้ร่วมวงCH

เอฟเฟ็กต์โควิดทุบรายได้ “เซเว่น” วูบ 3 หมื่นล้าน ฉุดกำไร CPALL ร่วง 27.9%
https://www.prachachat.net/finance/news-618516
 

 
เอฟเฟ็กต์โควิด ทุบรายได้ 7-Eleven หายวูบ 3.3 หมื่นล้านบาท ฉุดกำไร “CPALL” ปี’63 ร่วง 27.9% เหลือ 1.6 หมื่นล้านบาท ฟากธุรกิจ “แม็คโคร-ธุรกิจอื่น” เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่สูงขึ้น เผยงบลงทุนธุรกิจร้านสะดวกซื้อปี’ 64 วงเงินรวม 11,500-12,000 ล้านบาท
 
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯถึงผลการดำเนินงานปี 2563 โดยบริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิจำนวน 16,102 ล้านบาท ลดลง 27.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการดําเนินงานได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 รวมถึงการมีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการถือปฎิบัติตาม TFRS16
 
โดยมีรายได้รวม 546,590 ล้านบาท ลดลง 4.3% ทั้งนี้รายได้จากการขายสินค้าและบริการ มีจำนวน 525,884 ล้านบาท ลดลง 4.5% โดยธุรกิจร้านสะดวกซื้อได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง รวมถึงผลกระทบจากมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด ทำให้จำนวนลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยที่ลดน้อยลง
 
ปี 2563 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ(7-Eleven) มีรายได้รวม 300,705 ล้าานบาท ลดลง 33,356 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% มีกําไรขั้นต้นจํานวน 83,724 ล้านบาท ลดลง 10,103 ล้านบาท คิดเป็น 10.8% โดยมีสัดส่วนกําไรขั้นต้น 27.8% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ 28.1%
 
มีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทําให้การประหยัดต่อขนาดที่ศูนย์กระจายสินค้าลดลง รวมถึงสัดส่วนของรายได้จากการขายสินค้าที่มีอัตรากําไรขั้นต้นสูงลดลง
 
ในขณะที่ธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสดและบริการตนเอง (แม็คโคร) ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายและบริการไว้ได้ในระดับหนึ่ง จากการเติบโตของธุรกิจแม็คโครประเทศไทย และสาขาในประเทศอินเดียและกัมพูชา
 
โดยมีกําไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนหักรายการระหว่างกัน 8,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
 
ส่วนกลุ่มธุรกิจอื่นมีกําไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 4,543 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและมีการบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม ทําให้มีความสามารถในการทํากําไรที่ดีขึ้น
 
ทั้งนี้รายได้รวมก่อนหักรายการระหว่างกัน แบ่งสัดส่วนตาม 3 ธุรกิจหลักมีดังนี้ กลุ่มที่ 1 รายได้จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีสัดส่วน 55% กลุ่มที่ 2 รายได้จากธุรกิจค้าส่งแบบชำระเงินสดและบริการตนเองมีสัดส่วน 37% และกลุ่มที่ 3 รายได้จากธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทยมีสัดส่วน 8% ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของกลุ่ม 2 และกลุ่ม 3 เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนตามรายได้ที่สูงขึ้น ในขณะที่กลุ่ม 1 มีรายได้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
 
สำหรับกำไรขั้นต้นในปี 2563 ของ CPALL มีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 115,004 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากการลดลงของรายได้จากการขายของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ในขณะที่ธุรกิจแม็คโครยังสมารถรักษาการเติบโตของกำไรขั้นต้นได้ และจากการลดลงของกำไรขั้นต้นของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในงบการเงินรวมของ CPALL ลดลงเป็น 21.9% จาก 22.7% ในปี 2562
 
สิ้นปี 2563 ทาง CPALL มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้น(DE) 1.62 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 0.94 เท่า เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก CPALL มีเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นเพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม
 
ทั้งนี้ CPALL มีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามข้อกําหนดสิทธิตามภาระหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้ ซึ่ง CPALL ต้องดํารงไว้ซึ่งอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Net Debt to Equity Ratio) โดยคํานวณตามข้อมูลในงบการเงินรวมประจํางวดบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม ไม่เกิน 2:1
 
อย่างไรก็ดี CPALL คาดการณ์และแนวโน้มธุรกิจร้านสะดวกซื้อในปี 2564 บริษัทวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่อีกประมาณ 700 สาขา คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 11,500 – 12,000 ล้านบาท
 
แยกเป็นการเปิดร้านสาขาใหม่ 3,800 – 4,000 ล้านบาท การปรับปรุงร้านเดิม 2,400 – 2,500 ล้านบาท โครงการใหม่, บริษัทย่อยและศูนย์กระจายสินค้า 4,000 – 4,100 ล้านบาท สินทรัพย์ถาวร และระบบสารสนเทศ 1,300 – 1,400 ล้านบาท
 
คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ 
https://www.set.or.th/dat/news/202102/21017874.pdf
 

 
ธปท.ชี้ “เอ็นพีแอล”ปี 64 ไหลต่อ จับตาหนี้เกือบเสีย พุ่ง2เท่า
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/923989
 
ธปท.ชี้แนวโน้มหนี้เสียปีนี้จ่อเพิ่มไม่หยุดจากลูกหนี้ที่เข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ ขณะที่ธุรกิจโรงแรมพอร์ตรวม 4 แสนล้านบาทยังต้องอุ้มต่อ ขณะที่เอ็นพีแอลปี 2563 เร่งตัวขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.12% หลังเอสเอ็มอีรายย่อย-กลางมีปัญหาชำระหนี้พุ่ง
 
     นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แถลงผลการดำเนินงานธนาคารพาณิชย์ปี 2563 ว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอลปี 2563 โดยรวมของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.233 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 3.12% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2562 ที่เอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 2.98%
 

 
เชียงใหม่แล้งจัด! ทะเลสาบกลายเป็นทุ่งหญ้า
https://www.one31.net/news/detail/28485#.YDR_xdkfGAk.twitter
 
ทะเลสาบดอยเต่า อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของเขื่อนภูมิพลใน จ.ตาก ซึ่งมีชาวบ้านอพยพมาในตอนสร้างเขื่องอาศัยอยู่โดยรอบ ปกติทะเลสาบแห่งนี้จะมีน้ำเต็ม ภูมิประเทศมีความชุ่มฉ่ำตลอดปี พื้นที่โดยรอบเป็นที่ตั้งของแพที่พักและแพร้านอาหาร ซึ่งคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ แต่ปีนี้ทะเลสาบแห่งนี้แล้งจัดจนแห้งขอด แพต่างๆ จอดนิ่งสนิทอยู่บนผืนดินซึ่งกลายเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์นับหมื่นไร่ ของวัวควายหลายพันตัว
 
นายจเร นันต๊ะสาร อายุ 64 ปี เจ้าของแพร้านอาหารดอยเต่าริมปิง ระบุว่าได้รับผลกระทบหนักจากผลกระทบภัยแล้ง รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปพร้อมกับน้ำในทะเลสาบ ก่อนหน้านี้ก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาตลอดทั้งปี ทำให้ลูกค้าหายไปทั้งหมด ไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียว
 
ซ้ำร้ายมาเจอปัญหาภัยแล้งเช่นนี้ ทำให้ชาวแพต้องออกมาเรียกร้องขอให้ทางรัฐหาวิธีสร้างฝายหรือเขื่อนกั้นน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำใช้ทั้งการเกษตร การท่องเที่ยว และ การประมง ให้ชาวบ้านที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากจังหวัดตากเมื่อครั้งสร้างเขื่อนภูมิพลได้มีรายได้เลี้ยงครอบครัวต่อไป.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่