.
“ฮือ พี่เมธีมารับนภาหน่อย นภาเจ็บ ไม่กล้าขับรถกลับห้อง” พรนภายืนอยู่ขอบถนนไม่ยอมข้ามไปสักที เพราะเธอยังสั่นไม่กล้าเดินข้ามไปฝั่งนู้น ฝากข้อความไว้พร้อมส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้ไปด้วย
เธอแน่ใจว่าไม่มีรถวิ่งมาแล้วจริง ๆ จึงเดินขากะเผลกข้ามถนนไป ไม่ถึงนาทีเมธีโทรกลับมา “พี่จะนั่งวินไปรับ น้องไม่ต้องขับรถกลับเองนะ พี่จะขับให้”
“ค่ะ” แล้วก็วางสายไป เธอยืนรอเขาที่รถที่หน้าที่ทำงานของตัวเอง
หนึ่งทุ่มตรงถึงเวลาเลิกงาน อรวีชวนเธอข้ามไปตลาดหาซื้อของกลับไปทานตามปกติเช่นทุกวัน เธอตกลงจึงเดินข้ามไปด้วยกัน เวลานี้มีรถโดยสารบนถนนมากมาย เนื่องจากเป็นย้านโรงงานและเป็นช่วงเวลาผู้คนเลิกงานด้วย จึงทำให้ถนนหนาแน่นติดขัดไปด้วยรถลา
ขาไปพวกเธอข้ามไปโดยสวัสดิภาพ หาซื้อกับข้าวคนละอย่างสองอย่าง พอได้เมนูครบแล้วจึงแยกทางขอลากลับที่พักใครที่พักมัน พรนภาเดินมาเรื่อย ๆ พอถึงลานจอดรถหน้าตลาด อยู่ ๆ ก็เหมือนมีคนผลักให้ล้ม เธอสะดุดล้มหน้าคะมำลงกับพื้น เบรคตัวเองไม่ทัน ปล่อยให้ตัวเองถลาล้มไปกองกับพื้นตามสบาย ซึ่งเป็นพื้นซีเมนต์
เธอล้มไปกองกับพื้นด้วยความเจ็บ ลุกไม่ขึ้น ลุงวินหน้าตลาดวิ่งมา ลูกค้าที่มาเดินตลาดกำลังสตาร์ทรถยนต์จะกลับบ้าน รีบเปิดประตูลงมาดู เธอยกมือห้าม “ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่เป็นไร” ตอบลุงวินและผู้มีน้ำใจ พยุงตัวเองลุกขึ้นทว่าเจ็บเข่ามาก
พรนภาลุกขึ้นยืนได้ ยืนตั้งสติพักหนึ่งก่อนจะเช็คตัวเอง เช็คข้าวของ เช็คกระเป๋ารอบ ๆ ตัวว่าไม่มีอะไรหล่น จึงเดินกะเผลกไปต่อ ตอนนี้เธอตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ของตัวเองมาก แทบไม่กล้าข้ามถนนเลย กลัว! กลัวว่าจะไปล้มกลางถนนเอาดื้อ ๆ เหมือนเมื่อสักครู่นั้นอีก
ข้ามถนนมาได้ยืนรอเมธีมารับแบบเจ็บ ๆ เงียบ ๆ คนเดียว อรวีไม่ได้รับรู้เลยว่าเธอเกิดอะไรขึ้น นึกแล้วก้อยากจะร้องไห้มันออกมาตรงนี้ เฮ้อ ได้แค่ถอนหายใจ
“นภา!” เมื่อวินมอเตอร์ไซค์จอดสนิท เมธีรีบลงจากรถ จ่ายเงินเรียกชื่อเธอและเดินตรงเข้ามาหา “เจ็บตรงไหนบ้าง เดินยังไงให้ล้มเนี่ย นึกว่าขับมอไซค์ล้ม พี่ใจหายหมดเลยรู้มั้ย” เมธีสอบถามถึงอาการของเธอ ทว่ามันดึงขากางเกงขึ้นดูไม่ได้ เธอเจ็บเข่าเอาเรื่องอยู่ น่าจะช้ำไม่มากก็น้อยแน่นอน
“เดินอยู่ดี ๆ มันก็ล้ม เท้านภาไม่ได้พลิกนะ สงสัยขาอ่อน พี่เมธีใช้งานนภามากเกินไป ฮา” เมธีมองเธอด้วยแววตาห่วงใย ยังจะมามีอารมณ์ขันอีก
เมธีมองหน้าเธอ หัวเราะกับคำพูดของเธอ พร้อมยกมือขึ้นมาลูบศีรษะเบา ๆ “มาขึ้น! เดี๋ยวพี่พากลับบ้านเอง” เมธีขึ้นไปนั่งค่อมรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเธอ “เอ้า ขำทำไมคะ รู้มั้ยพี่อ่ะเด็กแว๊นประจำหมู่บ้านนะคะสมัยวัยรุ่นอ่ะ รู้จักเมธี สิมะสุวรรณ น้อยไปซะแล้ว” ทำท่าขึงขัง เตรียมพร้อมออกตัวเต็มที่
“สมัยพี่เมธีมีมอเตอร์ไซค์ด้วยเหรอคะ ฮา” ยืนหัวเราะให้กับภาพที่เห็นตรงหน้า อดขำไม่ได้จริง ๆ แม้จะเจ็บเข่าอยู่ก็ตาม เธอไม่ค่อยเห็นเขาในภาพแบบนี้เลย เนื่องจากเขาใช้รถยนต์เป็นส่วนใหญ่
“เอ๋า ก็มีสิคะว่าไป! โห่อย่าให้พี่ต้องโม้ มาค่ะ ขึ้นมาเลย กลับห้องกัน อยากดูแผลที่เข่าแล้ว”
“โอเคค่ะ” แล้วเธอก็เดินขากะเผลกขึ้นรถ กอดเอวเขาเตรียมพร้อม “ไปเลยค่า ฮา” เธอตื่นเต้นและก็ปลื้มมาก เมธีขับมอเตอร์ไซค์ให้เธอนั่ง ไม่บ่อยที่จะมีโอกาสแบบนี้
“กอดแน่น ๆ นะน้อง พี่จะพาแว๊นแล้วนะ” แล้วก็ก็กดสวิตช์สตาร์ทมือขับมอเตอร์ไซค์พาเธอกลับคอนโด ระหว่างทางก็ซบแผ่นหลังเขาไปด้วย ตัวแน่นน่ากอดดีจริง ๆ เลย เขาค่อย ๆ พาเธอขับรถกลับบ้านไปตามไล่ทาง นั่งไปอมยิ้มไปอยู่ด้านหลัง และแล้วก็พาเธอกลับถึงห้องอย่างปลอดภัย
“ไหนดูซิ โห! นภาไปเดินท่าไหนคะเนี่ย ช้ำมาเชียว” เมธีอุทาน เมื่อเธอเปลี่ยนชุดทำงานออก สวมกางเกงขาสั้นแทน หัวเข่าของเธอบอบช้ำมาก ดีที่ชุดทำงานเป็นกางเกงขายาว ถ้าเป็นวันที่เธอสวมกระโปรง มีหวังได้เลือดแน่นอน
“ก็มันล้มเอง” ทำท่าจะร้องไห้ “เจ็บ” นั่งชันเข่าบนเตียงนอนให้เมธีดูแผลให้ “พีเมธีอย่ากดดิ นภาเจ็บนะ ฮ่วย! ขนาดใส่กางเกงนะหนิยังขนาดนี้” แสดงสีหน้าท่าทางงอแงให้เขาเต็มที่ งอแงกับเขาได้ตามสบายใจเมธีก็ไม่ต่อว่าอะไร นี่แหละเธอถึงรักมาก และไม่ยอมกลับไปหาคนเก่า ในวันที่เคยมาง้อขอคืนดีด้วย
เมธีหยิบน้ำเกลือล้างแผลที่แวะซื้อระหว่างทางมาด้วย เช็ดทำความสะอาดหัวเข่าให้เธอ จากนั้นก็ให้เธอไปอาบน้ำก่อน
พรนภารีบอาบน้ำอย่างเร็ว รู้สึกปวดไม่น้อยเลย เวรกรรมอะไรของเธอเนี่ย! นึกในใจพลางเช็ดตัวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ฟันก็พึ่งจะหายปวด แผลในปากก็เจ็บยังไม่หายดีเลย
“นภามานี่ค่ะ พี่ฉีดสเปรย์ให้ รับรองหายปวดเลย สเปรย์เย็นน่ะ” เป็นสเปรย์ที่เขาเคยไปหาหมอเมื่อหลายเดือนก่อน มันยังใช้งานได้ ยังไม่หมดอายุ เป็นสเปรย์ฉีดแก้ปวดพกช้ำ เธอมองตามแบบสงสัยเป็นเชิงคำถาม “ใช้ได้ค่ะ มันยังใช้ได้อยู่ ไม่แสบร้อน เย็นมาก! มานั่งลงตรงนี้เหยียดขามา ดูซิเนี่ย เขียวปี๋เลยเนี่ย”
เมธีฉีดสเปรย์ยาให้กับเธอ สัมผัสเย็นของตัวยาทำให้เธอสบายมาก ๆ เย็นอย่างที่เมธีบอกจริง เธอแอบมองเขาอีกแล้ว พร้อมยิ้มให้ รู้สึกโชคดีที่วันนี้อยู่กับพี่เมธี ถ้าวันนี้เธออยู่กับพี่โค๊กก็คงต้องได้ดูแลตัวเอง เพราะรายนั้นไม่มีทั้งเวลาให้ด้วยเรื่องงาน ทั้งติดเพื่อนและติดเกมเป็นอาจิน
พอนึกอย่างนั้นน้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัว รีบยกมือขึ้นมาเช็ดออก ทำให้เมธีรู้ตัว “ร้องไห้ทำไมคะ เจ็บเหรอ พี่ทำแรงเกินไปเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ “ นึกโมโหตัวเองที่โดนจับได้ “นภาไม่เจ็บค่ะพี่เมธี” ปฏิเสธไป จะบอกเขาได้อย่างไรล่ะว่านึกถึงพี่โค๊ก แฟนเก่าคนนั้น “นภาขอกอดหน่อย นภาคิดถึงพี่เมธี” พูดจบพรนภาก็โผลเข้าสวมกอดเขาเอาไว้อยู่นาน ความรู้สึกตอนนี้มันบอกไม่ถูก อาย เจ็บ และรักคนที่อยู่ตรงหน้านี้มาก ๆ
“สเปรย์ยังไม่แห้งเลย! พี่ก็รักน้องค่ะ จะไม่ยอมให้น้องเป็นอะไรเด็ดขาด จะดูแลนภาเป็นอย่างดีเลยนะคะ พี่สัญญา”
“นภาเจ็บ” ผละตัวออกจากเขา ก็แสร้งทำเป็นเจ็บแก้เขินไปอีก
“เดี๋ยวมันก็หายแล้ว ล้มแค่นี้เอง ไหนเล่าให้ฟังหน่อยไปเดินอี่ท่าไหนคะ ถึงได้ล้มเนี่ย แล้วน้องออรู้มั้ยตอนล้ม”
“ไม่ พี่ออกลับไปแล้ว เราแยกทางกันแล้วนภาล้มอ่ะ แต่ว่าตอนนี้เค้ารู้ละ นภาบอก” แล้วเธอก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง นอนตัวลงนอนในอ้อมกอดของเขา อบอุ่นที่สุด แม้จะปวดแผลพกช้ำที่หัวเข่ามันก็มีความสุข รู้สึกว่ามันจะระบมไปทั้งตัวเลยตอนนี้ ก็ตอนที่บ้มเธอล้มไปทั้งตัวเลยนี่ เหมือนจะไม่สบายขึ้นมาดื้อ ๆ
“ระมัดระวังตัวเองหน่อยก็ดีนะคะ ดีแค่ไหนไม่ล้มกลางถนน ชีวิตพี่ขาดน้องไม่ได้นะคะนภา” พูดจบโน้มศีรษะลงมาหอมผมของเธอเบา ๆ เช่นเคยทำทุกวัน
“ค่ะ นภาจะดูแลตัวเองดี ๆ นภาไม่จากพี่เมธีไปไหนหรอก อิอิ จะอยู่ดูพี่เมธีแก่ หัวหงอกเต็มหัวเลย ถือไม่เท้าเดิน ฮา”
“อื้อหือ! ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไปเห๊อคนเรา ฮา”
“พี่เมธีนั่นแหละ ใช้งานนภาหนักเกินไปนะคะ นภาขาอ่อนล้มเลย” พูดแล้วก็ขำตัวเอง ตลกตัวเองที่กล้าพูดเล่นแบบนี้
“โอเคค่ะ พี่สัญญาว่าต่อไปพี่จะใช้งานนภาน้อยลง ลดนาทีลงก็ได้” ก๊าก! เป็นเธอเองที่เขินและหัวเราะดังลั่นห้อง “น้องขำอะไรเนี่ย พี่หมายถึงว่าพี่จะให้น้องอยู่เฉย ๆ งานบงงานบ้านพี่ทำเอง” ฮา เขาเองก็ขำ
“เอ้า นภาก็คิดแบบนั้น พี่เมธีแหละที่คิดลึก คิดไปถึงไหนเนี่ย”
หืย! “รักมากจังเลยค่ะ” พร้อมออกแรงกอดเธอไว้แน่นขึ้นอีก ก่อนคลายอ้อมกอดออกนิดหน่อยให้เธอนอนสบาย ๆ
“นภาก็รักพี่เมธีค่ะ แต่ครั่นเนื้อครั่นตัวแปลก ๆโควิดหรือเปล่าเนี่ย”
“ทานยาลดไข้เลย เจ็บคีงนั่นล่ะ” พูดแล้วก็ลุกไปหยิบยาแก้ปวดลดไข้ให้เธอ ได้แค่มองดูเขาทำทุกอย่างให้ตนเอง แล้วมันจะร้องไห้อีกแล้ว เมื่อนึกเปรียบเทียบกับอดีตของตน จะไปนึกถึงเขาทำไม ทางใครทางมันก็ดีแล้ว
“ขอบคุณค่ะ “ รับยาและน้ำเปล่าจากเขา ทานแล้วก็นอน หลับไปในอ้อมกอดของเขาทุกคืน เธอไม่ต้องการสิ่งอื่นใด แค่มีคนเข้าใจและรักในความเป็นเธอก็พอ เช่นเขาคนนี้
จบบท...
มาวางทุกวัน วันละเรื่องคงไม่รำคาญกันน้อ 🤣 ก็เค้าชอบเขียนค่ะ ไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย มีเรื่องราวเต็มหัวเลย เราก็พยายามแปลงสารในหัวให้เป็นตัวหนังสือ เป็นเรื่องเป็นราวให้ได้มากที่สุด ที่ไม่วางในถนนเกรงใจคนอื่นค่ะ ขยันเกินหน้าเกินตา เกินเบอร์คนอื่นเค้า 555 และเหตุผลส่วนตัวค่ะ ล้อเล่นค่า! 🤣🤣🤣 ไม่อยากวางเฉย ๆ มาวางในนี้แหละ ได้ถ่ายทอดจินตนาการเต็มที่ อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร คิดแบบไหนก็เขียนออกมาแบบนั้นได้เลย อิอิ
อยากเป็นนักอยากเขียนค่ะ แม้เขียนได้กะโหลกกะลาก็เถอะ นักอ่านเงาท่านไหนอ่านแล้วไม่เข้าท่าติได้นะคะ คำผิดไรงี้! บอกนำแน่จิได้แก้ เป็นนักอยากเขียนที่เขียนผิดเป็นอาจินค่า 😄😄😄
ฝันหวาน (Sweet Dream) 22
.
“ฮือ พี่เมธีมารับนภาหน่อย นภาเจ็บ ไม่กล้าขับรถกลับห้อง” พรนภายืนอยู่ขอบถนนไม่ยอมข้ามไปสักที เพราะเธอยังสั่นไม่กล้าเดินข้ามไปฝั่งนู้น ฝากข้อความไว้พร้อมส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้ไปด้วย
เธอแน่ใจว่าไม่มีรถวิ่งมาแล้วจริง ๆ จึงเดินขากะเผลกข้ามถนนไป ไม่ถึงนาทีเมธีโทรกลับมา “พี่จะนั่งวินไปรับ น้องไม่ต้องขับรถกลับเองนะ พี่จะขับให้”
“ค่ะ” แล้วก็วางสายไป เธอยืนรอเขาที่รถที่หน้าที่ทำงานของตัวเอง
หนึ่งทุ่มตรงถึงเวลาเลิกงาน อรวีชวนเธอข้ามไปตลาดหาซื้อของกลับไปทานตามปกติเช่นทุกวัน เธอตกลงจึงเดินข้ามไปด้วยกัน เวลานี้มีรถโดยสารบนถนนมากมาย เนื่องจากเป็นย้านโรงงานและเป็นช่วงเวลาผู้คนเลิกงานด้วย จึงทำให้ถนนหนาแน่นติดขัดไปด้วยรถลา
ขาไปพวกเธอข้ามไปโดยสวัสดิภาพ หาซื้อกับข้าวคนละอย่างสองอย่าง พอได้เมนูครบแล้วจึงแยกทางขอลากลับที่พักใครที่พักมัน พรนภาเดินมาเรื่อย ๆ พอถึงลานจอดรถหน้าตลาด อยู่ ๆ ก็เหมือนมีคนผลักให้ล้ม เธอสะดุดล้มหน้าคะมำลงกับพื้น เบรคตัวเองไม่ทัน ปล่อยให้ตัวเองถลาล้มไปกองกับพื้นตามสบาย ซึ่งเป็นพื้นซีเมนต์
เธอล้มไปกองกับพื้นด้วยความเจ็บ ลุกไม่ขึ้น ลุงวินหน้าตลาดวิ่งมา ลูกค้าที่มาเดินตลาดกำลังสตาร์ทรถยนต์จะกลับบ้าน รีบเปิดประตูลงมาดู เธอยกมือห้าม “ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่เป็นไร” ตอบลุงวินและผู้มีน้ำใจ พยุงตัวเองลุกขึ้นทว่าเจ็บเข่ามาก
พรนภาลุกขึ้นยืนได้ ยืนตั้งสติพักหนึ่งก่อนจะเช็คตัวเอง เช็คข้าวของ เช็คกระเป๋ารอบ ๆ ตัวว่าไม่มีอะไรหล่น จึงเดินกะเผลกไปต่อ ตอนนี้เธอตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ของตัวเองมาก แทบไม่กล้าข้ามถนนเลย กลัว! กลัวว่าจะไปล้มกลางถนนเอาดื้อ ๆ เหมือนเมื่อสักครู่นั้นอีก
ข้ามถนนมาได้ยืนรอเมธีมารับแบบเจ็บ ๆ เงียบ ๆ คนเดียว อรวีไม่ได้รับรู้เลยว่าเธอเกิดอะไรขึ้น นึกแล้วก้อยากจะร้องไห้มันออกมาตรงนี้ เฮ้อ ได้แค่ถอนหายใจ
“นภา!” เมื่อวินมอเตอร์ไซค์จอดสนิท เมธีรีบลงจากรถ จ่ายเงินเรียกชื่อเธอและเดินตรงเข้ามาหา “เจ็บตรงไหนบ้าง เดินยังไงให้ล้มเนี่ย นึกว่าขับมอไซค์ล้ม พี่ใจหายหมดเลยรู้มั้ย” เมธีสอบถามถึงอาการของเธอ ทว่ามันดึงขากางเกงขึ้นดูไม่ได้ เธอเจ็บเข่าเอาเรื่องอยู่ น่าจะช้ำไม่มากก็น้อยแน่นอน
“เดินอยู่ดี ๆ มันก็ล้ม เท้านภาไม่ได้พลิกนะ สงสัยขาอ่อน พี่เมธีใช้งานนภามากเกินไป ฮา” เมธีมองเธอด้วยแววตาห่วงใย ยังจะมามีอารมณ์ขันอีก
เมธีมองหน้าเธอ หัวเราะกับคำพูดของเธอ พร้อมยกมือขึ้นมาลูบศีรษะเบา ๆ “มาขึ้น! เดี๋ยวพี่พากลับบ้านเอง” เมธีขึ้นไปนั่งค่อมรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเธอ “เอ้า ขำทำไมคะ รู้มั้ยพี่อ่ะเด็กแว๊นประจำหมู่บ้านนะคะสมัยวัยรุ่นอ่ะ รู้จักเมธี สิมะสุวรรณ น้อยไปซะแล้ว” ทำท่าขึงขัง เตรียมพร้อมออกตัวเต็มที่
“สมัยพี่เมธีมีมอเตอร์ไซค์ด้วยเหรอคะ ฮา” ยืนหัวเราะให้กับภาพที่เห็นตรงหน้า อดขำไม่ได้จริง ๆ แม้จะเจ็บเข่าอยู่ก็ตาม เธอไม่ค่อยเห็นเขาในภาพแบบนี้เลย เนื่องจากเขาใช้รถยนต์เป็นส่วนใหญ่
“เอ๋า ก็มีสิคะว่าไป! โห่อย่าให้พี่ต้องโม้ มาค่ะ ขึ้นมาเลย กลับห้องกัน อยากดูแผลที่เข่าแล้ว”
“โอเคค่ะ” แล้วเธอก็เดินขากะเผลกขึ้นรถ กอดเอวเขาเตรียมพร้อม “ไปเลยค่า ฮา” เธอตื่นเต้นและก็ปลื้มมาก เมธีขับมอเตอร์ไซค์ให้เธอนั่ง ไม่บ่อยที่จะมีโอกาสแบบนี้
“กอดแน่น ๆ นะน้อง พี่จะพาแว๊นแล้วนะ” แล้วก็ก็กดสวิตช์สตาร์ทมือขับมอเตอร์ไซค์พาเธอกลับคอนโด ระหว่างทางก็ซบแผ่นหลังเขาไปด้วย ตัวแน่นน่ากอดดีจริง ๆ เลย เขาค่อย ๆ พาเธอขับรถกลับบ้านไปตามไล่ทาง นั่งไปอมยิ้มไปอยู่ด้านหลัง และแล้วก็พาเธอกลับถึงห้องอย่างปลอดภัย
“ไหนดูซิ โห! นภาไปเดินท่าไหนคะเนี่ย ช้ำมาเชียว” เมธีอุทาน เมื่อเธอเปลี่ยนชุดทำงานออก สวมกางเกงขาสั้นแทน หัวเข่าของเธอบอบช้ำมาก ดีที่ชุดทำงานเป็นกางเกงขายาว ถ้าเป็นวันที่เธอสวมกระโปรง มีหวังได้เลือดแน่นอน
“ก็มันล้มเอง” ทำท่าจะร้องไห้ “เจ็บ” นั่งชันเข่าบนเตียงนอนให้เมธีดูแผลให้ “พีเมธีอย่ากดดิ นภาเจ็บนะ ฮ่วย! ขนาดใส่กางเกงนะหนิยังขนาดนี้” แสดงสีหน้าท่าทางงอแงให้เขาเต็มที่ งอแงกับเขาได้ตามสบายใจเมธีก็ไม่ต่อว่าอะไร นี่แหละเธอถึงรักมาก และไม่ยอมกลับไปหาคนเก่า ในวันที่เคยมาง้อขอคืนดีด้วย
เมธีหยิบน้ำเกลือล้างแผลที่แวะซื้อระหว่างทางมาด้วย เช็ดทำความสะอาดหัวเข่าให้เธอ จากนั้นก็ให้เธอไปอาบน้ำก่อน
พรนภารีบอาบน้ำอย่างเร็ว รู้สึกปวดไม่น้อยเลย เวรกรรมอะไรของเธอเนี่ย! นึกในใจพลางเช็ดตัวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ฟันก็พึ่งจะหายปวด แผลในปากก็เจ็บยังไม่หายดีเลย
“นภามานี่ค่ะ พี่ฉีดสเปรย์ให้ รับรองหายปวดเลย สเปรย์เย็นน่ะ” เป็นสเปรย์ที่เขาเคยไปหาหมอเมื่อหลายเดือนก่อน มันยังใช้งานได้ ยังไม่หมดอายุ เป็นสเปรย์ฉีดแก้ปวดพกช้ำ เธอมองตามแบบสงสัยเป็นเชิงคำถาม “ใช้ได้ค่ะ มันยังใช้ได้อยู่ ไม่แสบร้อน เย็นมาก! มานั่งลงตรงนี้เหยียดขามา ดูซิเนี่ย เขียวปี๋เลยเนี่ย”
เมธีฉีดสเปรย์ยาให้กับเธอ สัมผัสเย็นของตัวยาทำให้เธอสบายมาก ๆ เย็นอย่างที่เมธีบอกจริง เธอแอบมองเขาอีกแล้ว พร้อมยิ้มให้ รู้สึกโชคดีที่วันนี้อยู่กับพี่เมธี ถ้าวันนี้เธออยู่กับพี่โค๊กก็คงต้องได้ดูแลตัวเอง เพราะรายนั้นไม่มีทั้งเวลาให้ด้วยเรื่องงาน ทั้งติดเพื่อนและติดเกมเป็นอาจิน
พอนึกอย่างนั้นน้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัว รีบยกมือขึ้นมาเช็ดออก ทำให้เมธีรู้ตัว “ร้องไห้ทำไมคะ เจ็บเหรอ พี่ทำแรงเกินไปเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ “ นึกโมโหตัวเองที่โดนจับได้ “นภาไม่เจ็บค่ะพี่เมธี” ปฏิเสธไป จะบอกเขาได้อย่างไรล่ะว่านึกถึงพี่โค๊ก แฟนเก่าคนนั้น “นภาขอกอดหน่อย นภาคิดถึงพี่เมธี” พูดจบพรนภาก็โผลเข้าสวมกอดเขาเอาไว้อยู่นาน ความรู้สึกตอนนี้มันบอกไม่ถูก อาย เจ็บ และรักคนที่อยู่ตรงหน้านี้มาก ๆ
“สเปรย์ยังไม่แห้งเลย! พี่ก็รักน้องค่ะ จะไม่ยอมให้น้องเป็นอะไรเด็ดขาด จะดูแลนภาเป็นอย่างดีเลยนะคะ พี่สัญญา”
“นภาเจ็บ” ผละตัวออกจากเขา ก็แสร้งทำเป็นเจ็บแก้เขินไปอีก
“เดี๋ยวมันก็หายแล้ว ล้มแค่นี้เอง ไหนเล่าให้ฟังหน่อยไปเดินอี่ท่าไหนคะ ถึงได้ล้มเนี่ย แล้วน้องออรู้มั้ยตอนล้ม”
“ไม่ พี่ออกลับไปแล้ว เราแยกทางกันแล้วนภาล้มอ่ะ แต่ว่าตอนนี้เค้ารู้ละ นภาบอก” แล้วเธอก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง นอนตัวลงนอนในอ้อมกอดของเขา อบอุ่นที่สุด แม้จะปวดแผลพกช้ำที่หัวเข่ามันก็มีความสุข รู้สึกว่ามันจะระบมไปทั้งตัวเลยตอนนี้ ก็ตอนที่บ้มเธอล้มไปทั้งตัวเลยนี่ เหมือนจะไม่สบายขึ้นมาดื้อ ๆ
“ระมัดระวังตัวเองหน่อยก็ดีนะคะ ดีแค่ไหนไม่ล้มกลางถนน ชีวิตพี่ขาดน้องไม่ได้นะคะนภา” พูดจบโน้มศีรษะลงมาหอมผมของเธอเบา ๆ เช่นเคยทำทุกวัน
“ค่ะ นภาจะดูแลตัวเองดี ๆ นภาไม่จากพี่เมธีไปไหนหรอก อิอิ จะอยู่ดูพี่เมธีแก่ หัวหงอกเต็มหัวเลย ถือไม่เท้าเดิน ฮา”
“อื้อหือ! ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไปเห๊อคนเรา ฮา”
“พี่เมธีนั่นแหละ ใช้งานนภาหนักเกินไปนะคะ นภาขาอ่อนล้มเลย” พูดแล้วก็ขำตัวเอง ตลกตัวเองที่กล้าพูดเล่นแบบนี้
“โอเคค่ะ พี่สัญญาว่าต่อไปพี่จะใช้งานนภาน้อยลง ลดนาทีลงก็ได้” ก๊าก! เป็นเธอเองที่เขินและหัวเราะดังลั่นห้อง “น้องขำอะไรเนี่ย พี่หมายถึงว่าพี่จะให้น้องอยู่เฉย ๆ งานบงงานบ้านพี่ทำเอง” ฮา เขาเองก็ขำ
“เอ้า นภาก็คิดแบบนั้น พี่เมธีแหละที่คิดลึก คิดไปถึงไหนเนี่ย”
หืย! “รักมากจังเลยค่ะ” พร้อมออกแรงกอดเธอไว้แน่นขึ้นอีก ก่อนคลายอ้อมกอดออกนิดหน่อยให้เธอนอนสบาย ๆ
“นภาก็รักพี่เมธีค่ะ แต่ครั่นเนื้อครั่นตัวแปลก ๆโควิดหรือเปล่าเนี่ย”
“ทานยาลดไข้เลย เจ็บคีงนั่นล่ะ” พูดแล้วก็ลุกไปหยิบยาแก้ปวดลดไข้ให้เธอ ได้แค่มองดูเขาทำทุกอย่างให้ตนเอง แล้วมันจะร้องไห้อีกแล้ว เมื่อนึกเปรียบเทียบกับอดีตของตน จะไปนึกถึงเขาทำไม ทางใครทางมันก็ดีแล้ว
“ขอบคุณค่ะ “ รับยาและน้ำเปล่าจากเขา ทานแล้วก็นอน หลับไปในอ้อมกอดของเขาทุกคืน เธอไม่ต้องการสิ่งอื่นใด แค่มีคนเข้าใจและรักในความเป็นเธอก็พอ เช่นเขาคนนี้
จบบท...
มาวางทุกวัน วันละเรื่องคงไม่รำคาญกันน้อ 🤣 ก็เค้าชอบเขียนค่ะ ไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย มีเรื่องราวเต็มหัวเลย เราก็พยายามแปลงสารในหัวให้เป็นตัวหนังสือ เป็นเรื่องเป็นราวให้ได้มากที่สุด ที่ไม่วางในถนนเกรงใจคนอื่นค่ะ ขยันเกินหน้าเกินตา เกินเบอร์คนอื่นเค้า 555 และเหตุผลส่วนตัวค่ะ ล้อเล่นค่า! 🤣🤣🤣 ไม่อยากวางเฉย ๆ มาวางในนี้แหละ ได้ถ่ายทอดจินตนาการเต็มที่ อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร คิดแบบไหนก็เขียนออกมาแบบนั้นได้เลย อิอิ
อยากเป็นนักอยากเขียนค่ะ แม้เขียนได้กะโหลกกะลาก็เถอะ นักอ่านเงาท่านไหนอ่านแล้วไม่เข้าท่าติได้นะคะ คำผิดไรงี้! บอกนำแน่จิได้แก้ เป็นนักอยากเขียนที่เขียนผิดเป็นอาจินค่า 😄😄😄