"เมื่อหมอวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง"

สวัสดีครับ
จะขอแชร์ประสบการณ์ของแฟนนะครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ซึ่งผมไม่สบายใจมากเลยครับ เลยอยากจะรบกวนเพื่อนๆใน Pantip หน่อยนะครับ
ผมจะเล่าประวัติก่อนหน้าที่หมอจะวินิจฉัยนะครับ(อาจจะยาวไปหน่อยนะครับ)
2-3 เดือนก่อน แฟนผมเริ่มเจ็บบริเวณรักแร้ด้านขวาแต่ยังไม่มีอาการบวมใดๆ จึงได้ไปหาคุณหมอเรื่อยมา คุณหมอบอกว่าเป็นอาการกล้ามเนื้ออักเสบบ้าง เป็นอาการปวดกล้ามเนื้อบ้าง คุณหมอจึงจัดยาจำพวกคลายกล้ามเนื้อมาทาน จากนั้น 1 เดือน บริเวณรักแร้เริ่มปูดและบวดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จึงได้ไปหาคุณหมออีกครั้ง คุณหมอบอกว่าเป็นฝี จึงตัดสินใจส่งตัวไปยังแผนกศัลยกรรมเพื่อผ่าฝีออก หลังจากผ่าแล้วแผลลึกมาก และมีเนื้อเสียอยู่ในแผล  คุณหมอจึงได้นำชิ้นเนื้อที่เสียไปตรวจเพื่อหาต้นตอว่าเกิดจากสาเหตุใด หลังจากที่นำชิ้นเนื้อไปตรวจ ผลออกมาพบว่าไม่เป็นมะเร็ง แต่คุณหมอสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง คุณหมอจึงได้นำชิ้นเนื้อที่นำไปตรวจครั้งแรกไปย้อมเชื้อเพื่มเติมผลปรากฎว่าไม่พบเชื้อวัณโรค  คุณหมอจึงขอน้ำเหลืองไปตรวจหาเชื้อเพิ่มเติม และส่งตัวให้คุณหมอแผนกอายุรกรรมช่วยตรวจหาเชื้อต่อ การตรวจหาเชื้อต้องใช้ระยะเวลา 2 เดือนถึงจะรู้ผลที่แน่นอน คุณหมออายุรกรรมจ่ายยาวัณโรคมาให้ทาน ได้นัดตรวจตับอักเสบ , ไวรัสตับอักเสบ ,X-Ray ปอด, และตรวจ HIV เพื่มเติม
1.อยากทราบว่าทำไมต้องตรวจตับอักเสบ , ไวรัสตับอักเสบ ,X-Ray ปอด, และตรวจ HIV เพื่มเติมครับ
2.ผลของน้ำเหลืองที่นำไปตรวจ ให้ผลที่แน่นอนหรือเปล่าครับ (เพราะตรวจทั้งชิ้นเนื้อ และ ย้อมเชื้อเพิ่มเติมแล้วไม่พบ)
3.ถ้าแฟนผมไม่ได้เป็นวัณโรค แต่ทานยาวัณโรคต่อเนื่อง จะมีผลข้างเคียงใดๆบ้างครับ
4.ถ้าผลเป็นวัณโรคจะเป็นอันตรายหรือเปล่าครับ และต้องดูแลตัวเองอย่างไรบ้างครับ

อาจจะยาวไปหน่อยนะครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกบางทียังเรียบเรียงไม่ถูกยังไงขออภัยเพื่อนๆด้วยครับ

ขอบคุณมากครับ ยิ้ม
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
วัณโรคแบ่งง่ายๆเป็น 2 กลุ่ม

1) วัณโรคที่อยู่ในปอด
2)วัณโรคที่อยู่นอกปอด เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ไต ฯลฯ

ถ้าสงสัยวัณโรค ยังไงก็น้องส่ง X-Ray เพื่อแยกว่ามีวัณโรคในปอดหรือไม่
และปัจจุบันพบการติดเชื้อ HIV มากขึ้น ซึ่งวัณโรคมักเป็นโรคที่พบคู่กับ HIV เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากอาจสัมพันธ์กับภาวะภูมิคุ้มกันที่ลดลง
และถ้าเกิดตรวจเจอ HIV อาจต้องปรับเปลี่ยนสสูตรการรักษาใหม่หรืออาจต้องพิจารณาระยะเวลาที่จะเริ่มให้ก่อนหรือหลังยาต้านไวรัส ซึ่งขึ้นกับภาวะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยว่ามากน้อยแค่ไหน

และยาต้านวัณโรคอาจมีผลค้างเคียงทำให้เกิดตับอักเสบ เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้ ดังนั้นจำเป็นต้องประเมินภาวะการทำงานของตับและไตของผู้ป่วยก่อนที่จะเริ่มยา เพื่อเป็นค่าเริ่มต้น และใช้ในการติดตามผลหรือปรับสูตรยาใหม่ในกรณีที่เกิดผลข้างเคียง

ผลย้อมไม่เจอเชื้อวัณโรค อาจประเมินได้สองแบบ คือ 1) ไม่มีเชื้อวัณโรคจริงๆ 2) อาจมีเชื้อ แต่มีปริมาณน้อย ทำให้ยังไม่สามารถตรวจพบ
อาจต้องรอผลเพาะเชื้อซึ่งใช้เวลานานมาก และบางครั้งก็เพาะเชื้อไม่ขึ้นก็ได้ซึ่งพบบ้างพอสมควร
แต่การตัดสินใจ ในการรักษาอาจจะอิงจากผลพยาธิที่คล้ายกับมีลักษณะของวัณโรคในต่อมน้ำเหลือง จึงพิจารณารักษาซึ่งอาจต้องติดตามผลการรักษาต่อครับ

ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาจะได้ข้อมูลมากกว่านะครับและจะได้สบายใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่