เป็นหนึ่งในหนังที่เรารอคอย เพราะมันเป็นการจับคู่กันระหว่าง Kristen Stewart และ Mackenzie Davis ในบทคู่รักเลสเบี้ยน! แล้วก็คาดหวังว่ามันจะมาพร้อมกลิ่นอายโรแมนติกคอมเมดี้ที่ตัวละครกลุ่มเลสเบี้ยนไม่ค่อยได้มีเรื่องราวในหนังสไตล์นี้สักเท่าไหร่ แต่กลายเป็นว่า เรากลับนั่งไม่ค่อยติดที่ อึดอัด และกระอักกระอ่วนตลอดเรื่องเลย เพราะสถานการณ์ที่ตัวละครทั้งคู่ต้องเผชิญมันจริงแสนจริง และเราไม่อาจหัวเราะให้กับมุกตลกที่เห็นตรงหน้าได้เลย เพราะรู้ดีว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงเหตุการณ์จริง สิ่งที่เกิดขึ้นมันจะทำให้เราทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
.
Harper เอ่ยปากชวน Abby คนรักของเธอไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ทุกอย่างดูน่าจะราบรื่นดี จนกระทั่ง Abby เพิ่งรู้ว่า Harper ยังไม่ได้เปิดตัวกับครอบครัวว่าเป็นเลสเบี้ยน และพ่อของเธอกำลังจะลงเล่นการเมืองในตอนนี้ ดังนั้น ทั้งคู่จึงต้องเล่นละครตบตาทุกคนว่าเป็นเพียงแค่รูมเมต และเอาตัวรอดไปให้ได้ตลอดรอดฝั่งจนกว่าเทศกาลคริสต์มาสนี้จะจบลง นั่นแหละ หนังจึงมาพร้อมด้วยสถานการณ์ชวนหัวต่างๆ ที่ทั้งคู่จะต้องหลบเลี่ยงและพยายามปิดซ่อนไม่ให้ใครรู้ว่าพวกเธอเป็นเลสเบี้ยนและเป็นแฟนกัน
.
นอกจากการเล่นสนุกกับสถานการณ์อึดอัดตรงนี้แล้ว Clea DuVall ผู้กำกับ/เขียนบท ยังนำเสนอการปะทะกันระหว่างตัวละครที่ Come Out แล้วอย่าง Abby กับตัวละครที่ยังไม่พร้อม Come Out อย่าง Harper อยู่ตลอดทั้งเรื่องด้วย คือนอกจากมันจะย้ำชัดๆ ว่าการเป็นคนที่หลบซ่อนตัวเองและไม่อาจเป็นตัวเองได้นั้นมันทรมานแค่ไหน การเป็นคนที่อยู่ข้างๆ แล้วไม่อาจบอกใครๆ ได้ว่า นี่คือคนรักของฉันมันก็น่าเศร้าไม่แพ้กัน ชอบสิ่งที่ Abby ระบายออกมาว่า เธอรู้สึกว่า Harper คนที่อยู่กับเธอกับ Harper คนที่กลับมาเยี่ยมบ้านนั้นเป็นคนละคนกัน และเธอไม่รู้ว่าคนไหนคือตัวจริง ซึ่งจริงๆ ตรงนี้มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง Come Out หรือไม่หรอก แต่ต้องยอมรับว่า ตัวตนและคนที่เราเป็นในอดีตตอนเป็นเด็กวัยรุ่นกับตอนนี้มันก็ต่างกันทั้งนั้นแหละ การที่ Harper กลับมาเจอบรรยากาศเก่าๆ แล้วกลับกลายเป็นเด็กวัยรุ่นคนนั้นอีกครั้ง ก็ไม่แปลกที่ Abby จะรู้สึกเหมือนเธอไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้เลย
.
ชอบเรื่องการแข่งขันระหว่างพี่น้องตระกูลนี้ด้วย แล้วพอมันโยงกลับมาเล่าเรื่องครอบครัว ตัวละครพ่อ แม่ พี่สาว น้องสาว ที่เหมือนจะไร้มิติ บ้าๆ บอๆ ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาซะงั้น แล้วพอหนังย้ำว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เราต้องยอมรับความบ้าๆ บอๆ บูดๆ บวมๆ ของสมาชิกในครอบครัวเราให้ได้ ตรงนี้มันก็เลยลงตัว และเป็นหนังคริสต์มาสมากๆ ไปเลย
.
มีสองฉากที่ทำให้เราน้ำตาไหลไม่หยุด ฉากแรกคือฉากที่ตัวละครเพื่อนเกย์ของ Abby ปลอบโยนและเตือนสติเธอ ซึ่งจริงๆ เราถูกสปอยล์ไว้แล้ว แต่พอได้ดูจริง การแสดงห่วยๆ ของ Dan Levy ตลอดเรื่องกลับมาทำคะแนนได้ด้วยฉากนี้ (ฉากเดียว) เลย สิ่งที่เค้าพูดมันเต็มไปด้วยอารมณ์และจริงใจเหลือเกิน ส่วนอีกฉากก็คือ ฉากตอนท้ายที่ Abby ได้รับการโอบกอดต้อนรับให้เข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวของ Harper แล้ว ในฐานะลูกสะใภ้เกย์ เรารู้ดีว่าการที่พ่อแม่และครอบครัวของคนรักโบกมือเรียกให้เราเข้าไปถ่ายรูปด้วยในฐานะสมาชิกครอบครัว โอบกอดต้อนรับเราเป็นลูกอีกคนหนึ่งมันมีค่ามากแค่ไหน จากวันที่เราเคยเป็น “คนนอก” สู่วันที่พวกเค้าเปิดใจยอมรับเราให้ก้าวเข้าไปด้วยใจจริง มันเป็นอะไรที่พิเศษมากจริงๆ นะ
Happiest Season เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์บ้านเรา
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] Happiest Season (2020)
เป็นหนึ่งในหนังที่เรารอคอย เพราะมันเป็นการจับคู่กันระหว่าง Kristen Stewart และ Mackenzie Davis ในบทคู่รักเลสเบี้ยน! แล้วก็คาดหวังว่ามันจะมาพร้อมกลิ่นอายโรแมนติกคอมเมดี้ที่ตัวละครกลุ่มเลสเบี้ยนไม่ค่อยได้มีเรื่องราวในหนังสไตล์นี้สักเท่าไหร่ แต่กลายเป็นว่า เรากลับนั่งไม่ค่อยติดที่ อึดอัด และกระอักกระอ่วนตลอดเรื่องเลย เพราะสถานการณ์ที่ตัวละครทั้งคู่ต้องเผชิญมันจริงแสนจริง และเราไม่อาจหัวเราะให้กับมุกตลกที่เห็นตรงหน้าได้เลย เพราะรู้ดีว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงเหตุการณ์จริง สิ่งที่เกิดขึ้นมันจะทำให้เราทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
.
Harper เอ่ยปากชวน Abby คนรักของเธอไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ทุกอย่างดูน่าจะราบรื่นดี จนกระทั่ง Abby เพิ่งรู้ว่า Harper ยังไม่ได้เปิดตัวกับครอบครัวว่าเป็นเลสเบี้ยน และพ่อของเธอกำลังจะลงเล่นการเมืองในตอนนี้ ดังนั้น ทั้งคู่จึงต้องเล่นละครตบตาทุกคนว่าเป็นเพียงแค่รูมเมต และเอาตัวรอดไปให้ได้ตลอดรอดฝั่งจนกว่าเทศกาลคริสต์มาสนี้จะจบลง นั่นแหละ หนังจึงมาพร้อมด้วยสถานการณ์ชวนหัวต่างๆ ที่ทั้งคู่จะต้องหลบเลี่ยงและพยายามปิดซ่อนไม่ให้ใครรู้ว่าพวกเธอเป็นเลสเบี้ยนและเป็นแฟนกัน
.
นอกจากการเล่นสนุกกับสถานการณ์อึดอัดตรงนี้แล้ว Clea DuVall ผู้กำกับ/เขียนบท ยังนำเสนอการปะทะกันระหว่างตัวละครที่ Come Out แล้วอย่าง Abby กับตัวละครที่ยังไม่พร้อม Come Out อย่าง Harper อยู่ตลอดทั้งเรื่องด้วย คือนอกจากมันจะย้ำชัดๆ ว่าการเป็นคนที่หลบซ่อนตัวเองและไม่อาจเป็นตัวเองได้นั้นมันทรมานแค่ไหน การเป็นคนที่อยู่ข้างๆ แล้วไม่อาจบอกใครๆ ได้ว่า นี่คือคนรักของฉันมันก็น่าเศร้าไม่แพ้กัน ชอบสิ่งที่ Abby ระบายออกมาว่า เธอรู้สึกว่า Harper คนที่อยู่กับเธอกับ Harper คนที่กลับมาเยี่ยมบ้านนั้นเป็นคนละคนกัน และเธอไม่รู้ว่าคนไหนคือตัวจริง ซึ่งจริงๆ ตรงนี้มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง Come Out หรือไม่หรอก แต่ต้องยอมรับว่า ตัวตนและคนที่เราเป็นในอดีตตอนเป็นเด็กวัยรุ่นกับตอนนี้มันก็ต่างกันทั้งนั้นแหละ การที่ Harper กลับมาเจอบรรยากาศเก่าๆ แล้วกลับกลายเป็นเด็กวัยรุ่นคนนั้นอีกครั้ง ก็ไม่แปลกที่ Abby จะรู้สึกเหมือนเธอไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้เลย
.
ชอบเรื่องการแข่งขันระหว่างพี่น้องตระกูลนี้ด้วย แล้วพอมันโยงกลับมาเล่าเรื่องครอบครัว ตัวละครพ่อ แม่ พี่สาว น้องสาว ที่เหมือนจะไร้มิติ บ้าๆ บอๆ ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาซะงั้น แล้วพอหนังย้ำว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เราต้องยอมรับความบ้าๆ บอๆ บูดๆ บวมๆ ของสมาชิกในครอบครัวเราให้ได้ ตรงนี้มันก็เลยลงตัว และเป็นหนังคริสต์มาสมากๆ ไปเลย
.
มีสองฉากที่ทำให้เราน้ำตาไหลไม่หยุด ฉากแรกคือฉากที่ตัวละครเพื่อนเกย์ของ Abby ปลอบโยนและเตือนสติเธอ ซึ่งจริงๆ เราถูกสปอยล์ไว้แล้ว แต่พอได้ดูจริง การแสดงห่วยๆ ของ Dan Levy ตลอดเรื่องกลับมาทำคะแนนได้ด้วยฉากนี้ (ฉากเดียว) เลย สิ่งที่เค้าพูดมันเต็มไปด้วยอารมณ์และจริงใจเหลือเกิน ส่วนอีกฉากก็คือ ฉากตอนท้ายที่ Abby ได้รับการโอบกอดต้อนรับให้เข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวของ Harper แล้ว ในฐานะลูกสะใภ้เกย์ เรารู้ดีว่าการที่พ่อแม่และครอบครัวของคนรักโบกมือเรียกให้เราเข้าไปถ่ายรูปด้วยในฐานะสมาชิกครอบครัว โอบกอดต้อนรับเราเป็นลูกอีกคนหนึ่งมันมีค่ามากแค่ไหน จากวันที่เราเคยเป็น “คนนอก” สู่วันที่พวกเค้าเปิดใจยอมรับเราให้ก้าวเข้าไปด้วยใจจริง มันเป็นอะไรที่พิเศษมากจริงๆ นะ
Happiest Season เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์บ้านเรา
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้