10 หนังไทยในดวงใจ ในยุค 2000

หนังไทยมีประวัติยาวนาน แต่ยุคสมัยก็เปลี่ยนแปลง และในวัยของผม ถ้าจะให้จัดอันดับหนังในดวงใจของผมเอง ผมก็ขอเลือกหนังที่สร้างหลังจากปี 2000 เป็นต้นมาแล้วกันครับ และกระทู้นี้ถือเป็นความชอบส่วนตัว ไม่ใช่การจัดอันดับจากเหตุผลใดๆครับ 

1 รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
หนังรักตลก รอมคอม สุดบรรเจิดของไทย ผมจำได้ว่าตอนไปดู มีคนทุกวัยทั้งผู้ใหญ่ หนุ่มสาว และเด็กวัยรุ่น เข้าไปดูกันเป็นครอบครัว ฉากที่ฮา ก็หัวเราะกันสนั่นโรง มุขที่มี Background เป็นการ์ตูนๆ ในหนังเช่นตอน ให้เบอร์พระเอกไปแล้ว แม่โทรมา แล้วนางเอกบอว่า เยี่ยมไปเลยว่ะเพลิน อันนั้นคนฮากันมาก ดาราก็เล่นดี เนื้อหาก็แปลกใหม่ ทั้งรถไฟฟ้า เป็นตัวเชื่อม มีดาวหาง เรื่องอาชีพการงาน ความรัก และ อุปสรรค เวลาที่ต่างกันของคนที่รักกัน มันทำให้ต้องคิดว่า จะไปต่อ หรือจะเลิก ผมคิดว่าหลายๆคู่รัก ก็น่าจะมีปัญหาเรื่อง เวลา ที่ไม่ตรงกัน และแถม เรื่องไป ต่างประเทศ ยังจะรอกันไหม เป็นหนังที่สดใสและหวานๆ กำลังดี 

2  โหมโรง The Overture 
หนังย้อนยุค แต่ไม่ย้อนมากประมาณช่วงสงครามโลก ได้เห็นวิถีชีวิตคนไทยช่วงหนึ่ง ที่มีศิลปดนตรีไทย ในยุคที่ความเจริญจากตะวันตกย่างกรายเข้ามา ตามยุคสมัย ต้องชมผู้กำกับ คุณอิทธิสุนธ อดีต ซูโม่สำอาง ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ ดูสนุก มีการเชื่อมโยงสืบสานวัฒนธรรมดนตรีไทย และ ปรัชญาแฝงในภาพยนตร์ รวมถึง ฉากหวานตอนช่วงดนตรี คำหวาน และ ช่วงดวลระนาดที่สะกดคนดู เพราะส่วนใหญ่เราไม่เคยเห็นคนตีระนาดแบบในหนัง เรียกว่า เปิดหน้าต่างความรู้ให้คนไทย ได้สัมผัสวิถีดนตรีไทย ระนาด ให้กลับมามีกระแสนนิยมในช่วงนั้นมากในวงกว้างเลยทีเดียว ชอบครับ 


3  มหาลัยเหมืองแร่ 
หนังสร้างจากเรื่องจริง ของนักศึกษาที่เรียนไม่จบต้องไปทำงานในเหมืองแร่ภาคใต้ หนังถ่ายทอดให้เห็นชีวิตคนชนชั้นแรงงาน ที่ทำงานกับชาวต่างชาติ ผลประโยชน์ส่วนรวม กับผลประโยชน์ส่วนตัว ความซื่อสัตย์ และการหาความสุขสำราญในถิ่นกันดาร ที่มีแต่ป่า กับ ลำธาญ คนจบใหม่ทำงานเผชิญปัญหา สูญเสียคนรัก หลักการใช้ชีวิต และคุณค่าของความเป็นคน เราเกิดมาแล้ว อะไรควรยึดมั่นที่จะทำ เพื่อให้ช่วงชีวิตนี้ ยืนยาวอย่างภาคภูมิ ผมว่าหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดี กับหนึ่งช่วงชีวิตคนเราที่จะมีได้ บางทีมันก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก เดี๋ยวก็แก่เฒ่า แลเราก็ยังคิดถึงวันวานกันได้แบบไม่ต้องอายใคร

4  ความจำสั้นแต่รักฉั้นยาว Best of Time 
หนังรักสองวัย หนึ่งคู่คือหนุ่มสาว และอีกคู่คือ ผู้สูงอายุ เนื้อหาไม่ตลาด แต่คงจับกลุ่มคนดูได้ส่วนหนึ่ง 
หนังดูน่ารัก มีเนื้อหาเชื่อมโยงของสองคู่ สองวัย ดำเนินขนานกันไป ต่างวัยต่างปัญหา คนหนุ่มสาว มีปัญหาแบบนึง คนสูงวัย ก็เจอปัญหาอีกแบบนึง หนังถ่ายทอดความเอื้ออาทรต่อกัน ช่วยเหลือกัน เรียกว่า Love is all around ให้ได้ทั้งแก่คนรัก คนใกล้ชิด มิตร สหาย รวมถึง สัตว์เลี้ยง อดีต กับ ปัจจุบัน ที่มันเชื่อมกันไปถึงอนาคต สิ่งที่อยากทำ และ สิ่งที่ควรทำ หนังบรรยากาศดี ดูเพลินๆ สบายใจครับ 

5  เพื่อนสนิท 

ถ้าว่ากันถึงเรื่องหนังรักแล้ว เรื่องนี้น่าจะอยู่ในใจคนจำนวนมาก เรื่องราวของ ความรักที่ผิดหวัง จากแดนเหนือ หนีรัก ลงใต้ จะมีสักกี่คนเป็นเหมือนไข่ย้อย 
พระเอกที่ไม่ค่อยจะกล้าเอ่ยความในใจ กับ นางเอกคนแรกที่รู้แก่ใจพอควรว่า ฝ่ายชายคิดเช่นไร แต่ความใกล้ชิดทำให้เธอเอง ก็ไม่รู้ใจตัวเองแน่ชัดเหมือนกัน ท่วงทำนองเพลง ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ผมตีความว่า คงไม่ใช่ ดากานดา ไม่รู้ว่า ไข่ย้อยแอบชอบ แต่ ดากานดา ไม่รู้ใจตัวเองว่าแท้จริงแล้ว คนที่เธอสนิทมากแบบไข่ย้อย ก็คือคนที่เธอจะคบได้แบบยืนยาว แต่กลับมองหนุ่มคนอื่นและมีใจให้มากกว่า และมองไข่ย้อยเป็นแค่เพื่อน จนกระทั่งไข่ย้อยเผยความในใจ ดากานดา ก็ปฏิเสธ ฉากนี้ ไข่ย้อย เดินทางกลับกรุงเทพ แล้วลงใต้ทันที 

ส่วนทางภาคใต้ บรรยากาศทะเลสวย ทรายขาวๆ ฟ้ากับน้ำ เหมาะเหลือเกินจะให้คนอกหัก ไปรักษาใจ แถมมีพยาบาลคู่ใจอยู่เคียงข้าง การเยียวยาหัวใจของตัวละครก็ดำเนินไปท่ามกลาง มุขตลกสอดแทรกเป็นระยะ 

หนังเรื่องนี้มีฉาก ติสๆ เยอะมาก ทั้งมุมกล้อง ฉาก ภาพสตอรี่บอร์ด ผมขอใช้คำว่า ปราณีต มีศิลป์ อยู่มากมายในหนังเรื่องนี้ วิวสวย บรรยากาศดี อกหักแบบนี้ก็ซึ้งดีเหมือนกัน 




6 สบายดีหลวงพระบาง 


จำได้ตอนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ไม่รู้พล็อตเรื่องอะไรเลย ไม่รู้ว่าเป็นหนังอะไรแบบไหน แต่พอได้ดูแล้ว ชอบมาก หนังส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศลาวอย่างยิ่ง ดาราแสดงดี ธรรมชาติสวยใส เนื้อเรื่องความรักคนต่างแดน ที่ได้มาพบกัน และผ่านอะไรๆ หลายอย่าง แม้ในช่วงเวลาสั้นๆ มีทะเลาะกันบ้าง มีหวานกันบ้าง พอเหมาะ พอดี สถานที่ต่างๆ การเดินทางหาข้อมูลของพระเอก ก็เหมือนกับทำให้คนดูได้ความรู้ไปด้วย 4 พันดอน เป็นแบบนี้มีที่มาแบบนี้นี่เอง หนังน่ารักดีครับ ตอนจบก็มีข้อคิดดีๆ ว่า ถ้าคนเรารักกัน แล้วต้องห่างกัน ยังจะรักกันไหม น่าคิดนะครับ 




7 . คิดถึงวิทยา


ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่า ดูจบ นึกถึงหนัง Sleepless in Seattle ตรงที่การดำเนินเรื่องนะครับ ไม่ใช่เนื้อหา คือ พระนาง เคยเจอกันครั้งนึงกลางเรื่องแต่ไม่รู้จักกันในชีวิตจริง แต่ได้รู้จักชื่อกันและกัน จนท้ายเรื่อง จึงได้มา Hello กันตอนจบ คิดถึงจริงๆ ว่ามีวิธีการเดียวกันในส่วนนี้ แต่ ในเนื้อหาแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งสองคนพระเอกนางเอก คือครูที่ทำหน้าที่เดียวกัน ในสถานที่เดียวกัน กับ กลุ่มนักเรียน กลุ่มเดียวกัน แต่ คนละเวลา อา คนคิดเรื่องนี้ก็มีจินตนาการที่สร้างสรรค์มากทีเดียว  รวมถึงมุมมองการให้ความสำคัญต่อการศึกษาของเด็ก ความหวังดีที่ผู้ใหญ่จะมีให้ได้ แต่ ทั้งหมดทั้งมวล คนเราจะเลือกอะไร สุดท้าย เด็กก็ต้องเลือกเอง มันเป็นความรู้สึกที่ คนอยากให้ก็ต้องเข้าใจคนรับด้วยว่า เขาก็มีความคิดของเขาเช่นกัน  หนังดูแบบผ่อนคลาย ขำๆ ไม่ได้ฮามากมาย แต่ Location สวยๆ ใสๆ แต่ให้ไปอยู่กันจริงๆ ผมว่าน่าจะคิดหนักเลยทีเดียว ไปเที่ยวน่ะโอเค 


8  แฟนฉัน 


ผู้ใหญ่ทุกคนย่อมมี อดีต หนังแฟนฉันคือหนังสำหรับผู้ใหญ่ที่มีอดีตในยุคสมัยนั้น มากกว่าจะเป็นหนังเด็ก แต่ถ่ายทอดโดยวัยเด็ก ทำให้นึกถึงหนังอย่าง Stand By Me ของฮอลลีวู้ด แต่เรื่องนั้นอาจจะติดเรทไปนิดเพราะมีเรื่องของ ศพ ด้วย ส่วน แฟนฉัน เป็นหนังย้อนวัย หรือจะเรียกว่า coming of age แบบสไตล์ภาษาหนัง ฮอลลีวู้ด แต่ยอมรับว่า หนังถ่ายทอดยุคเก่า แบบ ได้บรรยากาศ ผมจำได้ว่า แฟนฉัน ฉายชนกับ finding Nemo ตอนแรก ผมก็มองว่า ไปดู NEMO ดีกว่า แต่กระแส แฟนฉัน แรงจริงๆ ผมจึงต้องไปดูทั้งสองเรื่อง ซึ่งก็สมราคากระแสดังในช่วงนั้น หนังสนุก ประทับใจทำให้นึกถึงวัยเรียนจริงๆ


9  วัยอลวน 4

.

วัยอลวน 4 บอกตรงๆว่าไม่ได้ดู 3 ภาคแรก และไม่ได้สนใจอะไร ดูภาคนี้ภาคเดียวก็เข้าใจว่า อดีตเป็นเรื่องของรุ่นพ่อแม่ มาภาคนี้เป็นรุ่นลูก หนังครอบครัวที่ ลูกมาเรียนไกลบ้าน พ่อแม่ก็ห่วงใย ความจริงที่มาเจอ กับการต้องทำใจ สิ่งที่เด็กทำ กับ สิ่งที่ผู้ใหญ่รับรุ้และรับมือ เป็นหนังที่มองว่า พล็อตเรื่องก็บ้านๆ แต่การลำดับเนื้อหา ถือว่าดี ฉากเมืองเหนือ ละครเวที ทำให้นึกถึง เพื่อสนิท ไปนิดหน่อย เพลงประกอบเพราะ โดยเฉพาะที่ บัวชมพู ฟอร์ด ร้องไว้ เพราะมาก บรรยากาศดี หนังก็ดูสนุก ๆ แม้เหมือนจะไม่มีอะไรเป็นประเด็นมาก แค่ความรักของพ่อแม่ ที่มีต่อลูก และสุดท้าย ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ลงโทษ ต่อว่า แต่ต้องยอมรับว่า พ่อแม่ก็อายุมากขึ้น ลูกก็เติบโตแล้ว อาจต้องพิจารณาว่า ชีวิตลูกในวัย มหาลัยนั้น คงต้องให้ได้แค่คำปรึกษา จะดีจะแย่ พ่อแม่อาจต้องคอยประคอง และ ลูกก็ต้องมีความรับผิดชอบชีวิตตนเองเต็มที่แล้ว เมื่อเวลามาถึง 



10 เมล์นรกหมวยยกล้อ 


หนังนำหน้าขายความตลกมาก่อนเลย ด้วยดาราเดี่ยวไมโครโฟน โน้ต อุดม บวกป๋าเทพ และ ซูโม่กิ๊ก ผมดูครั้งแรก ผมก็ว่านี่คือหนังตลกแหล่ะ ดูจบก็จบกัน แต่ เมื่อมีเวลามาดูภายหลัง ผมเห็นอะไรๆ หลายอย่าง จากหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ตลก แต่น่าคิดตามกับเรื่องราวทั้งหมด ตัดความไม่สมเหตุ สมผลไปบ้าง หนังเรื่องนี้คือ  ชีวิตจริง ในมุมมองแบบเปรียบเทียบ ตั้งแต่ คนเราไม่ชอบขี้หน้ากันระหว่างคนขับรถ กับ กระเป๋า หรือ คนขับรถปากพูดมากว่างั้นบ่นไปเรื่อย บวกกับนิสัยไม่ยอมในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไปเจอกับคนที่พกอาวุธขึ้นรถเมล์มาแบบ เขาก็ไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายอะไร แล้วจะพกมาทำไม เหอะๆๆ แต่พอมารวมๆกัน หนังแสดงให้เห็นเลยว่า เรื่องทั้งหมด มันเกิดขึ้นได้ จริง ด้วย โทสะ ล้วนๆ ทุกคนไม่ยอมกัน แม้เรื่องเล็กน้อย จนต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงจะได้สติขึ้นมาว่า ทำไปทำไม ถ้าใจเย็นหรือมีสติตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่องทั้งหมด แต่ก็นั่นแหล่ะครับ คนเราการมีสติกับตัวไม่ใช่ทุกคนจะมี แต่ก็ขอให้คนส่วนใหญ่มีติดตัวไว้ เรื่องหนักจะกลายเป็นเบา ไม่ใช่ต่างคนต่างไม่ยอม มันก็เลยเถิดกันไปแบบในหนัง ทั้ง ผู้โดยสารเองก็หลากหลายประเภท ในสถานการณ์วุ่นวาย คนเรายังปฏิบัติตัวแตกต่างกัน เพราะนิสัยมุมมองที่ไม่เหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าการจะอยู่ร่วมกัน ในที่สาธารณะนั้น เราต้องมีความเข้าใจถึง มารยาท และ การเอาตัวรอด รวมถึงคนเสียสละต้องมี ที่สุดท้าย กระเป๋า โน้ต ทำนั่นแหล่ะครับ 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จบแล้ว 10 เรื่อง แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ผมชอบเช่น 

บ้านฉันตลกไว้ก่อน พ่อสอนไว้ 
วัยรุ่นพันล้าน
ขุนพันธ์ 2
แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า
ไบค์แมน ภาคแรก 
องค์บาก ภาคแรก 
ดรีมทีม
ไอฟายแต๊งกิ้ว
เอทีเอ็ม เออรัก เออเร่อ
กวน มึน โฮ
อินทรีแดง 
สามสิบโสดออนเซลส์ 
นะโมโอเค 
มากับพระ 
ฟรีแลนซ์
พี่มากพระขโนง ฯลฯ 

รักหนังไทย อุดหนุนหนังไทย กันนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ แชร์กันได้ว่าชอบหนังไทยเรื่องไหนบ้างครับ 

เรื่องนี้ก็สนุกครับ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่