ความอ่อนหวานดื่มด่ำที่ได้รับจากญารินยังลอยอวลอยู่ในจิตสำนึกของอันทาเออัส จนกระทั่ง..เขาก้าวเข้าห้องนอนมายืนหน้ากระจก สายตาจดจ้องที่แผ่นอก ความเจ็บปวดแต่หนหลังบรรเทาเบาบางลงยามนึกถึงหญิงสาวที่เพิ่งจากมา
เสื้อสีดำถูกถอดออกจากร่าง เผยรอยบาดแผลฉกรรจ์เกรียมไหม้กลางแผ่นหลัง..ส่วนรอยแผลเป็นด้านหน้า แม้จะไม่รุนแรงเท่า แต่ในความรู้สึกนั้น ก็เจ็บปวดเจียนตายไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มยกมือขึ้นสัมผัสรอยนูนของแผลเป็นยาวบนแผงอก..หวนนึกถึงเสียงกรีดร้องในวัยเยาว์ของตนในวันที่ได้กลับไปเยี่ยมมารดา ซึ่งมันเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและสิ้นหวัง กับสายตาเกลียดชังของผู้ให้กำเนิดที่นั่งคร่อมทับบน สองมือดึงทึ้งสองเขาของเขาจนหัวสั่นหัวคลอน ไม่สนใจเสียงร้องไห้อ้อนวอนจากบุตรชายแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ ข้าเจ็บ..”
“เจ้าเจ็บเรอะ..ปิศาจอย่างเจ้ารู้จักความเจ็บปวดด้วยเรอะ..แล้วข้าล่ะ ข้าไม่เจ็บปวดหรืออย่างไร”
แม้ว่าตนจะมีกำลังมากพอที่จะผลักร่างซูบเซียวให้พ้นตัว แต่ก็ไม่ได้กระทำ เพราะเกรงจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บ จึงได้แต่อดทนให้นางได้ระบายอารมณ์ ด้วยหวังว่า เมื่อมารดาอารมณ์ดีขึ้น จะโอบกอดปลอบประโลมเขาสักชั่วครู่ชั่วคราวก็ยังดี
แต่เหมือนว่าความปรารถนาของเขาไม่อาจเป็นจริง เมื่อในหัวใจของนางไม่มีสามัญสำนึกของผู้ให้กำเนิดแม้เพียงเศษเสี้ยว แต่กลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น..และความหวังของเขามันพังทลายไม่เหลือชิ้นดี เมื่อมือผอมบางยื่นไปคว้ามีดปอกผลไม้ กระชากฉีกเสื้อของเขา ก่อนกดคมมีดสลักชื่อที่แท้จริงลงบนกลางอก
“เจ้าไม่ได้ชื่ออันทาเออัสอย่างที่ใครๆเขาเรียกกัน แต่ชื่อที่พ่อของเจ้าตั้งให้คือแอตลาส มันคือชื่อของความชั่วร้ายที่มาทำลายชีวิตข้าให้พินาศย่อยยับ..เจ้าทำให้ข้าต้องอัปยศอดสูจนไม่สามารถมองหน้าใครได้ และความอัปยศนี้จะต้องติดตัวเจ้าไปจนตายเช่นกัน”
คมมีดที่กรีดลงบนแผ่นอก ไม่ต่างอะไรกับการถูกเชือดเฉือนหัวใจ เขาได้แต่กัดฟันสะอื้นไห้ต่อการกระทำของผู้ให้กำเนิด
“ท่านแม่..อย่าทำร้ายข้าเลย ข้าเป็นบุตรของท่านนะ..โปรดเมตตามอบความรักให้ข้าสักเศษเสี้ยวใจด้วยเถอะ..ท่านแม่..”
คำอ้อนวอนสั่นเครือไม่ได้กระทบใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะแหลมเย้ยหยันระเบิดลั่นขึ้นทันที
“พร่ำเพ้ออะไรของเจ้า อย่าว่าแต่ความรักเลย แม้แต่ความเมตตาข้าก็ไม่มีให้..ทุกวันนี้ ข้าได้แต่สาปแช่งให้เจ้าตายๆไปเสียที เจ้าปิศาจชั่ว!” ใบหน้าที่เคยงดงาม บัดนี้บิดเบี้ยวดั่งคนเสียจริต มือที่กำมีดยกสูงหมายปักอกเลือดในอุทร
หากแต่กี ปราดเข้ามาผลักนางจนกระเด็นเกือบตกเตียง สายตาเกรี้ยวกราดของเด็กหนุ่มจ้องเขม็งราวอยากฉีกทึ้งร่างผอมบางที่กำลังคลุ้มคลั่งหมายกระโจนกลับมาทำร้ายบุตรชายอีกครั้ง กษัตริย์ไมนอสตามเข้ามา รีบปราดไปจับร่างชายาไว้แน่น ด้วยเกรงว่า หากเด็กปิศาจตนนี้ตายไป เทพซุสจะไม่คุ้มครองเขาจากการแก้แค้นของเทพโปเซดอน
“กี! เจ้าจงรีบนำอันทาเออัสกลับไป แล้วหากข้าไม่เรียก ก็ไม่ต้องเข้าเมืองมาอีก”
“แน่นอน..นับจากนี้ ข้าจะไม่ให้ผู้ใดมาทำร้ายน้องของข้าอีก” กีแค่นเสียงอาฆาต ก่อนอุ้มร่างโชกเลือด ซึ่งนอนนิ่งด้วยหัวใจแสนบอบช้ำกลับลาบีรินธ์
หลังจากนั้น ไม่นาน ข่าวการสิ้นลมของมารดาก็ถูกส่งต่อมาให้ได้รับรู้
มารดาผู้แสนเกลียดชังเขา ได้จากไปชั่วนิรันดร์ แต่กระนั้น บาดแผลที่นางทิ้งไว้ ยังคงตอกย้ำให้เจ็บปวดไปตลอดกาลด้วยเช่นกัน.
ยามเช้าตรู่..
กีชะงักเท้า เมื่อบริเวณหน้าปราสาทที่เคยว่างเปล่า แต่ในขณะนี้ กลับมีเจ้ากระต่ายขนปุยกำลังกระโดดดุ๊กดิ๊กไปมาบนพื้นหญ้า สายตาเต็มไปด้วยความฉงนเพ่งมองมันราวกับเป็นสิ่งประหลาด จนกระต่ายตัวน้อยกระโดดหายไปด้านหลังก้อนหิน เขาจึงหันไปถามกับทหารที่อยู่บริเวณนั้น
“กระต่ายตัวนั้นมาได้อย่างไร..ปกติมันจะกลายเป็นอาหารของพวกเจ้าไม่ใช่เรอะ”
ทหารผู้น้อยยิ้มฝืดเฝือ
“ขืนเอาสัตว์เลี้ยงของหญิงผู้นั้นมาเป็นอาหาร..องค์อันทาเออัสคงฉีกหัวพวกข้าเป็นแน่”
กีเอียงคอ
“หือ..นี่ข้าพลาดอะไรไปเรอะ..แล้วหญิงผู้นั้นของเจ้าคือ...?”
“ก็หญิงบาร์บาเรียน ที่นามว่า ยูริไงขอรับ”
“อ้อ เช่นนั้นเรอะ..อืม” ใบหน้าเข้มพยักพเยิดอย่างเข้าใจเรื่องราว โดยไม่ต้องการคำอธิบายอะไรให้ยืดยาว พลางโบกมือไล่ทหารผู้นั้น ก่อนเดินยิ้มกริ่มไปหาหนุ่มรุ่นน้อง ซึ่งในระยะหลังมานี้ดูเหมือนจะทำตัวมีชีวิตชีวาเฉกเช่นมนุษย์ขึ้นมาบ้าง ไม่เอาแต่เก็บตัวเงียบ หลับอุตุเป็นหมีจำศีลดั่งเช่นที่ผ่านมา นั่นคงเป็นเพราะหญิงสาวอ่อนเยาว์ แสนเริงร่าไร้เดียงสาผู้นั้น
หากผู้คนเห็นร่างเล็กๆเที่ยวเล่นไปรอบปราสาท ก็มักจะเห็นร่างสูงโปร่งของอันทาเออัสยืนอยู่ไม่ไกล ดวงตาสีอำพันคอยเฝ้ามองอย่างมิรู้เบื่อ
(ต่อค่ะ)
ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #16#
เสื้อสีดำถูกถอดออกจากร่าง เผยรอยบาดแผลฉกรรจ์เกรียมไหม้กลางแผ่นหลัง..ส่วนรอยแผลเป็นด้านหน้า แม้จะไม่รุนแรงเท่า แต่ในความรู้สึกนั้น ก็เจ็บปวดเจียนตายไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มยกมือขึ้นสัมผัสรอยนูนของแผลเป็นยาวบนแผงอก..หวนนึกถึงเสียงกรีดร้องในวัยเยาว์ของตนในวันที่ได้กลับไปเยี่ยมมารดา ซึ่งมันเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและสิ้นหวัง กับสายตาเกลียดชังของผู้ให้กำเนิดที่นั่งคร่อมทับบน สองมือดึงทึ้งสองเขาของเขาจนหัวสั่นหัวคลอน ไม่สนใจเสียงร้องไห้อ้อนวอนจากบุตรชายแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ ข้าเจ็บ..”
“เจ้าเจ็บเรอะ..ปิศาจอย่างเจ้ารู้จักความเจ็บปวดด้วยเรอะ..แล้วข้าล่ะ ข้าไม่เจ็บปวดหรืออย่างไร”
แม้ว่าตนจะมีกำลังมากพอที่จะผลักร่างซูบเซียวให้พ้นตัว แต่ก็ไม่ได้กระทำ เพราะเกรงจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บ จึงได้แต่อดทนให้นางได้ระบายอารมณ์ ด้วยหวังว่า เมื่อมารดาอารมณ์ดีขึ้น จะโอบกอดปลอบประโลมเขาสักชั่วครู่ชั่วคราวก็ยังดี
แต่เหมือนว่าความปรารถนาของเขาไม่อาจเป็นจริง เมื่อในหัวใจของนางไม่มีสามัญสำนึกของผู้ให้กำเนิดแม้เพียงเศษเสี้ยว แต่กลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น..และความหวังของเขามันพังทลายไม่เหลือชิ้นดี เมื่อมือผอมบางยื่นไปคว้ามีดปอกผลไม้ กระชากฉีกเสื้อของเขา ก่อนกดคมมีดสลักชื่อที่แท้จริงลงบนกลางอก
“เจ้าไม่ได้ชื่ออันทาเออัสอย่างที่ใครๆเขาเรียกกัน แต่ชื่อที่พ่อของเจ้าตั้งให้คือแอตลาส มันคือชื่อของความชั่วร้ายที่มาทำลายชีวิตข้าให้พินาศย่อยยับ..เจ้าทำให้ข้าต้องอัปยศอดสูจนไม่สามารถมองหน้าใครได้ และความอัปยศนี้จะต้องติดตัวเจ้าไปจนตายเช่นกัน”
คมมีดที่กรีดลงบนแผ่นอก ไม่ต่างอะไรกับการถูกเชือดเฉือนหัวใจ เขาได้แต่กัดฟันสะอื้นไห้ต่อการกระทำของผู้ให้กำเนิด
“ท่านแม่..อย่าทำร้ายข้าเลย ข้าเป็นบุตรของท่านนะ..โปรดเมตตามอบความรักให้ข้าสักเศษเสี้ยวใจด้วยเถอะ..ท่านแม่..”
คำอ้อนวอนสั่นเครือไม่ได้กระทบใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะแหลมเย้ยหยันระเบิดลั่นขึ้นทันที
“พร่ำเพ้ออะไรของเจ้า อย่าว่าแต่ความรักเลย แม้แต่ความเมตตาข้าก็ไม่มีให้..ทุกวันนี้ ข้าได้แต่สาปแช่งให้เจ้าตายๆไปเสียที เจ้าปิศาจชั่ว!” ใบหน้าที่เคยงดงาม บัดนี้บิดเบี้ยวดั่งคนเสียจริต มือที่กำมีดยกสูงหมายปักอกเลือดในอุทร
หากแต่กี ปราดเข้ามาผลักนางจนกระเด็นเกือบตกเตียง สายตาเกรี้ยวกราดของเด็กหนุ่มจ้องเขม็งราวอยากฉีกทึ้งร่างผอมบางที่กำลังคลุ้มคลั่งหมายกระโจนกลับมาทำร้ายบุตรชายอีกครั้ง กษัตริย์ไมนอสตามเข้ามา รีบปราดไปจับร่างชายาไว้แน่น ด้วยเกรงว่า หากเด็กปิศาจตนนี้ตายไป เทพซุสจะไม่คุ้มครองเขาจากการแก้แค้นของเทพโปเซดอน
“กี! เจ้าจงรีบนำอันทาเออัสกลับไป แล้วหากข้าไม่เรียก ก็ไม่ต้องเข้าเมืองมาอีก”
“แน่นอน..นับจากนี้ ข้าจะไม่ให้ผู้ใดมาทำร้ายน้องของข้าอีก” กีแค่นเสียงอาฆาต ก่อนอุ้มร่างโชกเลือด ซึ่งนอนนิ่งด้วยหัวใจแสนบอบช้ำกลับลาบีรินธ์
หลังจากนั้น ไม่นาน ข่าวการสิ้นลมของมารดาก็ถูกส่งต่อมาให้ได้รับรู้
มารดาผู้แสนเกลียดชังเขา ได้จากไปชั่วนิรันดร์ แต่กระนั้น บาดแผลที่นางทิ้งไว้ ยังคงตอกย้ำให้เจ็บปวดไปตลอดกาลด้วยเช่นกัน.
ยามเช้าตรู่..
กีชะงักเท้า เมื่อบริเวณหน้าปราสาทที่เคยว่างเปล่า แต่ในขณะนี้ กลับมีเจ้ากระต่ายขนปุยกำลังกระโดดดุ๊กดิ๊กไปมาบนพื้นหญ้า สายตาเต็มไปด้วยความฉงนเพ่งมองมันราวกับเป็นสิ่งประหลาด จนกระต่ายตัวน้อยกระโดดหายไปด้านหลังก้อนหิน เขาจึงหันไปถามกับทหารที่อยู่บริเวณนั้น
“กระต่ายตัวนั้นมาได้อย่างไร..ปกติมันจะกลายเป็นอาหารของพวกเจ้าไม่ใช่เรอะ”
ทหารผู้น้อยยิ้มฝืดเฝือ
“ขืนเอาสัตว์เลี้ยงของหญิงผู้นั้นมาเป็นอาหาร..องค์อันทาเออัสคงฉีกหัวพวกข้าเป็นแน่”
กีเอียงคอ
“หือ..นี่ข้าพลาดอะไรไปเรอะ..แล้วหญิงผู้นั้นของเจ้าคือ...?”
“ก็หญิงบาร์บาเรียน ที่นามว่า ยูริไงขอรับ”
“อ้อ เช่นนั้นเรอะ..อืม” ใบหน้าเข้มพยักพเยิดอย่างเข้าใจเรื่องราว โดยไม่ต้องการคำอธิบายอะไรให้ยืดยาว พลางโบกมือไล่ทหารผู้นั้น ก่อนเดินยิ้มกริ่มไปหาหนุ่มรุ่นน้อง ซึ่งในระยะหลังมานี้ดูเหมือนจะทำตัวมีชีวิตชีวาเฉกเช่นมนุษย์ขึ้นมาบ้าง ไม่เอาแต่เก็บตัวเงียบ หลับอุตุเป็นหมีจำศีลดั่งเช่นที่ผ่านมา นั่นคงเป็นเพราะหญิงสาวอ่อนเยาว์ แสนเริงร่าไร้เดียงสาผู้นั้น
หากผู้คนเห็นร่างเล็กๆเที่ยวเล่นไปรอบปราสาท ก็มักจะเห็นร่างสูงโปร่งของอันทาเออัสยืนอยู่ไม่ไกล ดวงตาสีอำพันคอยเฝ้ามองอย่างมิรู้เบื่อ
(ต่อค่ะ)