จดหมายฉบับสุดท้าย

เราชื่อใบเตยค่ะ เดิมทีตั้งแต่จำความได้เราเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่อาศัยอยู่กับปู่ กับย่ามาตั้งแต่เด็ก

เพราะพ่อกับแม่เราเขาไปทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อหาเงินส่งเสียเรากับพี่สาว

 ชีวิตส่วนตัวของเราก็ถือว่าไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย เพราะบ้านปู่กับย่า เปิดเป็นร้านของชำเล็กๆ

 ในหมู่บ้าน ส่วนที่นาก็มีพอได้ไปลูกข้าวไม่กี่ไร่ ทุกเช้าปู่ก็จะไปนา ส่วนย่าก็ดูแลร้านอยู่ที่บ้าน 

เรามีเพื่อนสนิทอยู่สองคน คือหญิง กับสุพจ เวลาเช้าเราจะเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน

 หญิงเป็นเด็กหน้าตาดี นิสัยแก่นๆ และโผงผางหน่อย  ส่วนสุพจ เป็นเด็กผู้ชาย

ตัวสูงโย่งกว่าเพื่อนทุกคนในชั้นเรียนเลย ส่วนนิสัยจะเรียบร้อยมาก เป็นคนพูดน้อย

 และค่อนข้างเก็บตัว ด้วยความที่บ้านใกล้กัน และเรียนชั้นเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาล 

พวกเราจึงถือว่าสนิท และรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี เราพูดคุยกันแทบทุกเรื่อง แม้บางครั้งสุพจน์ 

จะมีไปเล่นกับกลุ่มเพื่อนที่เป็นผู้ชายบ้าง แต่ก็ไม่เคยที่จะลืมเราสองคนเลย 

จนปีสุดท้ายของการเรียนชั้นประถมศึกษา หรือจบ ป.6 เราก็จำเป็นต้องย้ายไปอยู่กับ

พ่อ และแม่ที่กรุงเทพฯ จะทำให้พวกเราสามคนต้องห่างกันไป  หญิง กับสุพจน์ ก็ไปเรียนต่อที่ในตัวอำเภอ  

ตอนนั้นการสื่อสารไม่ได้สะดวกสบายแบบสมัยนี้ เราใช้การเขียนจดหมายหากัน บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ 

ผ่านตัวอักษรบนกระดาษจดหมายกลิ่นหอมๆ ซึ่งสมัยนั้นฮิตมาก
 
หรือบางครั้งเราก็จะอัดเพลงเพราะๆ ใส่เทปจากรายการวิทยุส่งไปให้เพื่อนของเราเสมอ 

แรกๆ เราก็จะได้กลับไปเที่ยวบ้านปู่บ้างเวลาปิดเทอม ซึ่งเราจะไปเที่ยวเล่นกับหญิง และสุพจเสียมากกว่า
 
เพราะสุพจมีรถมอเตอร์ไซค์ เราก็ขี่อัดสามกันไปเล่นที่เขื่อนบ้าง  หรือแวะซื้อของกิน ตามประสาเด็กเพิ่งเริ่มโต 

แต่ช่วงหลังๆ เราไม่ค่อยได้ไปบ้านปู่ เพราะแม่เราดันไปทะเลาะกับย่า ตามฉบับแม่ผัวลูกสะใภ้ 

เรื่องค่อนข้างใหญ่จนทำให้ต้องเลิกลากันกับพ่อ พ่อกับพี่สาวเราก็กลับไปอยู่บ้านย่า

 ส่วนเรากับแม่ก็อยู่ที่กรุงเทพฯ และแม่ก็สั่งห้ามเด็ดขาดด้วยความโกรธ ไม่ให้เรายุ่งเกี่ยวกับคนที่นั่นอีก 

ช่วงนั้นเราเองก็มีเพื่อนใหม่ด้วย จึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับหญิง  และสุพจน์ จนพวกเราสามคน

ก็ได้ห่างหายกันไปที่ละนิดตามวิถีชีวิตของแต่ละคน จนไม่ได้ติดต่อหรือส่งข่าวคราวกันอีกเลย

พอเราเรียนจบอยู่ในช่วงกำลังรองานอยู่เพราะไปสัมภาษณ์ไว้หลายที่ ตอนนั้นเราเริ่มมีโทรศัพท์บ้านแล้ว

เราแอบติดต่อกับพ่อ  และพี่สาวเราแบบไม่ให้แม่รู้ หรือแกอาจจะรู้แต่ทำเป็นไม่สนใจก็ได้ 

พี่สาวเราโทรมาหาแล้วบอกว่ากำลังจะแต่งงาน  อยากให้เรากับแม่มาร่วมงานด้วย เรายินดีกับพี่สาว

และตื่นเต้นกับการจะมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาของพี่สาวเรา จนลืมถามถึงว่าที่เจ้าบ่าวไปเลย

ว่าเป็นใคร ที่ไหน 

พี่สาวเราตอนนี้ได้บรรจุเป็นครูอยู่ในตัวอำเภอแล้ว แต่ก็ยังขับรถไปกลับที่บ้านย่าอยู่
 
เพราะตอนนี้ปู่เสียไปแล้วเหลือแต่ย่าที่เจ็บออดๆแอดๆ กับพ่อเราที่ดูแลร้านต่อ 

เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าคนที่พี่สาวเราจะแต่งงานด้วยไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่คือ สุพจน์!!! เพื่อนวัยเด็ก

ของเรานั่นเอง เราค่อนข้างปะหลาดใจอยู่พอสมควร  เพราะพี่สาวเรา กับสุพจน์ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก

แถมสุพจน์ก็อ่อนกว่าพี่สาวเราตั้ง 4 ปี แถมไม่เคยมีทีท่าหรือเคยได้ยินเลยว่าทั้งสองคนคบหาดูใจกัน

เรามั่ยใจว่า สุพจน์ กับ หญิง มีใจให้กันมาตลอด จากที่เคยเขียนจดหมายคุยกันกับหญิง 

เมื่อครั้งที่ยังติดต่อกันอยู่

                สุพจน์เองก็เป็นครูทำงานยู่ทื่เดียวกันกับพี่สาวเรา อาจจะเริ่มคบหาดูใจกันเพราะความใกล้ชิดก็เป็นได้

หลังจากที่ได้ วัน เวลา ที่จะจัดงานแต่งแล้ว เราก็บอกแม่ และชวนแม่ไปงานด้วย แต่แม่เราปฎิเสธ

ที่จะไป  และฝากสร้อยทองไปให้พี่สาวเราเพื่อเป็นของขวัญในวันแต่งงาน และฝากบอกให้พี่สาวเรา

พาสุพจน์มาไหว้หลังจาก จัดงานแต่งเรียบร้อยแล้ว เรารู้ว่าแม่เราเสียใจมาก ที่ตัดสินใจไม่ไปเรางานแต่ง

เพราะแกยืนยันหนักแน่น  ว่าจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก เราก็ได้แต่เคารพการตัดสินใจ

                เราเดินทางมาถึงบ้านย่าก่อนจะถึงวันงานประมาณหนึ่งอาทิตย์ เพราะยังรองานที่ไปสมัครไว้

ติดต่อกลับมากช่วงนี้เลยว่าง  เราขับรถกลับมาเองคนเดียวสมัยก่อนยังไม่มี GPS อาศัยดูป้ายบอกทางเอา

กว่าจะถึงก็เกือบค่ำ เรามาถึงตอนที่บ้านกำลังเตรียมข้าวเย็นพอดี ก็เจอแต่พ่อ กับย่า ส่วนพี่สาวเรายังไม่กลับ

ภาพแรกที่เราเห็นย่าหลังจากไม่เจอกันหลายปี คือย่าดูดีมาก ดูไม่แกเลยทั้งๆ ที่อายุปาเข้าไปจะเจ็ดสิบแล้ว

ย่าเห็นเราก็โผเข้ามากอดยกใหญ่ ทั้งหอมทั้งกอด แกบอกว่าดีใจมากที่เรากลับมาเยี่ยม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่