สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาขอแต่งเรื่องสั้นดู นะเจ้าคะ เนื้อเรื่องบางส่วนอ้างอิงมาจากเรื่องสั้นความรักของพี่เดือนเอก
เป็นตอนจบแบบที่สองที่เราอยากเขียน อิอิ
วันนี้ เป็นวันที่14 กุมภาพันธ์วันที่หลายๆคนเฝ้ารอ บางคนรอคนมาบอกรัก หรือรอที่จะไปบอกรักใครสักคน
สำหรับฉันแล้ววันนี้ ก็เหมือนทุกวัน ที่แสนจะธรรมดา ที่ฉันต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในฐานะอาจารย์พิเศษ ซึ่งฉันเพิ่งย้ายมาทำงาน ได้ไม่นาน
ขณะที่ฉันเดินผ่านบริเวณ
ที่มีม้าหินอ่อนให้นั่งพักอยู่ตามซุ้มต่างๆของที่นั่งแต่ละสาขานั้น
สายตาของฉัน ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง ที่แสนจะคุ้นตา ใครคนหนึ่งซึ่งคงเป็นคนที่ฉันยังคงคิดถึงและยังจดจำไม่เคยลืมเสมอมา
ทั้งๆที่เขานั่งแอบอยู่แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้เหลือบไปเห็นได้ก็ไม่รู้ ก็อย่างว่าแหละ ไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปสักกี่ปี ฉันคนนี้ ก็ยังจดจำเขาคนนั้น คนที่สอนให้ฉันได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ได้แอบรักทแอบชอบใครสักคนว่ามันเป็นยังไงได้เสมอ
เรื่องราวต่างๆในอดีต ผ่านเข้ามาอีกครั้ง
ย้อนกลับไปในสมัยมัธยมปลาย ณ โรงเรียนประจำจังหวัด
ตอนนั้นฉันเป็นเพียงสาวน้อย
หน้าตาสดใส ตาตี่ๆ ไว้ผมม้า
ใส่แว่นตากลมโตแบบโบราณ หัวเราะเสียงดัง ผิวขาวเพราะเป็นลูกคนเชื้อสายจีน ชอบทำตัวติ๊งต๊อง โก๊ะๆ เปิ่นๆ ซุ่มซ่าม ไร้ความอ่อนหวาน เป็นม้าดีดกะโหลก ไม่สุภาพเรียบร้อย ไร้ซึ่งความสวย
เพื่อนๆในห้องชอบบอกกับฉันว่า
ฉันสวยนะ ถ้าเอาแว่นส่องจุลทรรศน์มาส่องดู
ใช่สิ ฉันไม่สวย ไม่น่ารัก อ่อนหวาน เหมือนกับสาวที่อยู่รายล้อมรอบๆตัวเขาที่ทั้งสวย น่ารัก อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม
ส่วนตัวเขาคนนั้นน่ะเหรอ
เป็นคนที่ค่อนข้างหล่อ ดูดี แต่เขาชอบคิดว่าตัวเองไม่หล่อ ไม่รวย เป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังกับทุกเรื่อง เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมทุกอย่าง ทั้งเล่นกีฬา เล่นดนตรีไทย เรียนก็เก่ง แถมแต่งกลอนก็ยังเก่งอีก
ถือว่าครบเครื่องทุกอย่าง ทำให้มีสาวไม่คอยตามกรี๊ดอยู่เสมอ รวมทั้งฉันด้วยที่แอบกรี๊ดเขาอยู่โดยที่เจ้าตัวช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น
เขามักจะชอบเอาการบ้านมานั่งทำในห้องอยู่เสมอ แทนที่จะไปเล่นกับพวกผู้ชาย
พอถึงตอนที่ฉันมีเวรต้องทำความสะอาด ซี่งเขามักจะทำการบ้านเสร็จพอดี
ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลยสักนิด ว่าที่เขาทำแบบนี้ เพราะอยากใกล้ชิดฉัน เขาเข้ามาช่วยฉันยกเก้าอี้ขึ้นโต๊ะทีละตัวจนเสร็จ
"ขอบใจนะ”
ฉันทำทีเป็นเอาไม้กวาดในมือกวาดขยะที่อยู่รอบๆเอ่ย เสียงเบาๆ พร้อมขยับแว่น
เมื่อเก้าอี้ตัวสุดท้ายถูกเขายกขึ้นจนเสร็จ พร้อมรับหมุนตัวถอยห่างเขา แต่ท่ากลับตัวบนพื้นไม้ขัดมันที่ลื่นด้วยถุงเท้านักเรียนทำให้ฉันเสียหลักตัวเอียงโยนไม้กวาดขึ้นไป
หลายๆท่านอาจจะคิดว่า จะมีฉากพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกเหมือนในนิยายใช่มั้ยหล่ะ ต้องเสียใจด้วย เพราะ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเลยจริงๆ
อ้อแต่ความจริงก็มีนะ
พอฉันร้อง "เฮ้ย"จบ เขาคนนั้นก็เดินเข้ามาถามว่า
"เป็นอะไรไหมยัยหมวยเปิ่น?"
ลองมาล้มเองบ้างไหมหล่ะ ชิ
ฉันไม่เอ่ยปากพูดออกไปนะเพียงเเค่คิดในใจ แล้วก็รีบลุกเก็บไม้กวาดแล้วรีบคว้าเอากระเป๋าบนโต๊ะเดินปิดหน้า แล้วเดินดุ่มๆออกไป ด้วยความทั้งเจ็บ ทั้งอาย ทั้งเขิน
ยัยบ้าเอ้ย ไม่เคยจะทำตัวให้เค้าประทับใจเลยสักครั้ง มีแต่ทำตัวเปิ่นตลอด
ในคืนนั้น ไม่รู้ว่าอะไรบางอย่างมาดลใจ ให้ฉันตัดสินใจหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปขอเพลงเรามีเรา ของพี่แหวน กับพี่ดีเจเพื่อมอบให้กับเขาคนนั้น เพราะรู้มาว่าเขามักจะชอบฟังวิทยุก่อนนอน โดยขอให้พี่ดีเจเปิดเพลงนี้ก่อนปิดสถานี
ครับสำหรับสายที่โทรเข้ามาขอเพลงเรามีเราเพลงสุดท้ายวันนี้นะครับ
ขอมาจากเด็กหญิงหลังห้องคนหนึ่ง อยากจะบอกคุณ........ม.6/1 รร..........
ว่า ขอบคุณนะวันนี้ ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ”
แต่ก่อนแต่ไรไม่เคยอุ่นใจ โดดเดี่ยวเดียวดายข้างกายไม่มีใครสักคน
พอฉันได้ฟังพี่ดีเจพูดจบและเพลงบรรเลงขึ้น ฉันก็ฟัง แล้วก็ยิ้มและนอนหลับไปอย่างฝันดี
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่ง ในวันใกล้ปิดภาคเรียนที่สองหรือเทอมสุดท้ายของปีการศึกษาซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเขากับฉันในโรงเรียนแบบสหศึกษา
เมื่อผลการสอบโควตาของมหาวิทยาลัยมาถึงที่โรงเรียน ชื่อของเขาได้ถูกเรียกให้ไปยืนหน้าเสาธง
เขาเป็นนักเรียนสิบกว่าคนที่ได้เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในคณะวิศวกรรมศาสตร์
พร้อมๆกับเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะและสาขาที่เลือกแตกต่างกันออกไป
ส่วนฉันซึ่งเลือกที่จะไปสอบเอนทรานซ์ต่อเพราะไม่ติดในคณะที่อยากเรียนในระบบโควต้าภาคครั้งนี้ได้แต่นั่งมองเขาตาแป๋วพร้อมส่งยิ้มให้เมื่อเห็นเขามองมา
ช่วงเช้าหลังแยกแถว
ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในห้องเรียนของชั้นมัธยมปีที่3และปีที่6 ทุกห้อง
ภาพของเด็กนักเรียนชายหญิงเดินกันวุ่นวาย
ในมือถือสมุดเฟรนด์ชิป และปากกาสีต่างๆ
รวมทั้งสติ๊กเกอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรูปหัวใจ
และของที่ระลึกประเภทตุ๊กตาหรือดอกไม้เท่าที่จะหามาได้
เสื้อขาวของเครื่องแบนักเรียน
ก็กลายเป็นที่ลงชื่อและที่แสดงความรู้สึกของเพื่อนๆ
ที่อยากจะเข้ามาเขียนความรู้สึกให้ในวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันในโรงเรียน
พวกสาวๆก็เขียนด้วยตัวเล็กๆน่ารัก ตามประสาวัยรุ่นในยุคนั้นส่วนที่ใช้สีออกจะเลอะเทอะนั้นคงเป็นเพื่อนผู้ชายที่บางครั้ง แอบเขียนคำสัปดนคำใหญ่ๆให้หัวเราะกัน
โดยที่บางคนแอบยิ้มนึกว่าสาวๆในโรงเรียนทำไมส่งยิ้มให้มากกว่าปกติในวันนี้ เนื่องจากไม่รู้ว่าตัวอักษรถูกเขียนจากด้านหลังของเสื้อที่ไม่สามารถมองเห็นได้นั้นคือคำว่าอะไร
ฉันเห็นเขานั่งลงที่เก้าอี้
หลังจากที่ไปลงชื่อในสมุดเฟรนด์ชิปของเพื่อนผู้หญิงเกือบทุกคนแล้ว
ฉันจึงไปวานให้เพื่อนหนุ่มหัวใจสาวนามว่ามานพ ที่ฉันแอบรูู้้มาว่า นางเป็นเพื่อนสาวชอบมาแอบแซวฉันบ่อยๆเพราะมีคนให้มาแซว ซึ่นางไม่ยอมบอกว่าใคร ให้ไปบอกเขาให้นั่งนิ่งๆหน่อย ก่อนที่ฉันจะเห็นเพื่อนสาวของฉันโอบกอดเขาไว้
ดูนางทำ ฉันส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปนัางข้างหลัง หยิบปากกามาเขียนบนเสื้อว่า
ดีใจด้วยนะหวังว่าคงได้เจอกันอีก o-o
/
ฉันไม่ได้ลงชื่อ
แต่เขียนรูปแว่นตากลมๆไว้
พร้อมเส้นโค้งข้างล่างที่ทำเป็นรูปรอยยิ้มเล็กๆทิ้งไว้
พอเขียนเสร็จ ฉันก็รีบเดินออกไป
วันเวลาผ่านไป ..จนกระทั่ง เขาได้เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ภาคอิสาน
ส่วนฉันได้เข้าเป็นนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
ด้วยความที่อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ฉันจึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาเขา
ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาทุกครั้ง เราสองคน คุยกัน ในยุคที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะจับเวลาเป็นนาทีตามหน้าหอ ส่วนใหญ่เราสองคนจะคุยกันผ่านทางจดหมาย
บางทีเขาก็ส่งกลอนมาให้ฉัน คอยห่วงใย ใส่ใจสารพัด เช่น
,
ฝากดวงดาว ที่พร่างพราว บนฟากฟ้า
เป็นดวงตา คอยเฝ้ามอง แทนตัวฉัน
ฝากสายลม ช่วยดูแล ใส่ใจกัน
ฝากดวงจันทร์ บอกเธอว่า แสนคิดถึง,
เนี่ยส่งมาแบบนี้ทุกฉบับ ใครไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้ว
แต่เอาเข้าจริงๆฉันก็ไม่กล้าคิดไปไกลหรอกนะ เพียงได้คุยกันแค่นี้ ก็ดีมากมายแล้วสำหรับผู้หญิงแบบฉัน
ในทุกๆวัน ฉันจะต้องมานั่งรอไปรษณีย์มาส่งจดหมายของเขา ในช่วงเวลาที่รอ จดหมายจากเขา แม้ว่ามันจะยาวนานแต่มันก็เป็นการรอคอยที่แสนจะคุ้มค่าที่จะรอ
วันเวลาผ่านไป จนฉันใกล้จะเรียนจบ และกำลังฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ด้วยความที่อยากอยากจะรู้ความนัยใจของเขา ว่ามีฉันอยู่บ้างไหมในหัวใจดวงนั้น ฉันจึงตัดสินใจ เขียนจดหมายไปลองใจเขาว่า
ฉันได้ไปแอบชอบรุ่นพี่ที่ทำงานที่ฉันฝึกงานอยู่ แต่ไม่กล้าจะบอกพี่เขา เลยจึงส่งจดหมายมาปรึกษาเพื่อนคนนี้ว่าจะทำอย่างไรดี
หลังจากที่ส่งจดหมายไปแล้ว ฉันก็ได้แต่เฝ้านับวันเวลา ตั้งหน้าตั้งตา เฝ้ารอ การตอบกลับของเขาอย่างใจดใจจ่อ
และเเล้วจดหมายฉบับนั้นก็มาถึง เธอรีบแกะจดหมายฉบับนั้นอ่านอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มหวาน
เพียงเพื่อจะเห็นว่า เขาคนนั้น จะบอกให้เธอเปลี่ยนใจ และบอกความนัยใจของเขามา แต่พอเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน กลับพบเขาเขียนตอบมาว่า
ขอให้เธอทำตามหัวใจเธอ เพราะเพื่อนคนนี้ยินดีเสมอที่เธอมีความสุข
ถ้อยคำดูเรียบง่ายแต่ฉันไม่อยากจะคิดว่ามันแฝงด้วยความรู้สึกใดเจือปนมาอีกหรือเปล่า?
เรื่องราวต่างๆ ผ่านเข้ามาอีกครั้ง ตั้งแต่ จดหมายฉบับแรก
หมวกไหมพรม
เสื้อกันหนาวที่ถักให้
ภาพที่ต้องไปอัดรูปที่ร้านเพื่อที่จะได้ส่งไปให้ดูว่าไปไหนทำอะไรมาบ้าง
เธอไม่เคยรู้เลยเหรอ ว่าฉันอยากจะบอกว่าอะไร?
เธอไม่รู้เลยเหรอ ว่าฉันรักเธอมากเเค่ไหน
ทำไมผู้ชายเป็นพวกติดเพื่อนฝูงขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่เคยรับรู้ใส่ใจอะไรเลย
ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยเหรอ ?
เธอไม่รับไม่รู้อะไร
ไม่เคยเอะใจบ้างเลยเหรอ
เธอไม่รู้ไม่ชี้อะไร
ไม่เคยแปลกใจบ้างเลยเหรอ
ใครมาคอยใส่ใจ เธอทุกวัน
ใครคอยเอาแต่ใจ เธอทั้ง วัน
เจอทีไรก็ชวนคุย
มีอะไรให้คุย กันทั้ง วัน
.เธอไม่รู้ไม่เห็นอะไร
ว่าใครห่วงใยบ้างเลยเหรอ
เธอไม่ร้อนไม่หนาวอะไร
ไม่เคยอุ่นใจบ้างเลยเหรอ
ทำยังไงก็ยังไม่รู้ตัว
คนมีใจก็เลย ต้องร้อนตัว
ทำยังไงจะบอกเธอ
ทำยังไงถ้าเธอไม่รู้ ตัว
.จะแบกรัก ไว้อย่างไร
จะแบกรัก ไปนานเท่าไร
อย่าทำร้าย กันอีกเลย
อย่าทำร้าย กันอีกเลย
โอ้ใจเอ๋ย
หลังจากได้รับจดหมาย อีกไม่กี่วัน ฉันจำได้ดีเลยว่าเป็นวันวาเลนไทน์
ฉันรีบขึ้นรถเมล์ไปหาเขาที่มหาวิทยาลัย แต่กลับพบว่า เขาคนนั้นมีสาวสวยอยู่เคียงข้างกาย ฉันจะไม่คิดอะไรมากเลย ถ้าไม่ได้เห็นเธอคนนั้น เดินควงแขนเขาออกมาจากห้องของเขาคนนั่น ฉันก็เลยหอบใจที่เจ็บกลับมหาวิทยาลัย
หอบรักมาเจ็บทำไม ดั้นด้นมาไกลเพื่อเจ็บเพื่อซ้ำ
และนั่นคือการคุยกันครั้งสุดท้ายของเราสองคน
หลังจากวันนั้นหลังจากที่เรียนจบและได้ไปทำงานที่ทางอิสาน ก็มีคนมาตามจีบฉันอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพี่หมอแต่ฉันก็ไม่เคย ตกลงปลงใจกับใครเพราะคิดว่า นอกจากเขาแล้วจะไม่คิดรักใครอีกเลย นอกจากเขาคนนั้น
หากแม้นไร้ชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยซะดีกว่า
พอมาเจอเขาอีกที ฉันจึงตื่นเต้น ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปหาเขาคนนั้น
ก็มี เด็กหญิงตัวน้อยวัยสามขวบ วิ่งเข้ามาหาฉัน พร้อมเรียกฉันว่าแม่
อ่ะอย่าเพิ่งตกใจ
ไม่ใช่ลูกสาวฉันหรอกค่ะ เจ้าหญิงน้อย เป็นลูกสาวของพี่หมอ ส่วนแม่ของเจ้าหญิงน้อย ไม่รู้ว่าเป็นใคร พี่หมอเป็นคนพบเจ้าหญิงน้อยถูกนำมาทิ้งไว้ข้างๆบ้านพี่หมอ
และเพื่อไม่ให้เจ้าหญิงน้อยมีปม ฉันจึงได้เข้าพิธีแต่งงานหลอกๆกับพี่หมอ ทำไมต้องหลอกๆเหรอคะ ก็เพราะว่า มาสิคะ ความลับเลยนะเนี่ย
จริงๆพี่หมออ่ะแกไม่ชอบผู้หญิงใช่แล้ว ก็แบบมานพน้อยเพื่อนสาวไงคะ แต่พี่แกเป็นแบบไม่เปิดเผย เลยไม่มีใครรู้
ดูสิพอนินทาปุ๊บ เดินมาปั้บเลย
"
ว่าไงจ้ะแม่จ๋า พ่อจ๋าเห็นแม่จ๋า ยืนมองอะไรอยู่เหรอ "
"ไม่มีอะไรหรอกคะพ่อจ๋า อม่จ๋าคิดว่าน่าจะเจอคนรู้จัก"
พี่หมอค่อยๆยื่นหน้ามากระซิบขข้างหู ฉันว่า
"ชั้นรู้นะ ว่าเขาเป็นใคร ไปทักเขาสิ หล่อน ได้ข่าวมาว่า เขาเพิ่งเลิกกับเมียไม่ใช่เหรอ ไปอาสาดามใจเขาสิ ถ้าหล่อนไม่ไป ฉันไปเองนะ "
เรื่องสั้น.....,.ความรัก......ตอนรักครั้งแรก ฉบับปรับปรุง
เป็นตอนจบแบบที่สองที่เราอยากเขียน อิอิ
วันนี้ เป็นวันที่14 กุมภาพันธ์วันที่หลายๆคนเฝ้ารอ บางคนรอคนมาบอกรัก หรือรอที่จะไปบอกรักใครสักคน
สำหรับฉันแล้ววันนี้ ก็เหมือนทุกวัน ที่แสนจะธรรมดา ที่ฉันต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในฐานะอาจารย์พิเศษ ซึ่งฉันเพิ่งย้ายมาทำงาน ได้ไม่นาน
ขณะที่ฉันเดินผ่านบริเวณ
ที่มีม้าหินอ่อนให้นั่งพักอยู่ตามซุ้มต่างๆของที่นั่งแต่ละสาขานั้น
สายตาของฉัน ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง ที่แสนจะคุ้นตา ใครคนหนึ่งซึ่งคงเป็นคนที่ฉันยังคงคิดถึงและยังจดจำไม่เคยลืมเสมอมา
ทั้งๆที่เขานั่งแอบอยู่แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้เหลือบไปเห็นได้ก็ไม่รู้ ก็อย่างว่าแหละ ไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปสักกี่ปี ฉันคนนี้ ก็ยังจดจำเขาคนนั้น คนที่สอนให้ฉันได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ได้แอบรักทแอบชอบใครสักคนว่ามันเป็นยังไงได้เสมอ
เรื่องราวต่างๆในอดีต ผ่านเข้ามาอีกครั้ง
ย้อนกลับไปในสมัยมัธยมปลาย ณ โรงเรียนประจำจังหวัด
ตอนนั้นฉันเป็นเพียงสาวน้อย
หน้าตาสดใส ตาตี่ๆ ไว้ผมม้า
ใส่แว่นตากลมโตแบบโบราณ หัวเราะเสียงดัง ผิวขาวเพราะเป็นลูกคนเชื้อสายจีน ชอบทำตัวติ๊งต๊อง โก๊ะๆ เปิ่นๆ ซุ่มซ่าม ไร้ความอ่อนหวาน เป็นม้าดีดกะโหลก ไม่สุภาพเรียบร้อย ไร้ซึ่งความสวย
เพื่อนๆในห้องชอบบอกกับฉันว่า
ฉันสวยนะ ถ้าเอาแว่นส่องจุลทรรศน์มาส่องดู
ใช่สิ ฉันไม่สวย ไม่น่ารัก อ่อนหวาน เหมือนกับสาวที่อยู่รายล้อมรอบๆตัวเขาที่ทั้งสวย น่ารัก อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม
ส่วนตัวเขาคนนั้นน่ะเหรอ
เป็นคนที่ค่อนข้างหล่อ ดูดี แต่เขาชอบคิดว่าตัวเองไม่หล่อ ไม่รวย เป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังกับทุกเรื่อง เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมทุกอย่าง ทั้งเล่นกีฬา เล่นดนตรีไทย เรียนก็เก่ง แถมแต่งกลอนก็ยังเก่งอีก
ถือว่าครบเครื่องทุกอย่าง ทำให้มีสาวไม่คอยตามกรี๊ดอยู่เสมอ รวมทั้งฉันด้วยที่แอบกรี๊ดเขาอยู่โดยที่เจ้าตัวช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น
เขามักจะชอบเอาการบ้านมานั่งทำในห้องอยู่เสมอ แทนที่จะไปเล่นกับพวกผู้ชาย
พอถึงตอนที่ฉันมีเวรต้องทำความสะอาด ซี่งเขามักจะทำการบ้านเสร็จพอดี
ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลยสักนิด ว่าที่เขาทำแบบนี้ เพราะอยากใกล้ชิดฉัน เขาเข้ามาช่วยฉันยกเก้าอี้ขึ้นโต๊ะทีละตัวจนเสร็จ
"ขอบใจนะ”
ฉันทำทีเป็นเอาไม้กวาดในมือกวาดขยะที่อยู่รอบๆเอ่ย เสียงเบาๆ พร้อมขยับแว่น
เมื่อเก้าอี้ตัวสุดท้ายถูกเขายกขึ้นจนเสร็จ พร้อมรับหมุนตัวถอยห่างเขา แต่ท่ากลับตัวบนพื้นไม้ขัดมันที่ลื่นด้วยถุงเท้านักเรียนทำให้ฉันเสียหลักตัวเอียงโยนไม้กวาดขึ้นไป
หลายๆท่านอาจจะคิดว่า จะมีฉากพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกเหมือนในนิยายใช่มั้ยหล่ะ ต้องเสียใจด้วย เพราะ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเลยจริงๆ
อ้อแต่ความจริงก็มีนะ
พอฉันร้อง "เฮ้ย"จบ เขาคนนั้นก็เดินเข้ามาถามว่า
"เป็นอะไรไหมยัยหมวยเปิ่น?"
ลองมาล้มเองบ้างไหมหล่ะ ชิ
ฉันไม่เอ่ยปากพูดออกไปนะเพียงเเค่คิดในใจ แล้วก็รีบลุกเก็บไม้กวาดแล้วรีบคว้าเอากระเป๋าบนโต๊ะเดินปิดหน้า แล้วเดินดุ่มๆออกไป ด้วยความทั้งเจ็บ ทั้งอาย ทั้งเขิน
ยัยบ้าเอ้ย ไม่เคยจะทำตัวให้เค้าประทับใจเลยสักครั้ง มีแต่ทำตัวเปิ่นตลอด
ในคืนนั้น ไม่รู้ว่าอะไรบางอย่างมาดลใจ ให้ฉันตัดสินใจหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปขอเพลงเรามีเรา ของพี่แหวน กับพี่ดีเจเพื่อมอบให้กับเขาคนนั้น เพราะรู้มาว่าเขามักจะชอบฟังวิทยุก่อนนอน โดยขอให้พี่ดีเจเปิดเพลงนี้ก่อนปิดสถานี
ครับสำหรับสายที่โทรเข้ามาขอเพลงเรามีเราเพลงสุดท้ายวันนี้นะครับ
ขอมาจากเด็กหญิงหลังห้องคนหนึ่ง อยากจะบอกคุณ........ม.6/1 รร..........
ว่า ขอบคุณนะวันนี้ ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ”
แต่ก่อนแต่ไรไม่เคยอุ่นใจ โดดเดี่ยวเดียวดายข้างกายไม่มีใครสักคน
พอฉันได้ฟังพี่ดีเจพูดจบและเพลงบรรเลงขึ้น ฉันก็ฟัง แล้วก็ยิ้มและนอนหลับไปอย่างฝันดี
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่ง ในวันใกล้ปิดภาคเรียนที่สองหรือเทอมสุดท้ายของปีการศึกษาซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเขากับฉันในโรงเรียนแบบสหศึกษา
เมื่อผลการสอบโควตาของมหาวิทยาลัยมาถึงที่โรงเรียน ชื่อของเขาได้ถูกเรียกให้ไปยืนหน้าเสาธง
เขาเป็นนักเรียนสิบกว่าคนที่ได้เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในคณะวิศวกรรมศาสตร์
พร้อมๆกับเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะและสาขาที่เลือกแตกต่างกันออกไป
ส่วนฉันซึ่งเลือกที่จะไปสอบเอนทรานซ์ต่อเพราะไม่ติดในคณะที่อยากเรียนในระบบโควต้าภาคครั้งนี้ได้แต่นั่งมองเขาตาแป๋วพร้อมส่งยิ้มให้เมื่อเห็นเขามองมา
ช่วงเช้าหลังแยกแถว
ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในห้องเรียนของชั้นมัธยมปีที่3และปีที่6 ทุกห้อง
ภาพของเด็กนักเรียนชายหญิงเดินกันวุ่นวาย
ในมือถือสมุดเฟรนด์ชิป และปากกาสีต่างๆ
รวมทั้งสติ๊กเกอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรูปหัวใจ
และของที่ระลึกประเภทตุ๊กตาหรือดอกไม้เท่าที่จะหามาได้
เสื้อขาวของเครื่องแบนักเรียน
ก็กลายเป็นที่ลงชื่อและที่แสดงความรู้สึกของเพื่อนๆ
ที่อยากจะเข้ามาเขียนความรู้สึกให้ในวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันในโรงเรียน
พวกสาวๆก็เขียนด้วยตัวเล็กๆน่ารัก ตามประสาวัยรุ่นในยุคนั้นส่วนที่ใช้สีออกจะเลอะเทอะนั้นคงเป็นเพื่อนผู้ชายที่บางครั้ง แอบเขียนคำสัปดนคำใหญ่ๆให้หัวเราะกัน
โดยที่บางคนแอบยิ้มนึกว่าสาวๆในโรงเรียนทำไมส่งยิ้มให้มากกว่าปกติในวันนี้ เนื่องจากไม่รู้ว่าตัวอักษรถูกเขียนจากด้านหลังของเสื้อที่ไม่สามารถมองเห็นได้นั้นคือคำว่าอะไร
ฉันเห็นเขานั่งลงที่เก้าอี้
หลังจากที่ไปลงชื่อในสมุดเฟรนด์ชิปของเพื่อนผู้หญิงเกือบทุกคนแล้ว
ฉันจึงไปวานให้เพื่อนหนุ่มหัวใจสาวนามว่ามานพ ที่ฉันแอบรูู้้มาว่า นางเป็นเพื่อนสาวชอบมาแอบแซวฉันบ่อยๆเพราะมีคนให้มาแซว ซึ่นางไม่ยอมบอกว่าใคร ให้ไปบอกเขาให้นั่งนิ่งๆหน่อย ก่อนที่ฉันจะเห็นเพื่อนสาวของฉันโอบกอดเขาไว้
ดูนางทำ ฉันส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปนัางข้างหลัง หยิบปากกามาเขียนบนเสื้อว่า
ดีใจด้วยนะหวังว่าคงได้เจอกันอีก o-o
/
ฉันไม่ได้ลงชื่อ
แต่เขียนรูปแว่นตากลมๆไว้
พร้อมเส้นโค้งข้างล่างที่ทำเป็นรูปรอยยิ้มเล็กๆทิ้งไว้
พอเขียนเสร็จ ฉันก็รีบเดินออกไป
วันเวลาผ่านไป ..จนกระทั่ง เขาได้เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ภาคอิสาน
ส่วนฉันได้เข้าเป็นนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
ด้วยความที่อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ฉันจึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาเขา
ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาทุกครั้ง เราสองคน คุยกัน ในยุคที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะจับเวลาเป็นนาทีตามหน้าหอ ส่วนใหญ่เราสองคนจะคุยกันผ่านทางจดหมาย
บางทีเขาก็ส่งกลอนมาให้ฉัน คอยห่วงใย ใส่ใจสารพัด เช่น
แต่เอาเข้าจริงๆฉันก็ไม่กล้าคิดไปไกลหรอกนะ เพียงได้คุยกันแค่นี้ ก็ดีมากมายแล้วสำหรับผู้หญิงแบบฉัน
ในทุกๆวัน ฉันจะต้องมานั่งรอไปรษณีย์มาส่งจดหมายของเขา ในช่วงเวลาที่รอ จดหมายจากเขา แม้ว่ามันจะยาวนานแต่มันก็เป็นการรอคอยที่แสนจะคุ้มค่าที่จะรอ
วันเวลาผ่านไป จนฉันใกล้จะเรียนจบ และกำลังฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ด้วยความที่อยากอยากจะรู้ความนัยใจของเขา ว่ามีฉันอยู่บ้างไหมในหัวใจดวงนั้น ฉันจึงตัดสินใจ เขียนจดหมายไปลองใจเขาว่า
ฉันได้ไปแอบชอบรุ่นพี่ที่ทำงานที่ฉันฝึกงานอยู่ แต่ไม่กล้าจะบอกพี่เขา เลยจึงส่งจดหมายมาปรึกษาเพื่อนคนนี้ว่าจะทำอย่างไรดี
หลังจากที่ส่งจดหมายไปแล้ว ฉันก็ได้แต่เฝ้านับวันเวลา ตั้งหน้าตั้งตา เฝ้ารอ การตอบกลับของเขาอย่างใจดใจจ่อ
และเเล้วจดหมายฉบับนั้นก็มาถึง เธอรีบแกะจดหมายฉบับนั้นอ่านอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มหวาน
เพียงเพื่อจะเห็นว่า เขาคนนั้น จะบอกให้เธอเปลี่ยนใจ และบอกความนัยใจของเขามา แต่พอเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน กลับพบเขาเขียนตอบมาว่า
ขอให้เธอทำตามหัวใจเธอ เพราะเพื่อนคนนี้ยินดีเสมอที่เธอมีความสุข
ถ้อยคำดูเรียบง่ายแต่ฉันไม่อยากจะคิดว่ามันแฝงด้วยความรู้สึกใดเจือปนมาอีกหรือเปล่า?
เรื่องราวต่างๆ ผ่านเข้ามาอีกครั้ง ตั้งแต่ จดหมายฉบับแรก
หมวกไหมพรม
เสื้อกันหนาวที่ถักให้
ภาพที่ต้องไปอัดรูปที่ร้านเพื่อที่จะได้ส่งไปให้ดูว่าไปไหนทำอะไรมาบ้าง
เธอไม่เคยรู้เลยเหรอ ว่าฉันอยากจะบอกว่าอะไร?
เธอไม่รู้เลยเหรอ ว่าฉันรักเธอมากเเค่ไหน
ทำไมผู้ชายเป็นพวกติดเพื่อนฝูงขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่เคยรับรู้ใส่ใจอะไรเลย
ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยเหรอ ?
เธอไม่รับไม่รู้อะไร
ไม่เคยเอะใจบ้างเลยเหรอ
เธอไม่รู้ไม่ชี้อะไร
ไม่เคยแปลกใจบ้างเลยเหรอ
ใครมาคอยใส่ใจ เธอทุกวัน
ใครคอยเอาแต่ใจ เธอทั้ง วัน
เจอทีไรก็ชวนคุย
มีอะไรให้คุย กันทั้ง วัน
.เธอไม่รู้ไม่เห็นอะไร
ว่าใครห่วงใยบ้างเลยเหรอ
เธอไม่ร้อนไม่หนาวอะไร
ไม่เคยอุ่นใจบ้างเลยเหรอ
ทำยังไงก็ยังไม่รู้ตัว
คนมีใจก็เลย ต้องร้อนตัว
ทำยังไงจะบอกเธอ
ทำยังไงถ้าเธอไม่รู้ ตัว
.จะแบกรัก ไว้อย่างไร
จะแบกรัก ไปนานเท่าไร
อย่าทำร้าย กันอีกเลย
อย่าทำร้าย กันอีกเลย
โอ้ใจเอ๋ย
หลังจากได้รับจดหมาย อีกไม่กี่วัน ฉันจำได้ดีเลยว่าเป็นวันวาเลนไทน์
ฉันรีบขึ้นรถเมล์ไปหาเขาที่มหาวิทยาลัย แต่กลับพบว่า เขาคนนั้นมีสาวสวยอยู่เคียงข้างกาย ฉันจะไม่คิดอะไรมากเลย ถ้าไม่ได้เห็นเธอคนนั้น เดินควงแขนเขาออกมาจากห้องของเขาคนนั่น ฉันก็เลยหอบใจที่เจ็บกลับมหาวิทยาลัย
หอบรักมาเจ็บทำไม ดั้นด้นมาไกลเพื่อเจ็บเพื่อซ้ำ
และนั่นคือการคุยกันครั้งสุดท้ายของเราสองคน
หลังจากวันนั้นหลังจากที่เรียนจบและได้ไปทำงานที่ทางอิสาน ก็มีคนมาตามจีบฉันอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพี่หมอแต่ฉันก็ไม่เคย ตกลงปลงใจกับใครเพราะคิดว่า นอกจากเขาแล้วจะไม่คิดรักใครอีกเลย นอกจากเขาคนนั้น
หากแม้นไร้ชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยซะดีกว่า
พอมาเจอเขาอีกที ฉันจึงตื่นเต้น ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปหาเขาคนนั้น
ก็มี เด็กหญิงตัวน้อยวัยสามขวบ วิ่งเข้ามาหาฉัน พร้อมเรียกฉันว่าแม่
อ่ะอย่าเพิ่งตกใจ
ไม่ใช่ลูกสาวฉันหรอกค่ะ เจ้าหญิงน้อย เป็นลูกสาวของพี่หมอ ส่วนแม่ของเจ้าหญิงน้อย ไม่รู้ว่าเป็นใคร พี่หมอเป็นคนพบเจ้าหญิงน้อยถูกนำมาทิ้งไว้ข้างๆบ้านพี่หมอ
และเพื่อไม่ให้เจ้าหญิงน้อยมีปม ฉันจึงได้เข้าพิธีแต่งงานหลอกๆกับพี่หมอ ทำไมต้องหลอกๆเหรอคะ ก็เพราะว่า มาสิคะ ความลับเลยนะเนี่ย
จริงๆพี่หมออ่ะแกไม่ชอบผู้หญิงใช่แล้ว ก็แบบมานพน้อยเพื่อนสาวไงคะ แต่พี่แกเป็นแบบไม่เปิดเผย เลยไม่มีใครรู้
ดูสิพอนินทาปุ๊บ เดินมาปั้บเลย
"
ว่าไงจ้ะแม่จ๋า พ่อจ๋าเห็นแม่จ๋า ยืนมองอะไรอยู่เหรอ "
"ไม่มีอะไรหรอกคะพ่อจ๋า อม่จ๋าคิดว่าน่าจะเจอคนรู้จัก"
พี่หมอค่อยๆยื่นหน้ามากระซิบขข้างหู ฉันว่า
"ชั้นรู้นะ ว่าเขาเป็นใคร ไปทักเขาสิ หล่อน ได้ข่าวมาว่า เขาเพิ่งเลิกกับเมียไม่ใช่เหรอ ไปอาสาดามใจเขาสิ ถ้าหล่อนไม่ไป ฉันไปเองนะ "