ในยุคที่การหางานมีการแข่งขันสูง กว่าจะถูกเรียกไปสัมภาษณ์งานได้ต้องสู้กับเรซูเม่นับสิบนับร้อยใบที่ HR ได้รับในแต่ละวัน รวมถึงพอได้มาสัมภาษณ์แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเข้าตาได้ทำงานหรือเปล่า
กระทู้นี้ JobThai Tips เลยขอหยิบยกเนื้อหาจาก Oh My Job! Podcast ที่ทางเราได้พูดคุยพี่กุล หรือ คุณกุลจรรยา คฤหเดช Chief People Officer (CPO) จาก RS GROUP ซึ่งมีคำแนะนำให้กับเพื่อน ๆ ที่อยากเป็นผู้สมัครงานที่โดดเด่นมากมาย (ใครอยากรับฟังเนื้อหาการพูดคุยของตอนนี้แบบเต็ม ๆ สามารถฟังได้
ที่นี่)
ทำ Resume ให้เหมาะกับตำแหน่ง และควรทำเรซูเม่ภาษาอังกฤษเพื่อโชว์ทักษะไปในตัว
ในแต่ละวัน HR จะได้รับเรซูเม่จำนวนมาก คนหางานจึงต้องทำให้เรซูเม่ของตัวเองโดดเด่นเข้าตา HR มากที่สุด ในเรื่องของดีไซน์ควรจะต้องทำให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ต้องการสมัคร เช่น จะสมัครตำแหน่งกราฟิกก็ควรใส่ความครีเอทีฟเข้าไปในนั้น ถ้าเป็นตำเเหน่งที่ไม่ต้องโชว์ความคิดสร้างสรรค์ก็อาจจะเรียบร้อยหน่อย ไม่ต้องดีไซน์หวือหวามาก แต่ที่สำคัญคือต้องดูไม่เยอะ สั้น ๆ ได้ใจความ
พี่กุลแนะนำว่าควรทำเรซูเม่เป็นภาษาอังกฤษด้วย เพราะสามารถโชว์ให้ HR เห็นว่าคุณมีทักษะด้านภาษาไปได้ในตัว ถ้าเป็นไปได้ควรทำไว้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษก็จะดี อย่างไรก็ตามถึงคุณจะทำเรซูเม่ออกมาดีเลิศแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้งานเสมอไป เพราะบางคนโปรไฟล์ดีมากแต่มาสัมภาษณ์แล้ว HR ไม่ถูกใจก็มี หรือบางคนโปรไฟล์สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่คุยแล้วได้งานก็มีเหมือนกัน
นอกจากคุณสมบัติการทำงานแล้ว การมี Mindset ที่ดี และเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรได้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ
แน่นอนว่าการจะรับใครสักคนเข้าทำงาน อย่างแรกที่ดูคือคุณสมบัติ ว่าคุณมีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งที่พวกเขาต้องการไหม และเมื่อคุณผ่านด่านแรกจนได้มาสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์อาจจะอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทคร่าว ๆ ให้ฟัง รวมถึง Core Values ของบริษัท ซึ่งจุดนี้สำคัญมากเพราะเขาจะสังเกตว่าคุณมีปฏิกิริยาตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาเล่าไหม หรือคุณเข้าใจ Core Values ที่เขาบอกมากน้อยเพียงใด รวมถึงการกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น และกล้าที่จะถามในสิ่งที่ไม่รู้ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คุณดูโดดเด่นขึ้นมาได้เหมือนกัน ดังนั้นหากผ่านด่านเรื่องคุณสมบัติในการทำงานมาได้แล้ว อย่าลืมแสดงเรื่องของ Mindset และบุคลิกหรือทัศนคติที่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของเขาให้เขาเห็นด้วยว่าคุณมีเป้าหมายเดียวกัน
“Get right to the point.” ตอบให้ตรงคำถาม ไม่รู้คือไม่รู้ อย่าพูดอ้อมโลก
ผู้สมัครที่พลาดส่วนใหญ่จะเกิดจากการไม่เข้าใจคำถาม หรือเข้าใจแต่ไม่รู้จะตอบอะไร “Get right to the point.” หรือตอบให้ตรงคำถามจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการสัมภาษณ์งาน ไม่รู้ต้องยอมรับว่าไม่รู้ หรือถ้าฟังคำถามแล้วไม่เข้าใจก็ต้องกล้าบอกตรง ๆ ว่าไม่เข้าใจ ผู้สัมภาษณ์จะได้อธิบายอีกครั้ง เพราะบางทีเขาอาจจะถามคำถามไม่เคลียร์เองก็ได้ และในตอนสุดท้ายอย่าอายที่จะขอ Feedback หลังสัมภาษณ์ เพราะคุณสามารถขอคำแนะนำจากพวกเขาได้เพื่อที่จะเอาไปปรับปรุงพัฒนาตัวเองในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป
อย่ากลัวการสัมภาษณ์งาน เพราะมันคือการเพิ่มสกิล
ในยุคที่งานหายากแบบนี้ เด็กรุ่นใหม่หรือหลาย ๆ คนอาจกลัวการสัมภาษณ์ เพราะกลัวการถูกปฏิเสธจากบริษัท ลองเปลี่ยน Mindset จากความกลัวเหล่านั้นมาเป็นความคิดที่ว่าการสัมภาษณ์งานทุกครั้งเป็นเสมือนสนามประลองความสามารถที่มีไว้ให้คุณฝึกซ้อมไปในตัว ลองฝึกฝนตัวเองบ่อย ๆ เช่น อ่านบทความเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งาน ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์งานยาก ๆ เพราะหลายบริษัทก็จะมีการสัมภาษณ์ในรูปแบบที่คล้ายกัน พอเริ่มรู้แนวและฝึกบ่อย ๆ คุณจะจับทางได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือความมั่นใจที่ต้องพกไปตลอด
เด็กจบใหม่ก็สู้คนมีประสบการณ์ได้ ถ้ารู้จักเพิ่ม Advanced Skills
ปกติเด็กจบใหม่ก็หางานยากกว่าคนมีประสบการณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ COVID-19 ทำให้ Demand และ Supply ในตลาดแรงงานสวนทางกันมากขึ้นกว่าเดิม บริษัทมีตัวเลือกเยอะขึ้น พวกเขาจึงสนใจผู้สมัครที่มีประสบการณ์ประมาณ 1-2 ปี มากกว่าเด็กจบใหม่เพราะมีเรทเงินเดือนแตกต่างกันไม่มาก แต่สิ่งที่เด็กจบใหม่หรือคนที่กำลังจะจบทำได้ตอนนี้คือการเพิ่มทักษะที่มีอยู่ให้เก่งมากขึ้น เช่น รู้พื้นฐาน Excel แล้วก็ลองศึกษาระดับ Advance ให้รู้ลึกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสูตรคำนวณต่าง ๆ และการทำ Pivot Table หรือพัฒนาทักษะด้านภาษาด้วยการฟังข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ ที่จะช่วยฝึกทักษะด้านการฟังให้มากขึ้น เมื่อในอนาคตได้ทำงาน ค่อยมาเพิ่ม Professional Skills ในสายงานของตัวเองต่อไป
อยากโดดเด่นในสายตา HR ใช่ไหม กระทู้นี้มีคำตอบ
ทำ Resume ให้เหมาะกับตำแหน่ง และควรทำเรซูเม่ภาษาอังกฤษเพื่อโชว์ทักษะไปในตัว
ในแต่ละวัน HR จะได้รับเรซูเม่จำนวนมาก คนหางานจึงต้องทำให้เรซูเม่ของตัวเองโดดเด่นเข้าตา HR มากที่สุด ในเรื่องของดีไซน์ควรจะต้องทำให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ต้องการสมัคร เช่น จะสมัครตำแหน่งกราฟิกก็ควรใส่ความครีเอทีฟเข้าไปในนั้น ถ้าเป็นตำเเหน่งที่ไม่ต้องโชว์ความคิดสร้างสรรค์ก็อาจจะเรียบร้อยหน่อย ไม่ต้องดีไซน์หวือหวามาก แต่ที่สำคัญคือต้องดูไม่เยอะ สั้น ๆ ได้ใจความ
พี่กุลแนะนำว่าควรทำเรซูเม่เป็นภาษาอังกฤษด้วย เพราะสามารถโชว์ให้ HR เห็นว่าคุณมีทักษะด้านภาษาไปได้ในตัว ถ้าเป็นไปได้ควรทำไว้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษก็จะดี อย่างไรก็ตามถึงคุณจะทำเรซูเม่ออกมาดีเลิศแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้งานเสมอไป เพราะบางคนโปรไฟล์ดีมากแต่มาสัมภาษณ์แล้ว HR ไม่ถูกใจก็มี หรือบางคนโปรไฟล์สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่คุยแล้วได้งานก็มีเหมือนกัน
แน่นอนว่าการจะรับใครสักคนเข้าทำงาน อย่างแรกที่ดูคือคุณสมบัติ ว่าคุณมีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งที่พวกเขาต้องการไหม และเมื่อคุณผ่านด่านแรกจนได้มาสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์อาจจะอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทคร่าว ๆ ให้ฟัง รวมถึง Core Values ของบริษัท ซึ่งจุดนี้สำคัญมากเพราะเขาจะสังเกตว่าคุณมีปฏิกิริยาตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาเล่าไหม หรือคุณเข้าใจ Core Values ที่เขาบอกมากน้อยเพียงใด รวมถึงการกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น และกล้าที่จะถามในสิ่งที่ไม่รู้ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คุณดูโดดเด่นขึ้นมาได้เหมือนกัน ดังนั้นหากผ่านด่านเรื่องคุณสมบัติในการทำงานมาได้แล้ว อย่าลืมแสดงเรื่องของ Mindset และบุคลิกหรือทัศนคติที่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของเขาให้เขาเห็นด้วยว่าคุณมีเป้าหมายเดียวกัน
ผู้สมัครที่พลาดส่วนใหญ่จะเกิดจากการไม่เข้าใจคำถาม หรือเข้าใจแต่ไม่รู้จะตอบอะไร “Get right to the point.” หรือตอบให้ตรงคำถามจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการสัมภาษณ์งาน ไม่รู้ต้องยอมรับว่าไม่รู้ หรือถ้าฟังคำถามแล้วไม่เข้าใจก็ต้องกล้าบอกตรง ๆ ว่าไม่เข้าใจ ผู้สัมภาษณ์จะได้อธิบายอีกครั้ง เพราะบางทีเขาอาจจะถามคำถามไม่เคลียร์เองก็ได้ และในตอนสุดท้ายอย่าอายที่จะขอ Feedback หลังสัมภาษณ์ เพราะคุณสามารถขอคำแนะนำจากพวกเขาได้เพื่อที่จะเอาไปปรับปรุงพัฒนาตัวเองในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป
ในยุคที่งานหายากแบบนี้ เด็กรุ่นใหม่หรือหลาย ๆ คนอาจกลัวการสัมภาษณ์ เพราะกลัวการถูกปฏิเสธจากบริษัท ลองเปลี่ยน Mindset จากความกลัวเหล่านั้นมาเป็นความคิดที่ว่าการสัมภาษณ์งานทุกครั้งเป็นเสมือนสนามประลองความสามารถที่มีไว้ให้คุณฝึกซ้อมไปในตัว ลองฝึกฝนตัวเองบ่อย ๆ เช่น อ่านบทความเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งาน ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์งานยาก ๆ เพราะหลายบริษัทก็จะมีการสัมภาษณ์ในรูปแบบที่คล้ายกัน พอเริ่มรู้แนวและฝึกบ่อย ๆ คุณจะจับทางได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือความมั่นใจที่ต้องพกไปตลอด
เด็กจบใหม่ก็สู้คนมีประสบการณ์ได้ ถ้ารู้จักเพิ่ม Advanced Skills
ปกติเด็กจบใหม่ก็หางานยากกว่าคนมีประสบการณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ COVID-19 ทำให้ Demand และ Supply ในตลาดแรงงานสวนทางกันมากขึ้นกว่าเดิม บริษัทมีตัวเลือกเยอะขึ้น พวกเขาจึงสนใจผู้สมัครที่มีประสบการณ์ประมาณ 1-2 ปี มากกว่าเด็กจบใหม่เพราะมีเรทเงินเดือนแตกต่างกันไม่มาก แต่สิ่งที่เด็กจบใหม่หรือคนที่กำลังจะจบทำได้ตอนนี้คือการเพิ่มทักษะที่มีอยู่ให้เก่งมากขึ้น เช่น รู้พื้นฐาน Excel แล้วก็ลองศึกษาระดับ Advance ให้รู้ลึกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสูตรคำนวณต่าง ๆ และการทำ Pivot Table หรือพัฒนาทักษะด้านภาษาด้วยการฟังข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ ที่จะช่วยฝึกทักษะด้านการฟังให้มากขึ้น เมื่อในอนาคตได้ทำงาน ค่อยมาเพิ่ม Professional Skills ในสายงานของตัวเองต่อไป