แนะนำอาชีพเผื่อว่าจะเป็นแสงสว่างเล็กๆในยามยาก

สวัสดีครับทุกคน วันนี้จะมาแนะนำสองอาชีพที่อาจจะเป็นช่องทางหารายได้ค่ากับข้าวสำหรับคนที่ยังพอมีทรัพย์สินเหลืออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ขาดรายได้เนื่องจากตกงานกระทันหัน อาชีพที่จะแนะนำก็คือ ขนของย้ายบ้าน กับปล่อยบ้านให้เช่าครับ ผมจะไม่ได้มาแนะนำละเอียดยิบแบบกางแผนธุรกิจนะครับ เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการทำธุรกิจทั้งการขนของย้ายบ้าน และการทำบ้านเช่า แต่จะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ พูดในฐานะของคนที่เคยทำงานประจำและต้องผันตัวมาทำสองสิ่งนี้เพื่อประทังชีวิต ผมก็คนธรรมดาเหมือนทุกคนนั่นแหละไม่ได้มีหัวในการทำธุรกิจเลย แค่ขอเอาตัวรอดไปได้วันต่อวัน ไม่ใช่จะมาเล่าว่าตอนแรกลำบากแต่ตอนหลังจับธุรกิจถูกทางและตอนนี้รวยแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ตอนนี้ก็ยังลำบากอยู่ แต่จะเล่าว่ามันต้องเริ่มอย่างไร ถ้ามันเหมาะที่คุณๆบางคนจะสามารถเอาไปปรับใช้ได้กับชีวิตยามยากในตอนนี้ก็ยินดีครับ 

อาชีพแรก ขนของย้ายบ้าน ผมเริ่มทำอาชีพนี้เมื่อเจ็ดปีที่แล้วครับตอนที่ลาออกจากงานประจำ เริ่มต้นจากรถกระบะหนึ่งคันปัจจุบันก็มีแค่คันเดียวและเก่าด้วย เป็นรถกระบะคันเดิมนั่นแหละครับ ตอนลาออกผมเปลี่ยนจากรถเก๋งเป็นรถกระบะตอนเดียวเพราะตอนนั้นคนในครอบครัวก็มีรถกันหมดทุกคน แต่ไม่มีใครมีรถกระบะเลย แล้วบ้านผมมีแค่สองคนคือผมกับภรรยาก็เลยใช้รถกระบะตอนเดียวครับ ตอนลาออกใหม่ ๆ จากงานประจำก็ยังไม่ได้คิดว่าจะทำงานอะไร เงินเก็บก็มีน้อยแล้วก็ไม่อยากเอาออกมาเสี่ยงลงทุน ก็เลยคิดกันว่าจะทำอะไรดีที่ไม่ต้องลงทุน ขอแค่พอมีรายได้พอกินก็พอ ที่นึกถึงขนของย้ายบ้านเพราะมันเบสิคสุด เป็นชีวิตที่เด็กต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯต้องเคยสัมผัส ผมลงทุนเริ่มแรกคือหนึ่งหมื่นบาทเอากระบะไปใส่ตู้อลูมิเนียม(หรือจะเป็นคอกเหล็กก็ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
) ต่อจากนั้นก็ทำป้ายอีกสามร้อยบาทติดตามเสาไฟฟ้าในบริเวณที่เป็นบ้านเช่า หอพักซึ่งแน่นอนว่ามีคนทำมาก่อนเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้ทุกคนต้องคิดครับว่าป้ายเราควรจะเป็นแบบไหนที่มันโดดเด่น มองแล้วติดตา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โชคดีตรงที่คนทำธุรกิจนี้ส่วนใหญ่ เป็นคนมั่งมีมีรถหลายคันเพราะฉะนั้นเวลาออกติดป้ายเขามักจะทำสติกเกอร์เยอะ ๆ ง่าย ๆ และจ้างคนไปติด แต่สำหรับผมออกแบบป้ายเองแต่โดดเด่น และติดป้ายเองทำให้ถูกเลือกใช้บริการค่อนข้างบ่อย หลังจากติดป้ายไปครั้งแรกและเริ่มมีผู้ติดต่อใช้บริการเราจะทราบได้เองว่าจุดไหนเป็นจุดที่ทัชกับลูกค้าได้มากที่สุด และเราจะประคบประหงมป้ายในพื้นที่นั้นอย่างดีไม่ให้ขาดตกบร่อง ทำมาหลายปีจะรู้ว่าติดป้ายไม่ต้องเยอะ แต่ต้องโดน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

หลายคนสงสัยว่าทำไมไม่ทำบนแพลตฟอร์ม หรือประชาสัมพันธ์ในเฟซบุ๊ก คำตอบคือผมไม่ถนัดครับ การประชาสัมพันธ์บนช่องทางเฟซบุ๊ก สิ่งที่ผมเจอคือใช้เวลาไปกับมันมากเกินไปในการตอบคำถาม และสุดท้ายก็หลุดลอยไปกับการตัดราคา สองปีมานี้มีคนมาทำอาชีพแบบนี้เยอะนะครับและเขาทำไปโดยไม่รู้ว่ามันมีต้นทุนแฝง ทำให้การคิดราคาออกมาค่อนข้างต่ำโดยที่ผู้ได้งานก็ไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้กำไรและมักจะเลิกไปเองในเวลาไม่นาน แต่ก็จะมีรายใหม่เข้ามาเสมอ และอีกประการนึงตลาดของผมคือคนที่ไม่เล่นเฟซบุ๊กครับ จากการทำงานด้านนี้มาเจ็ดปี คนที่ไม่เล่นเฟซบุ๊กคาดหวังการบริการที่ต่ำกว่าคนใช้เฟซบุ๊ก  และงานที่มาจากโทรศัพท์ส่วนใหญ่เป็นกรณีที่ง่ายกว่ามาจากเฟซบุ๊ก และการคุยโทรศัพท์ผมสามารถรู้ว่าคุยอยู่กับคนแบบไหน (แต่มันก็ไม่เสมอไป เพราะนี่เป็นประสบการณ์ที่อาจตัดสินโดยอคติของผม)  คือจริง ๆ ณ เวลานี้ก็ควรทำทุกช่องทาง และไม่ควรเลือกงานยากงานง่าย เพราะยังงัยเราก็ไม่ได้ทำงานอื่นอยู่แล้ว

แม้ว่าจะมีคนทำอาชีพนี้มาก่อนเราแล้วตั้งเยอะ ช่องว่างที่เราจะแทรกไปอยู่ตรงไหน ในธุรกิจขนของย้ายบ้านมันมีสองกลุ่มหลัก คือกลุ่มบนพวกที่ทำธุรกิจจริงจัง มีแรงงานขนย้ายจริงจัง มีการแพ็คของ และเขามีต้นทุนคงที่ต้องรอจ่าย เพราะฉะนั้นราคาของการขนย้ายจะค่อนข้างสูง ดังนั้นตลาดบนไม่ใช่ตลาดของเรา เราจะมาแย่งกันที่ตลาดล่างนี่แหละ น่าแปลกใจว่าคนทำอาชีพนี้สำหรับตลาดกลุ่มล่าง เขามักจะไม่บริการยกของให้ ในพื้นที่ๆผมทำอยู่เขาจะจอดรถเฉย ๆ และรอคนมาเรียก แล้วก็เอารถมาไปจอดให้ผู้ว่าจ้างขนกันเอง ข้อได้เปรียบจะมีขึ้นมาเยอะมากถ้าเราช่วยผู้ว่าจ้างขนของด้วย หรือสามารถหาแรงงานยกของให้ด้วย สำหรับผมแหล่งแรงงานมาจากไซต์ก่อสร้าง หรือไม่ก็ชาวต่างชาติเพื่อนบ้านที่ทำงานประจำ ผมก็จะแวะไปรับเขาหรือนัดกันล่วงหน้าให้ไปยกของ 

โอกาสในการขยายช่องทางหารายได้  สำหรับผมงานใหญ่สุดคือไปประมูลงานย้ายศาลากลางจังหวัด  ผมมีรถกระบะคันเดียว แต่งานนี้ต้องหกล้อสี่คัน กระบะสี่คัน คนสี่สิบคน และทำงานตลอดสามวัน ทุกอย่างผมจ้างหมดเลยครับ อีกงานหนึ่งคือขนหีบบัตรลงประชามติรัฐธรรมนูญ คือผมต้องตระเวนเก็บหีบบัตรจากหน่วยเลือกตั้งทั้งจังหวัดมาที่ กกต. จังหวัดภายในเจ็ดวันอันนี้วิ่งทั่วจังหวัดเลยครับ อันนี้ก็จ้างครับ งานลักษณะแบบนี้เป็นโอกาสที่ดีครับสำหรับผู้ที่อยากจะขยายธุรกิจ แต่ข้อจำกัดผมคือผมขี้เกียจครับ ผมไม่ชอบคุยกับคน ไม่ชอบบริหารคน เป็นคนไม่มีหัวทางธุรกิจก็เลยเอาแค่นี้ครับ แต่หลังจากงานนี้ผมมองเห็นโอกาสอย่างหนึ่งคือ การกินค่านายหน้าครับ ต่อมาผมจึงรับงานและส่งต่อ เวลามีงานเข้ามาผมจะโทรเรียกรถ โทรเรียกคน แล้วให้มาเจอกันที่หน้างาน โดยผมจะมาควบคุมการยกของด้วย และจากนั้นก็รับเงินกินส่วนต่าง 

ข้อจำกัดของผมอีกอย่างที่ทำให้ไม่ก้าวหน้าก็คือ กลุ่มตลาดที่ผมทำมาหากินเป็นตลาดของคนยาก คนที่จ้างย้ายบ้านคือคนที่เช่าบ้าน คนที่เช่าบ้านบางครั้งความเป็นอยู่ยากลำบาก บางทีผมก็เรียกส่วนต่างเขาไม่ลง อย่างเช่นผมว่าจ้างรถขนของ 1500 ปกติผมต้องเรียกจากผู้ว่าจ้าง 1800 ขึ้นไป คราวนี้เรารู้ทั้งรู้ว่าเขาจะประหยัดไปได้อีกสามร้อย ไปขนของแล้วเห็นเด็ก ๆ เป็นพรวนเลย เห็นตุ๊กตาตัวมอมแมมที่ต้องไปขนขึ้นรถ เห็นของเล่นหัก ๆ พัง ๆ ที่เด็กถือติดมือ นอกจากจะไม่เรียกค่านายหน้าแล้วยังไปต่อราคารถที่จ้างมาให้ลดลงอีก ก็เป็นแบบนี้แหละครับ ใจไม่แข็งพอที่จะทำธุรกิจ ยิ่งช่วงนี้นะครับถ้างานไหนผมวิ่งเองการตั้งราคาก็คือ แล้วแต่จะให้ ใครมีเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้นเพราะผมเองก็มีงานวิ่งประจำพอมีกินอยู่บ้างไม่เดือดร้อนมากนัก ตั้งแต่ทำแบบนี้มาผู้ว่าจ้างจะสำนึกได้เองครับ และเขาจะไม่ให้เราลำบาก มันอยู่บนความเห็นอกเห็นใจกัน มันเลยไม่ค่อยจะเป็นธุรกิจเท่าไหร่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ส่วนเรื่องราคา ผมใช้ต้นทุนรถกิโลเมตรละ 3.5 บาท ค่าแรงขนของผมให้ครึ่งวันคนละ 300 เกินครึ่งวัน 400-800 แล้วแต่งานหนักเบา ถ้าวันไหนมีงานเดียวกำไรจะเหลือน้อย ถ้าจ้างคนมายกของแล้วควรเจรจาให้อย่างน้อยสองงานมาอยู่วันเดียวกันจะได้กำไรมากขึ้น คนยกของถ้าเขาได้ระดับค่าตอบแทนเกินกว่าที่คาดหวังจะใช้งานหนักได้สบายเลย เมื่อเขาพอใจค่าแรงแล้วเรามีหน้าที่หางานมารวมในวันเดียวกัน ถ้าได้คนยกแบบเป็นเครือญาติกันจะช่วยแบ่งเบาเราไปได้มาก เพราะบางทีเรามีงบยกของ 1500 จ้างคนสามคนๆละ 500 ถ้าคนยกของมี 4 คนบางทีเขาไม่อยากแยกกลุ่มกันทำงาน เราจ่าย 1600 เขาได้ลดลงคนละ 400 แต่ได้มาทำงานด้วยกัน  ค่าแรงผมเองก็บวก ๆ ไปแล้วแต่จะเรียกบางทีก็ไม่มี แต่ผมจะทำงานเท่ากับคนที่จ้างมานะครับ เรื่องน้ำท่าอาหารการกินก็เลี้ยงลูกน้อง คนไทยถือน้ำใจกันมากกว่าเงิน (ไม่งั้นก็รวยกันไปทั้งหมดแล้วแหละ ) ถ้างานไหนของไม่มากก็ยกเองกับผู้ว่าจ้าง

เรื่องรายได้หักค่าใช้จ่าย หักค่าซ่อมบำรุง ประกัน เปลี่ยนยางแล้วช่วงนี้ก็เหลือต่อเดือนประมาณ 3,000 - 12,000 บาท ครับ ก็ไม่ได้เลิศ แต่ก็ไม่ได้แย่ และผมไม่ได้ติดป้ายมาสองปีแล้วครับ ถ้าออกติดป้ายใหม่คงมีเยอะกว่านี้ แล้วช่วงนี้คนย้ายบ้านกันบ่อย คือย้ายแบบหลังชนฝานะครับ ย้ายกลับภูมิลำเนาเดิม (คล้าย ๆ ขอกลับไปตายรัง) ย้ายร้านที่เลิกกิจการก็เยอะ 

โดยสรุป มันไม่ใช่อาชีพที่ดีเลิศอะไร แล้วมันก็ไม่ได้การันตีว่าจะมีรายได้เข้ามา มานำเสนอนี่ก็คือหวังว่ามันจะเป็นโอกาสหนึ่งเท่านั้นเอง ที่สำคัญคือลงทุนไปแล้วไม่มีความเสี่ยง หรือถ้าเสี่ยงก็ราคาต่ำมาก สอบถามได้นะครับเผื่อมีอะไรตกหล่นให้ข้อมูลไม่ครบ 

(พิมพ์มาเยอะแล้วขอโพสต์ไปก่อนนะครับ เรื่องเช่าบ้านเป็นเรื่องสั้น ๆ ไม่ซับซ้อน)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่