ดราม่า ... การเมืองบราซิล กับ วัคซีน “โควิด-19” จากจีน “ซิโนแวค”

หลังจากที่เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ประเทศบราซิล หนึ่งในประเทศที่มีการสั่งจองวัคซีนเพื่อป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019   (COVID-19) จากประเทศจีน “ซิโนแวค” จาก 11 ประเทศ รวมทั้งไทยด้วยนั้น

มีผลประกาศออกมาว่า มีประสิทธิภาพเพียง 50.38% เท่านั้น

แต่เบื้องหลังที่ผลการทดสอบประสิทธิภาพลดลง อาจจะมีการเมืองระหว่างประเทศแทรกแซงด้วยหรือเปล่า ก็ไม่สามารถมีใครบอกได้

สำนักข่าว PPTVHD36 รายงานว่า

• วันที่ 23 ธันวาคม บราซิลออกมาบอกแบบกระมิดกระเมี้ยนว่า วัคซีนโคโรนาแวคมีประสิทธิภาพมากกว่า 50% อย่างแน่นอน แต่ระบุว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยผลการทดสอบเต็ม ๆ ได้ เพราะติดเงื่อนไขกับทางซิโนแวค 
• วันที่ 24 ธันวาคม ตุรกีประกาศว่า โคโรนาแวคมีประสิทธิภาพถึง 91.25% 
• วันที่ 7 มกราคม สถาบันชีวการแพทย์บูตันตัน (Instituto Butantan) ของบราซิล ประกาศว่า 
          วัคซีนโคโรนาแวคมีประสิทธิภาพได้ผล 78% ในกรณีที่ไม่รุนแรง 
          และ มีประสิทธิภาพ 100% ในการติดเชื้อรุนแรงและปานกลาง
• วันที่ 11 มกราคม อินโดนีเซียประกาศ อัตราประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 โคโรนาแวคอยู่ที่ 65.3%
• วันที่ 12 มกราคม บราซิลประกาศอีกครั้งว่า อัตราประสิทธิภาพวัคซีน “โดยรวม” ซึ่งรวมถึงเคสที่ไม่รุนแรงมากที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์อยู่ที่ 50.38% เท่านั้น

ข้อมูลประสิทธิภาพที่สวนทางหรือทับซ้อนกันไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 โดยแอสตราเซเนกา ผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 จากอังกฤษเอง ก็เคยพบอัตราประสิทธิภาพการป้องกันโควิด-19 ที่แตกต่างกัน 2 แบบ คือพบว่า ประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนเพียง 1 โดสครึ่ง สูงกว่าการฉีด 2 โดส ซึ่งเป็นเรื่องแปลก

นายฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีขวาจัดคนใหม่ของบราซิล ที่เต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจนได้รับฉายาว่า "ทรัมป์ และดูแตร์แต แห่งบราซิล"

เจ้าของวลี “โควิดก็แค่ไข้หวัด” ผู้ซึ่งปรามาส โควิด-19 มาตลอดยอมรับว่า เขาติดโควิด-19 หลังมีอาการต้องสงสัยรวมถึงมีไข้มา 2-3 วัน และเข้ารับการตรวจหาเชื้อเมื่อวันจันทร์ (6 ก.ค.) พร้อมกับนางมิเชลล์ โบลโซนารู ผู้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง

ได้เคยวิพากษ์วิจารณ์จีนอย่างต่อเนื่อง โดยระบุย้ำถึงความน่าสงสัยในวัคซีน CoronaVac ที่พัฒนาโดยบริษัท Sinovac Biotech ของจีน ซึ่งปธน.โบลโซนารูกล่าวว่า ต้นกำเนิดของวัคซีนนั้นทำให้วัคซีนขาดความน่าเชื่อถือ

อันวิซา (Anvisa) หน่วยงานกำกับดูแลด้านสาธารณสุขของบราซิล ผู้อนุมัติการใช้งาน “ซิโนแวค” ที่โดยปกติจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมานาน แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปธน.โบลโซนารูได้แต่งตั้งพรรคพวกของตนเองเข้าไปรับตำแหน่งใน Anvisa ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่า การตัดสินใจต่างๆ ของ Anvisa จะเกี่ยวโยงกับการเมืองด้วยหรือไม่ ???

ปัจจุบัน บราซิลได้กลายเป็นประเทศที่เผชิญการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รุนแรงเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และอินเดีย หลังจากมียอดผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 204,726 ราย และมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 8 ล้านราย


สื่อ BBC รายงานว่า บ่อยครั้งที่ประธานาธิบดีบราซิล โบลโซนารู กล่าวเสมอว่า
"คนที่เคยเป็นนักกีฬาอย่างผม" จะไม่รู้สึกอะไรเลยหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อย่างแย่ที่สุดก็อาจรู้สึกเป็นไข้อ่อน ๆ เท่านั้น พร้อมกับตำหนิสื่อมวลชนว่าหวาดผวาเกินกว่าเหตุ

ถึงขั้นที่ผู้นำบราซิลยังมักแสดงพฤติกรรมที่ขัดต่อกฎระเบียบของผู้ว่าการรัฐต่าง ๆ ที่กำหนดให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคมด้วย และบ่อยครั้งที่เค้ามักจะออกไปพบปะประชาชนตามพื้นที่สาธารณะ พร้อมจับมือทักทายและถ่ายรูปคู่กับฝูงชนโดยไม่มีมาตรการป้องกันการติดโรคใดใด เป็นต้น


และด้วยความประมาทก็ทำให้ "โควิดก็แค่หวัด" ติดทั้งครอบครัวตัวเองในที่สุด

และผู้นำบราซิลคนนี้ ยังมักตำหนิบรรดาผู้ว่าการรัฐต่างๆ ที่ดำเนินมาตรการควบคุมโรคจนก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเลวร้ายกว่าผลกระทบจากเชื้อไวรัสเสียอีก ในขณะที่บราซิลจำเป็นต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปในการต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้น แต่ประธานาธิบดีอย่างโบลโซนารู กลับไม่ได้ทำเรื่องที่ว่านี้เลย

เขามัวยุ่งอยู่กับการต่อสู้ในเกมการเมือง

เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ในการอนุญาตให้สหรัฐฯ สามารถตั้งฐานทัพภายในบราซิลได้ 

ประธานาธิบดีโบลโซนารูได้เคยให้คำมั่นไว้ว่าเขาจะนำบราซิลเดินสู่ทิศทางใหม่ โดยถอยห่างจากการเมืองของพวกสายกลางและฝ่ายซ้าย ซึ่งกว่า 10 ปีที่ผ่านมาได้นำพาบราซิลเดินบนเส้นทางที่เป็นอิสระจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะรัฐบาลพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายซ้ายที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านทางใต้ด้วยกัน และบางครั้งยังงัดข้อกับสหรัฐฯ ในเวทีระหว่างประเทศด้วย

ครั้งที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ เดินทางมาพบโบลโซนารูได้กล่าวว่า
"ตอนนี้ประเทศของพวกเขา "เป็นเพื่อน" กันแล้ว พร้อมกันนั้นเขาก็แสดงท่าทีเป็นศัตรูกับทุนของจีนในบราซิล และต่อต้าน "ระบอบเผด็จการอำนาจนิยม" ในประเทศเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาค ทั้งเวเนซุเอลา, คิวบา และนิการากัว
เขาต้องการกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐในด้านเศรษฐกิจและการทหาร ซึ่งต่อไปอาจมีการลงนามความตกลงในด้านนี้ บราซิลไม่ได้ต้องการเป็นแค่มหาอำนาจในอเมริกาใต้ แต่เราต้องการเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้"

เพียงเท่านี้ ก็พอจะทำให้คาดเดากันได้ว่า ทำไมผลการทดสอบ วัคซีน “โควิด-19” จากจีน “ซิโนแวค” ในประเทศบราซิลถึงแค่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกเท่านั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่