อยากขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆค่ะ ว่ามีวิธีคิด วิธีจัดการอย่างไรบ้างดี ที่น่าจะเป็นไปได้ ในปัจจุบันนี้
บทสรุปชีวิต
ตั้งใจทำงาน พร้อมกับ ปัญหาหนี้สิน ที่มาจาก ดอกเบี้ยเท่าตัว และเงินต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการรอประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ และยังคงอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคารด้วย อย่างไร้ความหวัง...
ทุกอย่างเริ่มมาจาก...
เราเป็นลูกสาวในบ้านคนจีน ที่เห็นคุณแม่ลำบากมาตั้งแต่เด็ก เรามีพี่น้องที่เป็นผู้ชาย และมีเราเป็นลูกสาวคนเดียว
ด้วยความที่เห็นแม่ตั้งใจทำธุรกิจของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อลูกมาตลอด จนเราเรียนจบปริญญามาได้ (แม่กับพ่อทำด้วยกันนะคะ แต่ในที่นี้ด้วยความเป็นลูกสาว จึงให้ความสนใจที่คุณแม่มาก และเข้าใจว่าบทบาทของคุณแม่มีค่อนข้างเยอะกว่า)
ทำให้เรายิ่งอยากทำให้แม่มีความสุขสบาย
ด้วยความที่ตนเองเรียนจบปริญญามา เริ่มต้นจึงเข้าทำงานใบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งสมัยนั้นเงินเดือนค่อนข้างน้อย แต่ก็ทำไป และให้เงินคุณแม่ เกือบทั้งหมดของเงินเดือน ประมาณ 60-80%
เมื่อทำงานได้ครบ 2 ปี ได้ตัดสินใจ กู้เงินซื้อบ้านที่ตัวเองอยู่อาศัยมาเกือบ 20 ปีนี้ขึ้นมา โดยก่อนหน้านี้ ที่บ้านอาศัยโดยการเช่า ซึ่งเจ้าของบ้านเดิมก็ใจดีมาก ขายให้ราคาไม่แพง (อันนี้ต้องบอกว่าเป็นบุญมากที่ได้พบเจ้าของบ้านท่านนี้)
จากนั้นก็ผ่อนจ่ายให้กับธนาคารมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง กิจการที่บ้านเริ่มสะดุด จึงนำบ้านหลังที่อยู่อาศัยนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ทำธุรกิจด้วย เข้าจำนองกับธนาคารเพิ่ม เพื่อนำเงินออกมาหมุนเวียน
ในส่วนนี้เองที่คิดว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาด เนื่องจาก เจ้าหนี้ที่เป็นธนาคาร ย่อมต้องได้รับดอกเบี้ยนอกเหนือจากต้นทุนราคาสินค้า ในขณะที่ เจ้าหนี้ที่เป็น supplier ต้องการเพียงเงินค่าสินค้าคืน
นอกจากนี้ เรายังเลือกหนทางการใช้ชีวิตที่ผิดคือ ลาออกจากงานประจำ กลับมาช่วยงานที่บ้าน ทั้งที่ไม่มีความรู้ด้านนี้มากนัก และไม่ประสบความสำเร็จ
แต่นั้นล่ะ ตัดสินใจไปแล้ว ปรากฏว่า สถานการณ์ทางธุรกิจที่บ้านก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินไม่ทันมากขึ้น เกิดการฟ้องร้องการชำระหนี้จากทางธนาคาร
เราจึงตัดสินใจ กลับไปทำงานใหม่อีกรอบ ในบริษัทแห่งใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่เพื่อหวังว่าจะมีการก้าวหน้าที่เร็วกว่าเดิน และพยายามดึงตัวเองขึ้นไปให้เร็วที่สุด
แต่ทั้งนี้ ก็ดูเหมือนว่า ความพยายามตั้งใจทำงานของเรา ไม่สามารถวิ่งทันตามดอกเบี้ยได้
คราวนี้ถูกฟ้องอีกครั้ง เพื่อการบังคับคดี และขายทอดตลาดทรัพย์ ซึ่งเรายังคงพยายามดื้อดึงขอให้ธนาคารยอมรับเงื่อนไข ในการผ่อนชำระหนี้จากเงินเดือนของเรา
แต่ก็ดูเหมือนว่า จะไร้วี่แวว เนื่องจากกฏระเบียบต่างๆของทางธนาคาร ทีทำให้ไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขได้ (ซึ่งคือการขอลดดอกเบี้ย ในอัตราที่เราคิดว่าธนาคารก็ยังได้กำไรอยู่นะ กับ การขอยืดระยะเวลาผ่อนชำระไปให้ไกลขึ้น ซึ่งจะเลยระยะเวลาการบังคับคดีของศาล และการชำระแบบเป็น step ตามการขึ้นเงินเดือนของพนักงานบริษัท)
เรา พยายามแจ้งความจำนงค์กับทางธนาคารเสมอ ว่าเราต้องกาชำระหนี้นะ ไม่ได้ต้องการให้หนี้เหลือน้อยแล้วเป็นหนี้สูญอะไรก็ตามแต่ที่กระบวนการธนาคารจะทำได้ แม้ธนาคารจะไม่ได้เงินคืน
สถานการณ์ปัจจุบัน เราจึงได้แต่รอ ว่าธนาคารจะยังสามารถช่วยเหลืออะไรได้อีกบ้างไหม กับหาหนทางว่าจะทำอย่างไรกับทรัพย์ที่หากต้องถูกขายทอดตลาด
ทางธนาคารบอกเราว่า ถ้าเราขายทรัพย์ได้ จะช่วยลดยอดหนี้ไปได้ประมาณครึ่งหนึ่งนะ ไม่รวมดอกเบี้ยอีกเท่าตัว แล้วไปเช่าบ้านอยู่เอา ...
ซึ่งเราคิดว่า ค่าใช้จ่ายในการเช่าบ้านใหม่ + ค่าเดินทาง จะทำให้เรายิ่งไม่สามารถชำระหนี้ที่เหลืออยู่ได้ต่อเป็นแน่ และเสี่ยงต่อการถูกฟ้องล้มละลาย และอาจมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน (ซึ่งคิดว่ามีแน่ๆ)
ซึ่งทรัพย์หรือบ้านหลังนี้ เป็นทรัพย์ชิ้นแรกชิ้นเดียวที่มี เป็นบ้านที่ครอบครัวของเราโตมาด้วยกันเกือบ 30 ปี แล้ว ใช้ชีวิตอยู่หลายคน หากไม่มีทรัพย์ชิ้นนี้ เรากลัวว่าแม่จะรู้สึกย่ำแย่ แล้วเราเองก็คงรู้สึกเหมือนใจสลายตามไปด้วย
ทุกวันนี้ ใช้ชีวิตออยู่บนความกลัวทุกๆวันเลยค่ะ ว่าจะมีประกาศขายทอดตลาดมาวันไหน(เข้าใจว่าคุณแม่ก็กังวลแบบนั้นอยู่) เป็นความกังวล ที่ต้องเกิดขึ้นสอดแทรกกับการทำงานของเราตลอดเวลา ทำให้เราสูญเสียประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทด้วย เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยค่ะ
ปัจจุบันธุรกิจที่บ้าน ยิ่งทำน้อยลงไปกว่าเดิมอีก ตั้งแต่มีโควิดปีที่แล้ว
ความล้มเหลว ในความกตัญญู...ที่กลายเป็นอกตัญญู... หรือเปล่า
บทสรุปชีวิต
ตั้งใจทำงาน พร้อมกับ ปัญหาหนี้สิน ที่มาจาก ดอกเบี้ยเท่าตัว และเงินต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการรอประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ และยังคงอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคารด้วย อย่างไร้ความหวัง...
ทุกอย่างเริ่มมาจาก...
เราเป็นลูกสาวในบ้านคนจีน ที่เห็นคุณแม่ลำบากมาตั้งแต่เด็ก เรามีพี่น้องที่เป็นผู้ชาย และมีเราเป็นลูกสาวคนเดียว
ด้วยความที่เห็นแม่ตั้งใจทำธุรกิจของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อลูกมาตลอด จนเราเรียนจบปริญญามาได้ (แม่กับพ่อทำด้วยกันนะคะ แต่ในที่นี้ด้วยความเป็นลูกสาว จึงให้ความสนใจที่คุณแม่มาก และเข้าใจว่าบทบาทของคุณแม่มีค่อนข้างเยอะกว่า)
ทำให้เรายิ่งอยากทำให้แม่มีความสุขสบาย
ด้วยความที่ตนเองเรียนจบปริญญามา เริ่มต้นจึงเข้าทำงานใบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งสมัยนั้นเงินเดือนค่อนข้างน้อย แต่ก็ทำไป และให้เงินคุณแม่ เกือบทั้งหมดของเงินเดือน ประมาณ 60-80%
เมื่อทำงานได้ครบ 2 ปี ได้ตัดสินใจ กู้เงินซื้อบ้านที่ตัวเองอยู่อาศัยมาเกือบ 20 ปีนี้ขึ้นมา โดยก่อนหน้านี้ ที่บ้านอาศัยโดยการเช่า ซึ่งเจ้าของบ้านเดิมก็ใจดีมาก ขายให้ราคาไม่แพง (อันนี้ต้องบอกว่าเป็นบุญมากที่ได้พบเจ้าของบ้านท่านนี้)
จากนั้นก็ผ่อนจ่ายให้กับธนาคารมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง กิจการที่บ้านเริ่มสะดุด จึงนำบ้านหลังที่อยู่อาศัยนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ทำธุรกิจด้วย เข้าจำนองกับธนาคารเพิ่ม เพื่อนำเงินออกมาหมุนเวียน
ในส่วนนี้เองที่คิดว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาด เนื่องจาก เจ้าหนี้ที่เป็นธนาคาร ย่อมต้องได้รับดอกเบี้ยนอกเหนือจากต้นทุนราคาสินค้า ในขณะที่ เจ้าหนี้ที่เป็น supplier ต้องการเพียงเงินค่าสินค้าคืน
นอกจากนี้ เรายังเลือกหนทางการใช้ชีวิตที่ผิดคือ ลาออกจากงานประจำ กลับมาช่วยงานที่บ้าน ทั้งที่ไม่มีความรู้ด้านนี้มากนัก และไม่ประสบความสำเร็จ
แต่นั้นล่ะ ตัดสินใจไปแล้ว ปรากฏว่า สถานการณ์ทางธุรกิจที่บ้านก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินไม่ทันมากขึ้น เกิดการฟ้องร้องการชำระหนี้จากทางธนาคาร
เราจึงตัดสินใจ กลับไปทำงานใหม่อีกรอบ ในบริษัทแห่งใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่เพื่อหวังว่าจะมีการก้าวหน้าที่เร็วกว่าเดิน และพยายามดึงตัวเองขึ้นไปให้เร็วที่สุด
แต่ทั้งนี้ ก็ดูเหมือนว่า ความพยายามตั้งใจทำงานของเรา ไม่สามารถวิ่งทันตามดอกเบี้ยได้
คราวนี้ถูกฟ้องอีกครั้ง เพื่อการบังคับคดี และขายทอดตลาดทรัพย์ ซึ่งเรายังคงพยายามดื้อดึงขอให้ธนาคารยอมรับเงื่อนไข ในการผ่อนชำระหนี้จากเงินเดือนของเรา
แต่ก็ดูเหมือนว่า จะไร้วี่แวว เนื่องจากกฏระเบียบต่างๆของทางธนาคาร ทีทำให้ไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขได้ (ซึ่งคือการขอลดดอกเบี้ย ในอัตราที่เราคิดว่าธนาคารก็ยังได้กำไรอยู่นะ กับ การขอยืดระยะเวลาผ่อนชำระไปให้ไกลขึ้น ซึ่งจะเลยระยะเวลาการบังคับคดีของศาล และการชำระแบบเป็น step ตามการขึ้นเงินเดือนของพนักงานบริษัท)
เรา พยายามแจ้งความจำนงค์กับทางธนาคารเสมอ ว่าเราต้องกาชำระหนี้นะ ไม่ได้ต้องการให้หนี้เหลือน้อยแล้วเป็นหนี้สูญอะไรก็ตามแต่ที่กระบวนการธนาคารจะทำได้ แม้ธนาคารจะไม่ได้เงินคืน
สถานการณ์ปัจจุบัน เราจึงได้แต่รอ ว่าธนาคารจะยังสามารถช่วยเหลืออะไรได้อีกบ้างไหม กับหาหนทางว่าจะทำอย่างไรกับทรัพย์ที่หากต้องถูกขายทอดตลาด
ทางธนาคารบอกเราว่า ถ้าเราขายทรัพย์ได้ จะช่วยลดยอดหนี้ไปได้ประมาณครึ่งหนึ่งนะ ไม่รวมดอกเบี้ยอีกเท่าตัว แล้วไปเช่าบ้านอยู่เอา ...
ซึ่งเราคิดว่า ค่าใช้จ่ายในการเช่าบ้านใหม่ + ค่าเดินทาง จะทำให้เรายิ่งไม่สามารถชำระหนี้ที่เหลืออยู่ได้ต่อเป็นแน่ และเสี่ยงต่อการถูกฟ้องล้มละลาย และอาจมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน (ซึ่งคิดว่ามีแน่ๆ)
ซึ่งทรัพย์หรือบ้านหลังนี้ เป็นทรัพย์ชิ้นแรกชิ้นเดียวที่มี เป็นบ้านที่ครอบครัวของเราโตมาด้วยกันเกือบ 30 ปี แล้ว ใช้ชีวิตอยู่หลายคน หากไม่มีทรัพย์ชิ้นนี้ เรากลัวว่าแม่จะรู้สึกย่ำแย่ แล้วเราเองก็คงรู้สึกเหมือนใจสลายตามไปด้วย
ทุกวันนี้ ใช้ชีวิตออยู่บนความกลัวทุกๆวันเลยค่ะ ว่าจะมีประกาศขายทอดตลาดมาวันไหน(เข้าใจว่าคุณแม่ก็กังวลแบบนั้นอยู่) เป็นความกังวล ที่ต้องเกิดขึ้นสอดแทรกกับการทำงานของเราตลอดเวลา ทำให้เราสูญเสียประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทด้วย เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยค่ะ
ปัจจุบันธุรกิจที่บ้าน ยิ่งทำน้อยลงไปกว่าเดิมอีก ตั้งแต่มีโควิดปีที่แล้ว