จขกท. อยากมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับโรคนี้ให้ฟังกันค่ะ ว่ามันเป็นยังไง
ส่วนตัวเป็นโรคนี้ แต่ได้รับการรักษามาได้จนหายดีแล้วค่ะ เหลือเพียงรับประทานยาให้ครบตามหมอสั่งเท่านั้น
รวมระยะเวลาก็ 9 เดือนพอดีค่ะ
บางคนสงสัยว่าทำไมถึงได้รักษาถึง9เดือน ปกติมันต้องกินยาแค่6เดือนไม่ใช่หรือ ขอบอกเลยว่าในกรณีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับแค่บางคนเท่านั้น เช่นอาการดื้อยา เชื้อยังไม่หมด แผลยังไม่ปิดสนิท ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ะ
ช่วงแรกที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคTB (วัณโรค) ต่อมน้ำเหลืองคือเครียดมาก อาการเริ่มแรกก็คือการเป็นไข้ไม่หายสักทีเป็นระยะเวลานานค่ะ แล้วก็มีอาการต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอด้านซ้ายโต คล้ายฝี ปวดตึง คล้ายมีน้ำอยู่ด้านใน
ตอนแรกเข้ารับการรักษาที่รพ.แรก หมอไม่ทำอะไรให้เป็นเวลา2สัปดาห์เราจึงย้ายรพ.ค่ะ ในรพ.ที่2นี้เราขอให้หมอเจาะน้ำที่อยู่ในฝีไปตรวจ ซึ่งผลก็ออกมาว่ามีเชื้อtbอยู่ แต่เป็นการติดเชื้อนอกปอด จึงไม่สามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ จะต้องได้รับการรักษาด้วยการรับประทานยาจำนวน12เม็ด เป็นเวลา2เดือน และลดลงเหลือ5เม็ดอีก4เดือน รวมระยะเวลาเป็น6เดือนเป็นอย่างต่ำ (ในกรณีนี้หากเกิดอาการดื้อยาจะต้องมีการปรับเปลี่ยนยาตามแพทย์สั่ง หรือเพิ่มระยะเวลาการทานยาเพิ่มอีก3เดือน) ส่วนผลข้างเคียงของยา นอกจากอาการแพ้ทั่วไปแล้ว แทบจะ80%ของคนที่เป็นโรคนี้ต้องเฝ้าระวังโรคตับอักเสบจากการทานยาที่มากเกินไปด้วย แต่ตับอักเสบจากยาสามารถรักษาให้หายได้ค่ะ ไม่ต้องกลัวจนเกินไป ขอแค่ต้องมีวินัยในการกินยาและต้องกินวิตามินบำรุงตับที่หมอให้ทุกวัน หากเรายังเป็นวัยรุ่นหรือหนุ่มสาว ก็มีโอกาสที่จะไม่เป็นตับอักเสบเลยตลอดระยะเวลาการทานยา ในกรณีนี้ จขกท.ก็ไม่เป็นค่ะ โชคดีมาก
ส่วนเรื่องประเด็นสงสัยที่คนเริ่มเป็นใหม่ๆมักจะเกิดคำถามให้วิตกกังวล จขกท.ขอชี้แจงเป็นข้อดังนี้
1.อาการดื้อยานั้นอาจจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ใช่ความผิดของเราก็มีค่ะ แล้วแต่ภูมิต้านทานโรคของร่างกายแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนเป็นผื่น บางคนตัวบวม ส่วนนี้ไม่น่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่ต้องระวังคืออาการตัวเหลือง ตาขาวเป็นสีเหลือง (สภาวะตับอักเสบ) ส่วนเรื่องฉี่สีแดงเป็นผลจากยาชนิดหนึ่งที่กินเข้าไปค่ะ ไม่ได้เป็นอันตรายมาก
2.ฝีที่คอบางคนก็ยุบเอง บางคนก็แตกออก เมื่อเราเป็นแผลที่แตกออกจะต้องมีการระบายหนองออกอย่างต่อเนื่องจนกว่าหนองจะหมด การระบายหนองครั้งแรกให้หมอหรือพยาบาลทำให้ค่ะ แต่หลังจากนั้นเราก็สามารถทำเองได้โดยการซื้อผ้ากอตซับหนองแล้วเปลี่ยนบ่อยๆเอา ต้องล้างแผลทุกวัน แนะนำให้ฝึกล้างแผลและซื้ออุปกรณ์มาล้างเองที่บ้านค่ะ ทำให้ชิน จะได้ไม่เป็นภาระของคนอื่น
3.ต้องมีวินัยในการรับประทานยาอย่างมากนะคะ เพราะถ้าลืมกินแม้แต่วันเดียวก็มีโอกาสดื้อยาได้แล้ว โอกาสที่คุณจะหายจะลดน้อยลง หมอต้องเปลี่ยนยา และเพิ่มระยะเวลาทานยาขึ้นอีก จขกท.แนะนำว่าให้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้3เวลา คือ6โมง 3ทุ่ม และ5ทุ่มของทุกวัน 6โมงคือเวลาทานอาหารของเราค่ะ (ยาวัณโรคต้องทานห่างจากมื้ออาหารราว2ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย) ส่วน3ทุ่มคือเวลาทานยาวัณโรค และ5ทุ่มทานวิตามินB6ก่อนนอน (หากนอนก่อน5ทุ่มก็สามารถทานก่อนได้ แต่ต้องเป็นเวลานี้ทุกวัน) ข้อควรระวังก็คือหลังจากคุณทานอาหาร6โมง ห้ามทานสิ่งใดอีกนอกจากน้ำเปล่า ต้องทำให้ท้องว่างมากที่สุดก่อนทานยาวัณโรค เพราะยาจะออกฤทธิ์ได้เต็มที่เมื่อไม่มีอาหารใดๆในกระเพาะเลย แต่หากหิวมากจนทนไม่ไหว ให้กินอาหารเพียงเล็กน้อยหลังจากทานยาได้30นาทีแล้ว
4. เกี่ยวกับการทานยา ยาที่เราได้รับมาจะเป็นชุดที่ทานกลางคืนครั้งเดียวทุกเม็ด ห้ามทานเว้นทีละเม็ดสองเม็ดในระยะเวลาที่ห่างกันเกินไป ถ้าทานครั้งเดียวได้ทั้งหมดเลยยิ่งดีค่ะ และห้ามแกะยาออกมาจากชุดหากยังไม่ถึงเวลากิน ยาเหล่านั้นถูกบรรจุไว้ในถุงทึบแสงอย่างดี เพื่อรักษาประสิทธิภาพของยาไว้ หากคุณแกะมันออกมาใส่ภาชนะอื่น ยายาอมด้อยประสิทธิภาพลง อาจะเกิดการดื้อยาในภายหลังได้เช่นกัน
5.อาหารการกินที่ควรระวังสำหรับคนเป็นโรคนี้ ต้องบอกก่อนค่ะว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหากทานยาอย่างต่อเนื่อง เราก็เหมือนคนปกติที่กินทุกอย่างได้ปกติ เพียงแต่ตอนกลางคืนต้องระวังเป็นพิเศษเพราะเราต้องทานยาแค่นั้นเอง นอกนั้นตอนดลางวันก็สามารรถรับประทานทุกอย่างได้ แต่ที่หมอแนะนำมาให้งดเว้นในช่วงสองเดือนแรกของการทานยาก็คงจะเป็นนมเปรี้ยวและของดองทุกชนิด เพราะฤทธิ์ของมันมีโอกาสยับยั้งการทำงานของยาบางชนิดได้ ให้กินได้แต่น้อยและกินก่อนหกโมงเย็นเท่านั้น วิ่งที่ควรงดอีกอย่างคือยาและอาหารเสริม รวมถึงแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะยิ่งไปเพิ่มภาระให้ตับของเราทำงานหนักขึ้นไปอีก
ใครมีคำถามอะไร หรืออยากแนะนำประสบการณ์เกี่ยวกับโรคนี้อีกไหมคะ
วัณโรคต่อมน้ำเหลือง น่ากลัวจริงหรือไม่?
ส่วนตัวเป็นโรคนี้ แต่ได้รับการรักษามาได้จนหายดีแล้วค่ะ เหลือเพียงรับประทานยาให้ครบตามหมอสั่งเท่านั้น
รวมระยะเวลาก็ 9 เดือนพอดีค่ะ
บางคนสงสัยว่าทำไมถึงได้รักษาถึง9เดือน ปกติมันต้องกินยาแค่6เดือนไม่ใช่หรือ ขอบอกเลยว่าในกรณีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับแค่บางคนเท่านั้น เช่นอาการดื้อยา เชื้อยังไม่หมด แผลยังไม่ปิดสนิท ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ะ
ช่วงแรกที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคTB (วัณโรค) ต่อมน้ำเหลืองคือเครียดมาก อาการเริ่มแรกก็คือการเป็นไข้ไม่หายสักทีเป็นระยะเวลานานค่ะ แล้วก็มีอาการต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอด้านซ้ายโต คล้ายฝี ปวดตึง คล้ายมีน้ำอยู่ด้านใน
ตอนแรกเข้ารับการรักษาที่รพ.แรก หมอไม่ทำอะไรให้เป็นเวลา2สัปดาห์เราจึงย้ายรพ.ค่ะ ในรพ.ที่2นี้เราขอให้หมอเจาะน้ำที่อยู่ในฝีไปตรวจ ซึ่งผลก็ออกมาว่ามีเชื้อtbอยู่ แต่เป็นการติดเชื้อนอกปอด จึงไม่สามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ จะต้องได้รับการรักษาด้วยการรับประทานยาจำนวน12เม็ด เป็นเวลา2เดือน และลดลงเหลือ5เม็ดอีก4เดือน รวมระยะเวลาเป็น6เดือนเป็นอย่างต่ำ (ในกรณีนี้หากเกิดอาการดื้อยาจะต้องมีการปรับเปลี่ยนยาตามแพทย์สั่ง หรือเพิ่มระยะเวลาการทานยาเพิ่มอีก3เดือน) ส่วนผลข้างเคียงของยา นอกจากอาการแพ้ทั่วไปแล้ว แทบจะ80%ของคนที่เป็นโรคนี้ต้องเฝ้าระวังโรคตับอักเสบจากการทานยาที่มากเกินไปด้วย แต่ตับอักเสบจากยาสามารถรักษาให้หายได้ค่ะ ไม่ต้องกลัวจนเกินไป ขอแค่ต้องมีวินัยในการกินยาและต้องกินวิตามินบำรุงตับที่หมอให้ทุกวัน หากเรายังเป็นวัยรุ่นหรือหนุ่มสาว ก็มีโอกาสที่จะไม่เป็นตับอักเสบเลยตลอดระยะเวลาการทานยา ในกรณีนี้ จขกท.ก็ไม่เป็นค่ะ โชคดีมาก
ส่วนเรื่องประเด็นสงสัยที่คนเริ่มเป็นใหม่ๆมักจะเกิดคำถามให้วิตกกังวล จขกท.ขอชี้แจงเป็นข้อดังนี้
1.อาการดื้อยานั้นอาจจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ใช่ความผิดของเราก็มีค่ะ แล้วแต่ภูมิต้านทานโรคของร่างกายแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนเป็นผื่น บางคนตัวบวม ส่วนนี้ไม่น่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่ต้องระวังคืออาการตัวเหลือง ตาขาวเป็นสีเหลือง (สภาวะตับอักเสบ) ส่วนเรื่องฉี่สีแดงเป็นผลจากยาชนิดหนึ่งที่กินเข้าไปค่ะ ไม่ได้เป็นอันตรายมาก
2.ฝีที่คอบางคนก็ยุบเอง บางคนก็แตกออก เมื่อเราเป็นแผลที่แตกออกจะต้องมีการระบายหนองออกอย่างต่อเนื่องจนกว่าหนองจะหมด การระบายหนองครั้งแรกให้หมอหรือพยาบาลทำให้ค่ะ แต่หลังจากนั้นเราก็สามารถทำเองได้โดยการซื้อผ้ากอตซับหนองแล้วเปลี่ยนบ่อยๆเอา ต้องล้างแผลทุกวัน แนะนำให้ฝึกล้างแผลและซื้ออุปกรณ์มาล้างเองที่บ้านค่ะ ทำให้ชิน จะได้ไม่เป็นภาระของคนอื่น
3.ต้องมีวินัยในการรับประทานยาอย่างมากนะคะ เพราะถ้าลืมกินแม้แต่วันเดียวก็มีโอกาสดื้อยาได้แล้ว โอกาสที่คุณจะหายจะลดน้อยลง หมอต้องเปลี่ยนยา และเพิ่มระยะเวลาทานยาขึ้นอีก จขกท.แนะนำว่าให้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้3เวลา คือ6โมง 3ทุ่ม และ5ทุ่มของทุกวัน 6โมงคือเวลาทานอาหารของเราค่ะ (ยาวัณโรคต้องทานห่างจากมื้ออาหารราว2ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย) ส่วน3ทุ่มคือเวลาทานยาวัณโรค และ5ทุ่มทานวิตามินB6ก่อนนอน (หากนอนก่อน5ทุ่มก็สามารถทานก่อนได้ แต่ต้องเป็นเวลานี้ทุกวัน) ข้อควรระวังก็คือหลังจากคุณทานอาหาร6โมง ห้ามทานสิ่งใดอีกนอกจากน้ำเปล่า ต้องทำให้ท้องว่างมากที่สุดก่อนทานยาวัณโรค เพราะยาจะออกฤทธิ์ได้เต็มที่เมื่อไม่มีอาหารใดๆในกระเพาะเลย แต่หากหิวมากจนทนไม่ไหว ให้กินอาหารเพียงเล็กน้อยหลังจากทานยาได้30นาทีแล้ว
4. เกี่ยวกับการทานยา ยาที่เราได้รับมาจะเป็นชุดที่ทานกลางคืนครั้งเดียวทุกเม็ด ห้ามทานเว้นทีละเม็ดสองเม็ดในระยะเวลาที่ห่างกันเกินไป ถ้าทานครั้งเดียวได้ทั้งหมดเลยยิ่งดีค่ะ และห้ามแกะยาออกมาจากชุดหากยังไม่ถึงเวลากิน ยาเหล่านั้นถูกบรรจุไว้ในถุงทึบแสงอย่างดี เพื่อรักษาประสิทธิภาพของยาไว้ หากคุณแกะมันออกมาใส่ภาชนะอื่น ยายาอมด้อยประสิทธิภาพลง อาจะเกิดการดื้อยาในภายหลังได้เช่นกัน
5.อาหารการกินที่ควรระวังสำหรับคนเป็นโรคนี้ ต้องบอกก่อนค่ะว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหากทานยาอย่างต่อเนื่อง เราก็เหมือนคนปกติที่กินทุกอย่างได้ปกติ เพียงแต่ตอนกลางคืนต้องระวังเป็นพิเศษเพราะเราต้องทานยาแค่นั้นเอง นอกนั้นตอนดลางวันก็สามารรถรับประทานทุกอย่างได้ แต่ที่หมอแนะนำมาให้งดเว้นในช่วงสองเดือนแรกของการทานยาก็คงจะเป็นนมเปรี้ยวและของดองทุกชนิด เพราะฤทธิ์ของมันมีโอกาสยับยั้งการทำงานของยาบางชนิดได้ ให้กินได้แต่น้อยและกินก่อนหกโมงเย็นเท่านั้น วิ่งที่ควรงดอีกอย่างคือยาและอาหารเสริม รวมถึงแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะยิ่งไปเพิ่มภาระให้ตับของเราทำงานหนักขึ้นไปอีก
ใครมีคำถามอะไร หรืออยากแนะนำประสบการณ์เกี่ยวกับโรคนี้อีกไหมคะ