" magic mirrors " กระจกวิเศษของจีนโบราณ




กว่าพันปีที่สิ่งประดิษฐ์หายากชนิดหนึ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์งงงวย นั่นคือ กระจกบรอนซ์ขัดเงาที่มีลวดลายที่ด้านหลัง ซึ่งผิวหน้าของมันก็ดูเหมือนปกติ
และสามารถใช้เป็นกระจกเงาทั่วไปได้ แต่เมื่อมีแสงจ้าส่องไปที่หน้ากระจก เงาสะท้อนที่ฉายขึ้นมากลับเป็นลวดลายตกแต่งที่อยู่ด้านหลัง ที่ปรากฏขึ้นอย่างลึกลับ จนดูเหมือนว่ากระจกบรอนซ์นี้เป็นกระจกที่โปร่งใส
กระจกเหล่านี้บางครั้งถูกเรียกว่า "กระจกวิเศษจีน" หรือ " t'ou kuang ching  透光镜" (แปลตามตัวอักษรว่า "กระจกฉายแสง")  ในภาษาอังกฤษจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า กระจกเงา (diaphanous mirrors) และยังมีชื่อต่างๆอีกหลายชื่อเช่น "กระจกส่องแสง" (light penetrating mirror) หรือ "กระจกวิเศษ" (magic mirrors)

"กระจกวิเศษ" เป็นเทคโนโลยีโบราณที่น่าทึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบในทุกส่วนของโลก แม้ว่ามันจะซ่อนการใช้งานและความก้าวหน้า แต่นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามทำความเข้าใจและทำการวิเคราะห์หลายครั้ง  โดยครั้งนี้จะมุ่งตรงไปยังจีนและญี่ปุ่นโบราณเพื่อพิสูจน์ความรู้ขั้นสูงในสมัยโบราณ จากการพบวัตถุแปลกประหลาดที่สุดในโลกที่เรียกว่า "กระจกวิเศษ" 

แม้จะไม่ทราบต้นกำเนิดที่แน่นอนของกระจกในจีนและญี่ปุ่นโบราณ แต่จากข้อมูลของ UNESCO บันทึกไว้ว่า เมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อน มีหนังสือที่ดูเหมือนจะมีความลับเหล่านี้อยู่ถูกตีพิมพ์ออกมา ชื่อว่า Record of Ancient Mirrors  แต่น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้สูญหายไปนานแล้ว



กระจกวิเศษรูปแบบต่างๆ
scientists-are-still-racking-their-brains/

 

นี่เป้นกระจกเงาที่มีสัตว์อมตะและสัตว์ในตำนาน (ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ค.ศ. 25-220) 


นอกจากนี้ วัตถุโบราณลึกลับเหล่านี้ยังได้รับการอธิบายไว้ในหนังสือที่น่าสนใจมากของ Robert Temple ที่ชื่อ "The Genius of China: 3,000 Years of Science, Discovery, and Invention" ซึ่งเขียนว่า
“ กระจกวิเศษได้ดึงดูดความสนใจของชาวตะวันตกในปี 1832 และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายสิบคนพยายามค้นพบความลับของพวกมัน "

ศิลปะการทำกระจกวิเศษนั้น สามารถย้อนกลับไปได้ถึงราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสตกาล - 24 AD) และความลับนี้ยังคงอยู่จนถึงศตวรรษที่ 8 และ 9
ทั้งนี้ กระจกของจีนในช่วงราชวงศ์ฮั่นถือว่าเป็นการผลิตกระจกที่ดีที่สุด โดยมีบางส่วนที่ทำจากบรอนซ์ซึ่งมีส่วนผสมของดีบุกสูงมาก ทำให้กระจกสามารถขัดเงาได้ดี  กระจกของชาวฮั่นนี้มีการออกแบบเป็นวงกลมและมีคำจารึกที่ด้านหลัง ต่อมาได้พัฒนาเป็นรูปแบบต่างๆตั้งแต่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไปจนถึงแปดเหลี่ยม
 
 
ในประเทศจีน วิธีการทำโลหะผสมสำริดเป็นที่รู้จักตั้งแต่ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกา
แม้สองร้อยปีต่อมา กระจกวิเศษจะยังคงเป็นปริศนาอยู่ แต่ในหนังสือ " The Dream Pool Essays " ผลงานที่น่าสนใจของ Shen Kuo พหูสูตและรัฐบุรุษของจีนในศตวรรษที่ 11 และนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ซ่ง ได้อธิบายถึงกระจกวิเศษ( มีสามชิ้นในมรดกตกทอดของครอบครัวเขา) ว่า 

เนื่องจากที่ด้านหลังมีการแกะสลัก จึงทำให้ด้านข้างของกระจกมีความโค้งเล็กๆซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบบางอย่าง รวมทั้งการหดตัวในระหว่างการทำความเย็นซึ่งพบได้ทั่วไปในการหล่อบรอนซ์  และน่าจะเป็นความโค้งขนาดเล็กนี้เองที่ขยายภาพจากด้านหลังสะท้อนไปยังหน้าจอ แต่ Shen Kuo บอกว่าหลักการข้างต้นนี้ ตัวอักษรหรือลวดลายที่อยู่ด้านหลังจะมองเห็นได้แบบจาง ๆ เกินกว่าที่จะเห็นได้ชัดเจน ซึ่งไม่ว่ายังไง กระจกวิเศษก็เป็นเทคโนโลยีของจีนโบราณในการสร้างกระจก และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการสะท้อนของแสง
 
ซึ่งในปัจจุบัน นักวิจัยเชื่อว่า การหล่อและการขัดเงาแบบผสมผสานกันทำให้เกิดรูปแบบเหล่านี้ขึ้น นักวิจัยจึงได้ทำการศึกษากระจกชิ้นหนึ่ง ที่ถูกผลิตขึ้นโดยการเทบรอนซ์หลอมเหลวลงในแม่พิมพ์ที่มีลวดลายด้านหลังของกระจก  โดยพื้นผิวด้านหน้ากระจกจะถูกทำให้นูนขึ้น

และจากผลการศึกษา มีคำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับปรากฏการณ์นี้คือ ในระหว่างการสร้าง พื้นผิวของกระจกจะถูกขูด ขีด ข่วนและขัดเงา จากนั้นจะถูกเคลือบด้วยอะมัลแกรมของปรอทจึงทำให้เกิดความเค้นและ "การโก่งแบบพิเศษ" โดยในความนูนนั้น สำหรับอักษรที่มีขนาดที่เล็กเกินไปจะไม่สังเกตได้ด้วยตาเปล่า แต่รูปสลักที่ด้านหลังของกระจกจะมองเห็นได้

กระจกสี่เหลี่ยมสองชั้นที่ฉลุลวดลายเรขาคณิต

makkyo
Cr.ภาพ hk.epochtimes.com/
ทั้งนี้ กระจกวิเศษยังถูกสร้างขึ้นในสมัยญี่ปุ่นโบราณ ที่รู้จักกันในชื่อ " makkyo " โดยมีข่าวว่า มีช่างฝีมือคนหนึ่งในประเทศนี้ที่ยังคงปฏิบัติงานศิลปะนี้อยู่
นั่นคือ Kyoto Journal ที่ทำ makkyo คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในโลก

ในญี่ปุ่นโบราณนั้น กระจกได้รับการยกย่องเป็นพิเศษว่าเป็นวัตถุหายากและลึกลับ ซึ่งในปี 1339 Chikafusa Kitabatake เขียนบันทึกไว้ว่า
พวกมันถูกมองว่าเป็น "แหล่งแห่งภูมิปัญญาและความซื่อสัตย์" เพราะสะท้อนให้เห็นถึง "ทุกสิ่งที่ดีและไม่ดี ถูกและผิด " และกระจกศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า Yata-no-Kagami เป็นหนึ่งในสามสมบัติของจักรวรรดิที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งผู้ปกครองในญี่ปุ่นโบราณใช้กระจกวิเศษเพื่อขู่ศัตรู โดยใช้สร้างภาพของภูเขาและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพิธีกรรมบูชาดวงอาทิตย์
ต่อมา นักโบราณคดีชาวญี่ปุ่นได้ค้นพบกระจกสำริด 33 ชิ้นที่ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 3 จากเนินดินรูปรูกุญแจ ในพื้นที่ยามาโตะทางตอนกลางของญี่ปุ่น ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับประเทศลึกลับที่ชื่อว่า Yamatai และราชินี Himiko ผู้ลึกลับที่สันนิษฐานว่ามีการใช้กระจกนี้ ซึ่งนับเป็นการค้นพบที่น่าทึ่ง


Cr.ภาพ  Wikimedia

 

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



ที่มา
# Temple, Robert K.G, Magic Mirrors, https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000081680
# Julia K. MURRAY and Suzanne E. CAHILL, RECENT ADVANCES IN UNDERSTANDING THE MYSTERY OF ANCIENT CHINESE “MAGIC MIRRORS” A Brief Summary of Chinese Analytical and Experimental Studies, https://www.jstor.org/stable/43896393
# Se-yuen Mak and Din-yan Yip, Secrets of the Chinese magic mirror replica, https://iopscience.iop.org/article/10.1088/0031-9120/36/2/302


(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่