2564 แชร์ประสบการณ์ "ขริบ" หนังหุ้มปลายและตัดเส้นสองสลึง

สวัสดีครับ ตามชื่อกระทู้เลยนะครับ ผมจะมาเล่าประสบการณ์การ “ขริบ” อย่างละเอียดให้เพื่อนๆ คนที่กำลังลังเล หรือตัดสินใจจะไปขริบฟังกันนะครับ เริ่มเลย..

ผมเป็นใคร?
เป็นนักศึกษาคนนึง อายุ 20 ปี ครับ

ขริบทำไม?
เรื่องมันเกิดจากความว่าง เรียนออนไลน์ อยากหาเรื่องโดนมีดหมอ 555 ล้อเล่นนะครับ ผมมีปัญหาเรื่องของเส้นสองสลึงตึงเกินไปครับ เวลาที่เรารูดหนังลงเพื่อทำความสะอาดหรือทำอะไรก็แล้วแต่ มันจะตึง ดึงรั้ง มากๆ เลยครับโดยเฉพาะตอนที่เจ้านั่นของเรามันแข็ง ผมตั้งใจแค่อยากจะเอาเส้นสองสลึงนั่นออกไป ไม่ได้ตั้งใจที่จะขริบตั้งแต่แรกนะครับเพราะผมสามารถรูดหนังหุ้มลงได้ แต่ก็แอบรัดๆ เหมือกันนตอนที่แข็ง 

หาข้อมูล+ตัดสินใจ
ผมเริ่มจากการหาข้อมูลในเน็ต เลื่อนไปเห็นบล็อกของแพทย์คนนึงที่ใช้ชื่อแฝงว่า สาลิกาโบยบิน หลายคนที่หาข้อมูลเกี่ยวกับการขริบก็อาจจะเห็นบล็อกหรือบทความของคุณหมอกันมาบ้างแล้ว ผมก็เลย Inbox ทักเข้าไปสอบถามใน Facebook Fanpage ของคุณหมอครับ หมอก็เลยแนะนำให้ขริบไปด้วยเลย ได้ประโยชน์เรื่องความสะอาด ลดความเสี่ยงมะเร็งด้วย ผมก็เลยตัดสินใจเลยครับ ขริบก็ได้วะ!

ไปหาหมอ
ผมไปหาหมอที่รพ.รัฐแห่งหนึ่ง อะ บอกก็ได้ ที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกครับ เข้าไปหาข้อมูลก่อนว่าแผนกศัลย์ทางเดินปัสสาวะของรพ.มีแพทย์ออกตรวจวันไหนบ้างจะได้ไม่ต้องไปเสียเที่ยวครับ ก็ทำเหมือนกับไปหาหมอปกติทั่วไปเลย บอกพยาบาลว่ามาคุยกับคุณหมอเรื่องการขริบและตัดเส้นสองสลึง พยาบาลก็จะจัดให้เราไปรอคิวที่คลินิกศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะครับ 
ถึงคิวก็เข้าไปพบหมอเลยครับ ก็บอกหมอไปว่าเส้นสองสลึงมันตึงครับ เจ็บๆ เวลาที่รูดลงหรือตอนที่มีกิจกรรม ทำให้เซ็ง เสียอารมณ์ก็ว่าไปตามปัญญาเลยครับ และบอกหมอไปว่าอยากขริบไปด้วยเลย หมอก็ให้ขึ้นเตียงแล้วก็ถอดกางเกง แล้วก็ตรวจน้องจูจูของเราครับ คลำๆ หมอรูดหนังหุ้มลง พลิกดูซ้าย ขวา บน ล่าง ซักพัก จากนั้นก็ตรวจเสร็จ แล้วก็ไปนั่งคุยกับหมอต่อ หมอบอกว่าตรงเส้นสองสลึงก็ตึงอยู่นะ แต่ถามว่าจำเป็นต้องขริบไหม หมอบบอกว่าไม่จำเป็น แต่ถ้าอยากขริบด้วยเลยก็ได้ ก็จะทำให้ ผมก็เลยบอกว่าขริบด้วยเลยครับ หมอก็ถามว่าคิดดีแล้วนะ ถามย้ำไปย้ำมา ผมก็บอกคิดดีแล้ว จากนั้นพอถึงขั้นตอนที่จะทำการนัดมาขริบ พยาบาลก็บอกว่าถ้าทำที่นี่จะต้องจ่ายค่ารักษาเองทั้งหมด ใช้สิทธิบัตรทองไม่ได้ เพราะสิทธิบัตรทองอยู่อีกรพ. ถ้าทำโดยไม่ใช้สิทธิบัตรทอง พยาบาลบอกว่า ประมาณ 6000 บาท อันนี้คือในเวลานะครับ รอคิวเกือบสองเดือน ถ้านอกเวลา รอคิวไม่นาน ค่าใช้จ่าย 8000 กว่าบาท ผมก็เลยเลือกที่จะไปหาหมอที่รพ.ที่ตัวเองมีสิทธิบัตรทองครับ วันถัดมาพอไปรพ.ที่ตัวเองมีสิทธิบัตรทอง พยาบาลบอกว่าแผนกผ่าตัดสำหรับเคสที่ไม่ฉุกเฉิน ไม่เปิดให้บริการในตอนนี้เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 .........เอิ่มมม อีกแล้วนะ โควิด เห้ออ เซ็งว่ะ!

ไปมาสองที่แล้วก็ยังไม่ได้ขริบ...... เอาวะ!! สู้!!

ผมก็เลยกลับไปถามคุณศัลยแพทย์ที่ทำบล็อกให้ความรู้เรื่องการขริบมานานกว่า 10 ปี คุณ สาลิกาโบยบิน อีกครั้ง ว่ามีคลินิกเอกชนในกทม.แนะนำหรือเปล่า คุณหมอเขาก็เลยแนะนำ >> โรงพยาบาลรัชดา-ท่าพระมาครับ ผมก็เลยหาเบอร์โทรในเน็ต แล้วก็โทรไป เขาแจ้งว่าถ้าตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำก็สามารถนัดได้เลยผ่านทางโทรศัพท์ ผมก็นัดในตอนนั้นเลย วันที่โทรไปคือ 14/01/64 ได้คิวทำวันที่ 20/01/64 เวลาบ่ายโมง อ้อ ที่นี่ขริบวันละ 2 เคสเท่านั้นนะ เขาก็บอกว่า ถึงวันนัดก็มาก่อนเวลาซักครึ่งชม. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ บลาๆ สวมกางเกงหลวมๆ โกนขนมาด้วย แต่ผมไม่ได้โกนไป เพราะมันไม่ยาวมาก
        
20/01/2564

  ในที่สุด ถึงวันขริบซักที...

ผมนั่ง BTS ลงสถานี ตลาดพลู เดิน 2-3 นาทีก็ถึงรพ.แล้วครับ เป็นรพ.ขนาดเล็ก ก็ทำประวัติอะไรเสร็จสับ จากนั้นก็พบหมอ ก็คุยกันไปตามอาการ เรื่องการดูแลแผลต่างๆ แล้วก็ออกมารอสักพัก จากนั้นมีพยาบาลเรียกเข้าไปในห้องทำหัตถการ นอนรอแป๊บนึง หมอก็เริ่มลงมือ...
       
   ฉีดยาชา ก่อนเริ่มพยาบาลจะเอาผ้าปิดตาไว้ครับ แต่ผมดันมือบอนแอบเปิดผ้าออก อยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงบ้าง หมอเริ่มฉีดยาชา จิ้มใส่ตรงโคนบ้าง ตรงกลางลำบ้าง 4-5 ครั้ง “เจ็บนิดนึงนะครับ” อืมครับ นิดนึงที่แปลว่า มากอยู่ 555 รอประมาณ 10 กว่านาทีได้ครับ พยาบาลเอาปากคีบมาหยิกๆ ตรงหนังหุ้มดู มันยังมีความรู้สึกอยู่เลยบอกเขาไปว่ายังเจ็บนิดนึง ในใจแอบคิดว่า เชี่ยยย ตอนทำมันจะชาให้หรือเปล่าวะ สักพักก็มาหยิกๆ อีก คราวนี้เหมือนจะไม่รู้สึกอะไรละ ก็เลยบอกเขาเริ่มเลย
     
     เริ่มการขริบเลย.. ก่อนหน้านั้นพยาบาลเอารูวัดขนาดมาวัดเส้นผ่าศูนย์กลางเจ้านั่นของเรา จะได้เลือกขนาดเครื่องมือของเขาถูกมั๊งครับ จากนั้นคุณหมอก็เอาเครื่องตัดอัตโนมัติมาติดตั้งที่ปลายเจ้านั่นของเรา แล้วก็ทำการบีบให้เครื่องมันตัดหนังออกไป หน้าตาของเครื่องจะประมาณนี้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนนี้หนังมันขาดออกไปแล้วน่าจะเป็นตอนที่ผมรู้สึกแสบจี๊ดขึ้นมาครับ เสี้ยววินาทีได้ แล้วหมอก็แช่คาไว้ประมาณ 30 วิ เพื่อให้มั่นใจว่าหนังมันขาดออกไปทั้งหมด ช๊อทนี้ให้คะแนนความเจ็บที่ 6/10 ละกัน ผมถามหมอว่า มันออกไปหรือยังครับ หมอบอก นิดนึงๆ นึกว่าขั้นนี้น่าจะเจ็บสุดแล้ว ไม่ครับ มีต่อ จากนั้นหมอน่าจะตัดเส้นสองสลึง ซึ่งถ้าใครไม่ได้มีปัญหาเส้นสองสลึงตึงก็ผ่านขั้นนี้ไปครับ บอกเลยว่าอันนี้ค่ตเจ็บ น่าจะเป็นตอนที่หมอตัด ผมนี้ร้องอ้ากกกเลย โอ้ย เจ็บๆ เจ็บจัง ถึงกับท่องสูตรคูณอ่ะ มันประมาณ 2-3 วิ อันนี้ให้คะแนนความเจ็บ 8/10 ไปเลย เจ็บจริง แต่แป๊บเดียว อ้อ มันมีตอนเย็บด้วยตอนเย็บไม่เจ็บเลย ได้ยินแต่เลี่ยงตัดไหม ฉับๆๆ น่าจะเย็บตรงที่ตัดเส้นสองสลึง เพราะตรงรอยแผลของหนังหุ้มปลายมันจะเย็บอัตโนมัติจากเจ้าเครื่องที่ผมได้พูดไปตอนแรกแล้ว จากนั้นก็พันแผล “เสร็จแล้วครับ” เย่ ในที่สุด ผมแทบอยากจะร้องเพลงเฉลิมฉลองในตอนนั้น หนังเจ้าปัญหานั้นออกไปซักที

        จากนั้นก็ค่อยๆ เดินออกเรียกรับยา จ่ายตัง มารอที่หน้าเคาเตอร์ ตอนนั้นไม่รู้สึกถึงความเจ็บใดๆ เลย แค่มีหน่วงๆ บ้าง จากนั้นก็รับยาพารา+ผ้าพันแผล จ่ายตัง อ้อครับ ถ้าใครต้องการใบรับรองแพทย์เพื่อจะลาเรียน ลางาน สามารถขอเขาได้นะครับ เสร็จแล้วก็เดินออกมาผมนั่ง BTS กลับ ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที เชรดด เริ่มปวด ปวดแบบทนได้ สักพัก ประมาณ 20 นาที ปวดมากๆ ปวดแบบ ไม่มีแรงจะยืนน่ะ ก็เลยกินพารา 500 mg ไป 2 เม็ด ซักพักก็เริ่มหายปวดลงเรื่อยๆ กลับถึงที่พัก จนตอนนี้เที่ยงคืนแล้วยังไม่ได้กินพาราอีกเลย ยังไม่ปวดเลยครับ เดี๋ยวผมจะมาอัพเดทแผลนะครับ ขอนอนก่อน

ค่าเสียหายทั้งหมด 6420 บาทครับ
 

21/01/2564

ผ่านพ้นคืนแรกที่นอนกับเจ้านั่นที่ไม่มีหนัง แต่มีแผล 55 เข้าใจคนที่เคยมารีวิวแล้ว ว่าเจ็บที่สุดคือตอนที่มันแอบแข็งตอนที่เราหลับ มันจี๊ดจนสะดุ้งตื่น ผมทั้งหยิกแขน หยิกขาตัวเอง เพื่อให้มันยอมสงบลง มันแข็งขึ้นมาแบบนี้ประมาณ 3-4 รอบได้ เอาเป็นว่าได้นอนไม่กี่ชั่วโมง 555 พอตื่นเช้ามาก็รีบมาเปิดดูแผลเลย พร้อมกับล้างแผล ผ้าพันแผลมันจะแห้งติดกลับแผลครับ ผมก็เอาน้ำเกลือราดผ้ากอชเลยครับพอหมาดๆ มันจะไม่ติดกับแผลครับ เห็นแผลครั้งแรกก็เฉยๆ ครับ สภาพดีกว่าที่คิด 555 จากนั้นก็ใช้นำเกลือเช็ดพวกคราบเลือดคราบเซรุ่มออกไปครับ จากนั้นใช้เบตาดีนทาตรงแผลครับเพื่อฆ่าเชื้อ อันนี้แสบนิดนึงครับ อ้อ ตอนทำแผลต้องล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่นะครับ อย่าหยิบจับอะไรก่อนที่จะมาจับพวกอุปกรณ์ล้างแผล พอเสร็จแต่ละขั้นตอนก็ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ไปด้วยก็ได้ครับ จากนั้นก็พันแผลด้วยผ้ากอชใช้ตาข่ายกันแผลติดกับผ้ากอชวางลงโดยตรงที่แผลก่อนก็ได้ครับ จากนั้นพันทับผ้ากอชด้วยโคแบนครับ พันแน่นนิดนึงจะได้ไม่บวม เป็นอันเสร็จ หมอไม่ให้แผลโดนน้ำสองอาทิตย์ อันนี้แล้วแต่เพื่อนๆ เลยว่าจะหาวิธีทำความสะอาดร่างกายกันยังไง 555 ผมทุลักทุเลสุดๆ เลย จะสระผมก็เปียกไปหมด เดี๋ยวผมอัพเดทภาพแผลขริบ ทุกๆ วันเลยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่