Battle of Asal Uttar (สมรภูมิรถถังที่ Asal Uttar) เมื่อไร่อ้อยในอินเดียกลายเป็นสุสานรถถังของปากีสถาน

บทความนี้เขียนโดย ดร.โญ มีเรื่องเล่า
ผมเพียงนำมาเผยแพร่ใน Pantip โดยได้ขออนุญาติเจ้าของบทความแล้ว
เครดิต https://www.facebook.com/doctoryothin



Battle of Asal Uttar เป็นสงครามรถถังที่ใหญ่ที่สุดในช่วงสงครามอินเดีย – ปากีสถาน ปี 1965 โดยมีการสู้รบกันระหว่าง 8 ถึง 10 กันยายน 1965 เมื่อนายพล Ayub Khan ของปากีสถานได้วางแผนการรบเพื่อยึดเมือง Amritsar และสกัดกั้นเสบียงของกองทัพอินเดียที่ประจำการอยู่ในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ คำสั่งถูกส่งต่อไปยัง "1st Armored Division" หรือที่เรียกว่า "Pride Of Pakistan" กองทัพปากีสถานส่งรถถังและทหารราบเข้าไปในดินแดนของอินเดีย โดยยึดเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Khem Karan รัฐปัญจาบของอินเดียไว้ได้ ซึ่งเมืองนี้อยู่ห่างจากชายแดนอินเดียและปากีสถานราว 5 กิโลเมตร (ตอนนั้นรถถังของปากีสถานทันสมัยกว่าของอินเดียมาก รถถัง M-48 Patton ที่ผลิตในสหรัฐฯมากกว่า 200 คัน ซึ่งตอนนั้นถือได้ว่าเป็นรถถังที่ดีที่สุด ขณะที่อินเดียมีรถถังเพียง 135 คันส่วนใหญ่เป็นรถถังรุ่นเก่าตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง) กองกำลังอินเดียซึ่งกำลังฟื้นตัวจากการรบกับจีนจึงขาดแคลนทั้งเสบียงและกระสุน ได้ทำการรบตอบโต้ และหลังจากสามวันของการรบสิ้นสุดลง กองกำลังของปากีสถานพ่ายแพ้ และถูกขับไล่ออกจากดินแดนของอินเดีย ชัยชนะของอินเดียในสมรภูมิ Asal Uttar เกิดจากหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ต้านทานที่ดุเดือดของกองทัพอินเดีย สภาพภูมิประเทศ ยุทธวิธีการรบที่ดีกว่า และกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ





การรบครั้งนี้เปรียบได้กับการรบด้วยรถถังในสมรภูมิ Kursk สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ผลของการรบ Battle of Asal Uttar เป็นการเปลี่ยนโฉมของสงครามอินเดีย-ปากีสถานในปี 1965 เลยที่เดียว ซึ่งทำให้อินเดียกลับมาได้เปรียบ นักประวัติศาสตร์สงครามรวมทั้ง ดร. Philip Towle นักประวัติศาสตร์สงครามชื่อดังชาวอังกฤษต่างมองว่า Battle of Asal Uttar เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามซึ่งทำให้อินเดียได้เปรียบในสงครามสงครามอินเดีย – ปากีสถาน ปี 1965 ความพ่ายแพ้ของกองทัพปากีสถานครั้งนี้เป็นหนึ่งในความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่กองกำลังปากีสถานประสบในช่วงสงครามอินเดีย – ปากีสถาน ปี 1965 กองทัพปากีสถานได้เตรียมการปิดล้อมเมือง Amritsar อันศักดิ์สิทธิ์ และกองทัพอินเดียรู้ดีว่า หากสูญเสียเมือง Amritsar แล้ว ความพ่ายแพ้จะเป็นของอินเดียอย่างแน่นอน (โดยร้อยเอกอัมรินทร์ เดอร์ซิงห์ ซีเอ็ม ผู้ซึ่งเคยร่วมรบในสงคราม ปี 1965 ได้กล่าวไว้ว่า หากกองทัพอินเดียไม่สามารถหยุดยั้งการรุกของกองทัพปากีสถานที่ Asal Uttar ไว้ได้ จะต้องสูญเสียเมือง Amritsar และอินเดียจะประสบความพ่ายแพ้ทั้งหมด)

สมรภูมิการรบนี้ถูกจัดว่าเป็นการต่อสู้ด้วยรถถังที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่สมรภูมิ Kursk (ซึ่งเป็นการต่อสู้ด้วยรถถังที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติระหว่างกองทัพนาซีเยอรมนีและโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่สอง) กองกำลังของปากีสถาน ซึ่งประกอบด้วยกองยานเกราะที่ 1 และกองพลทหารราบที่ 11 ได้ลุกข้ามพรมแดน และเข้ายึดเมือง Khem Karan ของอินเดีย เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ พลตรี Gurbaksh Singh ผู้บัญชาการ กองทหารภูเขาที่ 4 ของอินเดีย ได้สั่งการให้ทหารอินเดียล่าถอยทันที เพื่อไปหาที่มั่นตั้งรับเหมาะสม แล้วจัดกำลังตั้งรับโดยวางตำแหน่งป้องกันรูปเกือกม้า (ตัวยู U) รอบเมือง Asal Uttar แนวคิดคือการโจมตีรถถังให้ได้มากที่สุดจากทั้งสามด้าน(กลยุทธ์การต่อสู้เป็นความคิดของพลจัตวา Thomas K. Theogaraj)

ช่วงกลางคืนทหารอินเดียได้จัดการสูบน้ำเข้าท่วมไร่อ้อยในเขตของ Asal Uttar และเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อรถถังของปากีสถานของกองยานเกราะที่ 1 ซึ่งประกอบด้วยรถถังแบบ M47 และ M48 Patton เป็นส่วนใหญ่ถูกล่อให้เข้าไปในกับดักรูปเกือกม้า ไร่อ้อยซึ่งกลายเป็นแอ่งน้ำทำให้รถถังของปากีสถานต้องเคลื่อนที่ช้าลง และซ้ำร้ายอีกหลาย ๆ คันไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เนื่องจากติดโคลน รถถังของปากีสถานกว่า 220 คันส่วนใหญ่เป็น M48 Patton และรถถัง M4 Shermans และ M24 Chaffees 99 หรือ 170 คันถูกทำลาย และ 11 หรือ 32 คันถูกยึด ในขณะที่กองทัพอินเดียสูญเสียรถถังไปเพียง 11 หรือ 32 คันในการรบครั้งนี้ (ข้อมูลจากหลายแหล่งซึ่งไม่ตรงกันครับ)


.
บทสรุป แม้กองทัพปากีสถานจะบุกข้ามพรมแดนเข้าสู่ดินแดนอินเดียสำเร็จเป็นครั้งแรก แต่การสู้รบก็จบลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของอินเดีย ผู้บัญชาการกองกำลังปากีสถานพลตรี Nasir Ahmed Khan เสียชีวิตในการรบ ตามที่ Steven Zaloga นักประวัติศาสตร์การทหารชาวอเมริกันระบุ ปากีสถานยอมรับว่า สูญเสียรถถังไป 165 คันในช่วงสงครามปี 1965 ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกทำลายในช่วง "การละลาย" ของกองกำลังรถถังปากีสถานที่ Asal Uttar
.
พลเอก Pervez Musharraf เสนาธิการกองทัพ และประธานาธิบดีของปากีสถานในเวลาต่อมาก็ได้เข้าร่วมในการรบครั้งนี้ด้วย ขณะเป็นร้อยโทเหล่าปืนใหญ่สังกัดกรมทหารที่ 16 (SP) กองพลยานเกราะที่ 1 การต่อสู้ครั้งนี้ยังได้เห็นถึงความกล้าหาญของจ่าสิบเอก Abdul Hamid ทหารอินเดียผู้ซึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญ Param Vir Chakra ซึ่งเป็นรางวัลทางทหารสูงสุดของอินเดีย และ เหรียญรางวัล Samar Seva เหรียญรางวัล Raksha Medal และเหรียญรางวัล Sainya Seva ในการุทำลายรถถังของปากีสถานเจ็ดคันด้วยปืนไร้แรงสะท้อน การสู้รบครั้งนี้ยังนำไปสู่การสร้าง Patton Nagar ("Patton City") ณ พื้นที่การรบ เนื่องจากรถถัง Patton ของกองทัพปากีสถานจำนวนมากถูกกองทัพอินเดียยึดหรือทำลายในสมรภูมิ
.
แม้การรบภาคพื้นปากีสถานจะพ่ายแพ้ชนิดย่อยยับ แต่การรบทางอากาศแล้วนักบินกองทัพอากาศปากีสถานเหนือกว่า แล้วจะได้นำมาเล่าในโอกาสต่อไปครับ




การสู้รบครั้งนี้ยังนำไปสู่การสร้าง Patton Nagar ("Patton City") ณ พื้นที่การรบ เนื่องจากรถถัง Patton ของกองทัพปากีสถานจำนวนมากถูกกองทัพอินเดียยึดหรือทำลายในสมรภูมิ


รถถัง Patton ของกองทัพปากีสถานจำนวนมากถูกกองทัพอินเดียยึดหรือทำลายในสมรภูมิ และนำไปตั้งแสดงตามสวนสาธารณะต่าง ๆ ทั่วประเทศอินเดีย



รถถัง Centurian ของกองทัพอินเดีย ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ของรถถัง Patton ของกองทัพปากีสถาน ถูกนำไปตั้งแสดงตามสวนสาธารณะต่าง ๆ ทั่วประเทศอินเดียเช่นกัน



จ่าสิบเอก Abdul Hamid ทหารอินเดีย ผู้ซึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญ Param Vir Chakra ซึ่งเป็นรางวัลทางทหารสูงสุดของอินเดีย และ เหรียญรางวัล Samar Seva เหรียญรางวัล Raksha Medal และเหรียญรางวัล Sainya Seva ในการทำลายรถถังของปากีสถานเจ็ดคันด้วยปืนไร้แรงสะท้อน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่