ลุงข้างทางตอน9 (พยายามให้จบในกระทู้)

คุณพิมขอตัวมาอาบน้ำชำระล้างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า และนั่งสวดมนต์อันเป็นกิจวัตรประจำของเธอ เนื่องด้วยวันนี้เธอรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย เพราะมีงานจิปาถะต้องทำมากกว่าปกติ เมื่อสวดจบบทก้มกราบพระพุทธรูปแล้ว ก็เอนตัวลงนอนบนเตียง

ขณะกำลังเคลิ้มๆจะหลับ ลมที่ไหนก็หอบพัดซู่ซ่ามาแต่ไกล ทำเอากิ่งไม้เอนไหวเสียดสีกันดังเกรียวกราว ฟังเสียงลมวิ้วหวีดฟังดูแล้วมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น จนคุณพิมนอนหลับไม่ลงลุกขึ้นนั่ง เกิดสงสัยว่าวงที่กำลังตั้งสังสรรค์กันอยู่ตรงนอกชานเรือนจะเป็นอย่างไร ป่านนี้มิพากันยกโขยงเข้ามาหลบในห้องโถงกันแล้วหรือ

ขณะที่เธอกำลังจะเดินไปดู เกิดมีเสียงกระทบหลังคาฟากห้องเธอดังปัง ทำให้คุณพิมชะงัก เลิกล้มความคิดที่จะออกจากห้องไปชั่วขณะ หันไปทางหน้าต่างทำท่าจะเปิดดูสภาพภายนอก

“อย่าค่ะแม่ อย่าเปิดหน้าต่างนะ”

มีเสียงใสแจ๋วของเด็กร้องทักเตือนมาจากข้างหลัง ทั้งๆที่บ้านไม่มีเด็กสักคน และตอนนี้ในห้องของเธอไม่มีใครอื่นอยู่เลย

คุณพิมได้ยินแล้วใจหายวาบ หันกลับมามองทางต้นเสียงทันที แล้วเธอก็เห็น____

ฝั่งภายนอกชานเรือน

กลุ่มที่นั่งสนทนากันอยู่ดีๆ  ทั้งเจ้าจ๋านและเจ้าหยกเริ่มจะเปิดใจคุยกับหญิงสาวมาลัยแล้ว เพราะเห็นเธอก็เป็นคนปกติธรรมดา ไม่มีอะไรน่ากลัวแม้แต่น้อย มาลัยเองก็ผูกมิตรกลับด้วยดีอย่างเป็นกันเอง ฉับพลันสถานการณ์ที่กำลังดีขึ้นเรื่อยๆก็ถูกขัดด้วยกระแสลมแรงที่หอบใบไม้และกิ่งก้านปลิวขึ้นมา โดยไม่มีการตั้งเค้าล่วงหน้ามาก่อน ขนาดต้นไม้ใหญ่ยังเอนลู่ตามแรงลม ส่วนกระถางไม้มงคลพรรณต่างๆที่เจ้าจ๋านกับภรรยาช่วยกันปลูกต่างล้มระเนระนาดไปเรียบร้อยในเวลาไม่นาน

เจ้าจ๋านโดนเศษอะไรสักอย่างพัดปลิวตามลมมาปะทะหน้าเข้าอย่างจัง เลยเผลอสบถออกมาด้วยความฉุนเฉียว

“ลมบ้าอะไรว่ะ พัดมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย”

มาลัยรีบเอานิ้วชี้ทาบที่ปากเป็นสัญญาณ ไม่ให้เจ้าจ๋านพูดอะไรต่อ เจ้าจ๋านที่เริ่มคุ้นเคยกับเธอมากขึ้น เชื่ออย่างสนิทใจว่าหญิงสาวไม่ได้ห้ามอย่างไร้สาเหตุแน่  มันรีบสงบปากรอดูท่าทีต่อไปของเธอ

มาลัยลุกขึ้นมองฝ่าอากาศไปข้างหน้า ซึ่งตอนนั้นน่าจะแปรปรวนเป็นพายุขนาดหย่อมๆไปแล้ว แต่สีหน้าและแววตาของเธอบ่งบอกว่าไม่สะท้านหรือหวั่นไหวอะไรทั้งสิ้น แม้เรือนผมดกดำยาวจะถูกพัดปลิวจนชูไสว

“ฝ่ายโน้นเปิดศึกเล่นงานเราแล้วค่ะ นรา คุณจ๋าน คุณหยก น้องนาถยารีบเข้าไปหลบในบ้านก่อน”

คุณพิมเอามือทาบอก ดวงตาเบิ่งค้างไปยังวัตถุบนโต๊ะเครื่องแป้งของเธอ มันคือทองคำสลักเป็นรูปหงส์และมีเพชรฝังอยู่ ซึ่งเป็นตาของแมวตัวที่เธอเคยเลี้ยงไว้ บัดนี้มันได้ทอแสงอร่ามตา เปล่งสีสันออกมา

คุณพิมเชื่อมั่นว่าเธอไม่ได้หูฝาดไปแน่ เสียงได้ถูกถ่ายทอดออกมาจากทองชิ้นนี้จริงๆ ทันใดแสงสีพร่างพรายนั้น ก็ได้ก่อตัวเป็นร่างของแมวลายวัว ป้อมๆกลมๆตัวหนึ่ง

 เมื่อมองเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน น้ำตาคุณพิมไหลก็พรากออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ผิดแล้ว เป็นแมวตัวเดียวกับที่เธอเคยเลี้ยง โปรดปรานและรักใคร่เป็นหนักหนา

“เพ็ญ” คุณพิมอุทานชื่อมันออกมา ปราดเข้ามาหาอย่างปราศจากความยับยั้งชั่งใจใดๆทั้งสิ้น ราวกับเมื่อตอนมันมีชีวิตอยู่ที่เธอมักจะอุ้มกกกอดเป็นประจำ

แต่ทว่าตอนนี้มันไม่มีร่างกายแล้ว แถมดวงตาที่ใสแป๋วเคยน่ารักน่าเอ็นดู ตอนนี้ก็ปิดสนิทไปข้างหนึ่ง ราวกับมีเบ้ากลวงเปล่าๆแต่ไร้ลูกตา

ในขณะที่ข้างนอกกำลังพยุงตัวต่อต้านแรงลมกันอยู่ น้องนาถยาซึ่งตัวเล็กบางกว่าใครๆเพื่อนเกือบจะเซถลาไปปะทะกับฝาบ้าน ถ้าเจ้าหยกไม่คว้าร่างน้อยๆนั้นไว้ทันเสียก่อน

จานชามบนโต๊ะกระเด็นกระดอน กับข้าวกับปลากระจัดกระจายไปทั่ว แม้แต่ข้าวของที่มีน้ำหนักก็เริ่มปลิวว่อน เจ้าหยกเห็นท่าว่าไม่ปลอดภัยแน่ ก็ตะโกนแข่งกับเสียงอุดอู้ของลมบอกทุกคน

“ผมว่าไม่ไหวแล้ว นี่มันพายุชัดๆ เข้าไปหลบในบ้านดีกว่า ข้าวปลาอาหารช่างมันก่อนครับ ค่อยมาเก็บกวาดกันที่หลัง”

ทุกคนจะพากันเข้าห้องโถงอยู่แล้ว แต่ก็ยังลังเลอยู่เพราะเห็นมาลัยยืนต้านลมอยู่คนเดียว อย่างไม่สะทกสะท้านหรือร่างกายขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย นรารีบเดินมาจับไหล่หญิงคนรัก พูดที่ข้างหูเธอ

“เข้าบ้านก่อนเถอะ วิมาลา ลมมันแรงผิดธรรมชาติมาก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น”

แต่หญิงสาวยังแข็งขืนยืนหยัดอยู่กับที่อย่างดื้อดึง หน้าตาเธอเคร่งครึมขึ้น

“เป็นอำนาจของยักษาชั้นกเฬวรากตนหนึ่ง นราเธอพาเพื่อนและน้องนาถยาเข้าไปหลบในบ้าน ไม่ต้องกังวล ฉันจะต่อกรงัดข้อกับมันสักตั้ง ให้มันรู้ดีรู้ชั่วกันไป เพราะต้นเหตุมันมาจากฉันทั้งนั้น”

มีเสียงหัวร่อราวกับฟ้าคำรามกึกก้องมาแต่ไกล ราวกับแสดงพลังอำนาจและข่มขู่ให้เสียขวัญ  ฉับพลันร่างอันใหญ่โตมโหฬารเท่าภูเขาเล่ากา สีกายดำทะมึนก็ปรากฎตัวขึ้น บดบังแสงจากท้องฟ้ามิดชิด

พอได้เห็นรูปที่น่าขนพองสยองเกล้านั้นแล้ว ทุกคนยกเว้นมาลัยยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูกไปตามๆกัน ยืนนิ่งเหมือนถูกสาปเป็นหินกระดิกกระเดี้ยร่างกายไม่ได้ ต่างขวัญบินกระเจิงหายไปเสียแล้ว

ใบหน้าที่มีเขี้ยวโง้งโผล่พ้นริมฝีปากสองข้างนั้น แสยะปากกู่ร้องอย่างลำพอง สายตาเบิ่งถลนมองมาที่นราอย่างเคียดแค้น หวาดมืออันมหึมาตบฟาดมาที่เขาทันที ราวกับจะขยี้มดปลวกแมลงอันกระจ่อยร่อย

วินาทีนี้ ธาตุแท้ตัวตนจิดใจของมนุษย์เราเป็นอย่างไร ก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน 

นราผลักมาลัยจนกระเด็นออกไปให้พ้นทางโดยไม่คิดห่วงตัวเองแม้แต่น้อย ส่วนเจ้าหยกและเจ้าจ๋าน พุ่งตัวเข้ามาสุดแรงยืนค้ำเคียงบ่าเคียงไหล่กับชายหนุ่มอย่างชนิดตายเป็นตายด้วยกัน

แต่แล้วฝ่ามืออันโอฬารนั้นก็ค้างเติ่งอยู่ในอากาศ  เหนือหัวสามสหายที่ได้พิสูจน์จิตใจแล้วว่าเป็นเพื่อนตายกันจริงๆ ทั้งๆที่หลับตาปี๋ไม่ลืม

มือยักษ์ข้างนั้นสั่นระริก เหมือนได้พยายามออกแรงแล้วอย่างสุดกำลัง แต่ไม่สามารถกดลงให้ต่ำเพื่อบดขยี้สามเพื่อนรักแท้ได้แม้แต่น้อย มิหน่ำซ้ำ มือนั้นยังบิดเบื้ยวจนผิดรูป เหมือนมีคนที่กำลังข้อสูงคว้าข้อมือพลิกขึ้นไป

ร่างใหญ่โตนั้นร้องลั่นอย่างเจ็บปวดราวกับถูกหักกระดูก มีเสียงหัวเราะบังเกิดขึ้นอย่างอารมณ์ดี แล้วร่างชายชราคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคยก็ปรากฎตัวขึ้น คุณลุงยืนไพล่หลังอย่างปลอดโปร่ง มองดูสีหน้าร่างใหญ่เทียบเท่าตึกที่กำลังทุรนทุรายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ออกแรงอีกสิ กำลังวังชาเยอะนักใช่ไหม ไอ้ยิ้มรุนชาติ อยู่ในภพภูมิของยิ้มดีๆไม่ชอบ แค่ข้าเผลอไปทำธุระอย่างอื่นชั่วครู่ชั่วยาม บังอาจมาแตะต้องลูกหลานข้า “

เสียงร้องโหยหวนอย่างทรมานดังกัมปนาทไปทั่วปริมณฑล แล้วร่างยักษ์ที่ทนความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหว ก็ร้องขอความปราณีขึ้น

“ โอ้ย ทะ ท่านอสุนี จงเมตตาด้วยเถิด ข้าไม่ทราบมาก่อนเลยว่าท่านเป็นเทพปกปักอยู่ ณ แดนแห่งนี้ ด้วยความสัตย์จริง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่