สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------
อเมริกา ผู้มีรายได้ทุกคนเสียภาษีหมด คนอเมริกา300กว่าล้าน เสียภาษีมากกว่า180ล้านคนหรือเกิน50เปอเซน
เมืองไทย มี70ล้าน ยื่นภาษี 10ล้าน เสียจริง 6ล้านเพราะได้รับการยกเว้น ไม่ถึง1ใน10
อยากได้สวัสดิการดีๆ แต่ภาษีไม่ค่อยจะเสียกัน
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
รัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------
อเมริกา ผู้มีรายได้ทุกคนเสียภาษีหมด คนอเมริกา300กว่าล้าน เสียภาษีมากกว่า180ล้านคนหรือเกิน50เปอเซน
เมืองไทย มี70ล้าน ยื่นภาษี 10ล้าน เสียจริง 6ล้านเพราะได้รับการยกเว้น ไม่ถึง1ใน10
อยากได้สวัสดิการดีๆ แต่ภาษีไม่ค่อยจะเสียกัน
แสดงความคิดเห็น
โครงการ เราชนะ ออกมาตรการได้พลาดมากครับ จุดประสงค์หลักคือเยียวยา ไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ตอนประชุม ครม. นายสุพัฒนพงษ์ รองนายกฯ แย้งขึ้นมาว่า ต้องการให้ใช้วิธีการสแกนชำระค่าสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ซึ่งต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่ร่วมโครงการ เหมือนกับโครงการ “คนละครึ่ง” ที่เป็นโครงการที่ได้รับเสียงตอบรับดี เป็นหน้าเป็นตาของรัฐบาลนั่นเอง(ที่มา https://www.prachachat.net/politics/news-598379)
ซึ่งการทำแบบนี้ เท่ากับทำให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการคนละครึ่งที่มีอยู่ ซึ่งจุดประสงค์หลักของโครงการทั้งสองมันต่างกัน คนละครึ่งคือ กระตุ้นเศรษฐกิจ ให้คนมีกำลังซื้อมากขึ้นเพราะรัฐช่วยออกกึ่งนึง และเพื่อให้ร้านค้าสามารถยังขายของได้ แต่โครงการเราชนะกับเราไม่ทิ้งกัน จุดประสงค์หลักคือเยียวยา ให้ประชาชนมีรายได้ชดเชย จากการที่ะต้องปิดร้าน ปิดกิจการ หรือกิจกรรมต่างๆที่ทำให้เกิดรายได้ต้องหยุดลงเนื่องจากคำสั่งของรัฐบาล เช่น งานคลองถม ตลาดนัดต่างๆต้องหยุดจัด งานฤดูหนาวประจำปี ฟิตเนส สปาร์ รถรับจ้าง หรือการห้ามเดินทางข้ามจังหวัดหรือกักตัว เป็นต้น ทำให้คนไม่มีรายได้หรือขาดรายได้ไป ทำให้ไม่มีเงิน ดังนั้น จึงต้องจ่ายเงินส่วนนี้เข้าไปชดเชยรายได้ เพื่อจะทำให้คนมีรายได้และนำไปจับจ่ายบริโภคหรืออุปโภคต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสินเชื่อรถ บ้าน ค่าเล่าเรียนลูก เป็นต้น
ส่วน โครงการคนละครึ่ง นั้น จุดประสงค์หลักคือ ต้องการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้คน หมายความว่า ในเมื่อคนมีรายได้น้อยลง คนก็จะจับจ่ายน้อยลงหรือซื้อของเฉพาะเท่าที่จำเป็น แต่เมื่อรัฐช่วยออกครึ่งนึง ผู้คนเหล่านี้ก็จะสามารถกลับมาจับจ่ายในสินค้าที่ตนเองยังจับจ่ายในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤตได้อยู่ต่อไป เช่น ก่อนเกิดวิกฤตผู้คนใช้จ่ายวันละ 300 แต่พอเกิดวิกฤตใช้จ่ายเหลือวันละ 200 เป็นต้น
ดังนั้น พวกร้านอาหารที่เป็นเมนูแพงๆ เช่น จานละ 50-60 บาท ก็จะขายได้น้อยลง ร้านที่ขายจานละ 35-40 ก็จะขายดีขึ้น ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือให้เกิดกำลังซื้อของผู้คนให้กลับมามีเท่าเดิม รัฐจึงช่วยออกให้ 50% เพื่อให้ผู้คนสามารถมีกำลังซื้อสินค้าในราคาเดิมที่เคยซื้ออยู่ประจำ เป็นต้น ดังนั้น ทำให้คนซื้อก็อยู่ได้ คนขายก็ยังได้ขายต่อไป เป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นว่า จุดประสงค์ของเม็ดเงินมันเป็นคนละอย่าง
ซึ่งการที่รัฐบาลออกมาตรการ โครงการเราชนะ ให้ออกมาเหมือนกับ คนละครึ่ง แบบนี้ เท่ากับไม่ได้ช่วยเหลืออะไรในเรื่องชดเชยรายได้หรือเยียวยาเลย คือไม่ได้ช่วยกลุ่มคนที่ขาดรายได้ ไม่มีกำลังซื้อ แต่กลับไปกระตุ้นกำลังซื้อ ซึ่งย้อนแย้งในการช่วยเหลือ (ในเมื่อคนไม่มีรายได้จะไปกระตุ้นให้ซื้อได้ยังไง) ซึ่งภาพรวมคือซ้ำซ้อนกับโครงการ คนละครึ่ง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือกลุ่มที่มีกำลังซ์้ออยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ช่วยเหลือคนที่ไม่มีกำลังซ์้อหรือขาดรายได้
ดังนั้น ผมมองว่า รัฐบาลออกโครงการมาผิดสูตร และเม็ดเงินที่นำมาใช้นั้นแก้ปัญหาไม่ได้ตรงจุด ซึ่งเม็ดเงินกว่า 2 แสนล้านบาทนั้น จะต้องศูนย์เปล่า แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้แน่ครับ