หญิงสาวใต้เงาจันทร์
ลมหนาวของฤดูเหมันต์ พัดมาอย่างโหดร้าย หนาวเสียจนผมไม่กล้าขยับร่างออกจากใต้ผ้าห่ม แม้จะรู้สึกปวดฉี่จนแทบจะกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้ว
ไม่อยากจะคิดตอนเดินไปเข้าห้องน้ำเลย ผมคงแข็งตายก่อนถึงห้องน้ำแน่ ๆ บ้านยายผม สร้างห้องน้ำแยกออกจากตัวบ้าน จะเข้าห้องน้ำทีต้องเดินออกจากตัวบ้าน
เพราะสถานการณ์โควิดจริง ๆ เชียว ทำให้โรงงานต้องปิดตัวลงชั่วคราว ผมจึงกลับมาอยู่บ้าน บ้านที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง แต่เป็นบ้านยาย ซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้นค่อนข้างเก่า เพราะสร้างมาอย่างยาวนานร่วมสามสิบปี ยายอาศัยอยู่กับน้าชาย ส่วนตาเสียไปเมื่อสามปีก่อน
ผมเลือกที่จะมาพักกับยายช่วงไม่มีงานทำ ดีกว่าไปอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ มีน้องต่างพ่ออาศัยอยู่ด้วยอีกสามคน ที่บ้านหลังนั้นคับแคบเสียจนผมนึกไม่ออกว่า ผมจะนอนตรงไหน
ความปวดฉี่รุนแรงขึ้น จนรู้สึกปวดท้อง ผมจำใจต้องเหวี่ยงผ้าห่มออก คว้าเอาเสื้อกันหนาวมาสวมใส่ เดินออกจากห้องนอนแบบกายสั่นสะท้าน
ยายกับน้าเข้านอนกันหมดแล้ว เพราะอากาศหนาวทำให้ทุกคนเข้านอนเร็วกว่าปกติ ทั้งที่ตอนนี้แค่สองทุ่ม
หลังจากที่ผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย และเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเหลือบไปมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังเดินผ่านบ้านยายไป เธอใส่ผ้าถุงและใส่เสื้อกันหนาวสีขาว
แสงไฟริมถนนทำให้ผมมองเห็นใบหน้าเธอชัดเจน และผมมั่นใจว่าเธอไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้อย่างแน่นอน ความอยากรู้ทำให้ผมเดินตามเธอไป
แสงจันทร์นวลผ่อง ดวงดาวน้อยใหญ่เปล่งแสงระยิบระยับ
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าตามหญิงสาว ที่ตอนนี้ได้มานั่งอยู่บนชิงช้า ภายในสนามเด็กเล่นกลางหมู่บ้าน
พระจันทร์ส่องแสงนวลอาบทั่วเรือนร่างหญิงสาว ผมยืนจ้องมองเธอและยิ้มให้กับความงามตรงหน้า หญิงสาวบ้านนา สวยโดยไม่ต้องประโคมเครื่องสำอางหรือเสื้อผ้าทันสมัยอย่างผู้หญิงในเมืองใหญ่ มีเพียงรอยยิ้มมุมปาก กับดวงตาเปล่งประกายสดใสที่จ้องมองจันทรา เพียงเท่านี้ความงามกลับเปล่งรัศมีออกมาจนผมยากจะต้านอยู่ ความอยากรู้จัก พาผมให้เดินเข้ามาใกล้เธอ และ เอ่ยทักทาย
"ออกมานั่งตากลมแบบนี้ไม่หนาวหรือครับ"
เธอสะดุ้งเล็กน้อย หันมาจ้องมองผม และยิ้มให้อย่างใจดี
"หนาวค่ะ แต่อยากดูดวงจันทร์ชัด ๆ คืนนี้พระจันทร์สวยมากค่ะ"
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์เล็กน้อย แล้วหันกลับมามองเธอ
"ครับ สวยมาก ที่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีโอกาสได้มองจันทร์ทอแสงเต็มดวงแบบนี้บ่อยนักหรอกครับ แสงไฟนีออนบดบังหมด"
เธอยิ้มละมุน ผมจึงเอ่ยขอนั่งชิงช้าข้าง ๆ เธอเสียเลย
"ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย คุณไม่ใช่คนในหมู่บ้านใช่ไหมครับ" ผมเอ่ยถาม
"ฉันก็ไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเหมือนกันค่ะ"
"อ่อ.." ผมหัวเราะเล็กน้อย "ผมเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้เองครับ มาพักอยู่กับยาย ไม่ค่อยได้มาบ้านยายเท่าไหร่หรอกครับ นาน ๆ มาที แต่ก็ยังพอรู้จักคนในหมู่บ้านพอสมควรครับ"
ผมจับชิงช้าแกว่งเล่นเล็กน้อย แล้วจ้องมองจันทร์นวลผ่อง ที่กำลังจะถูกก้อนเมฆเคลื่อนตัวเข้ามาบดบัง
"ฉันเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ค่ะ แม่ซื้อบ้านต่อจากเพื่อนค่ะ บ้านที่อยู่ตรงปากซอยหน้าวัด บ้านหลังแรก รั้วบ้านสีฟ้าอ่ะค่ะ คุณรู้จักไหมคะ"
"อ่อ ๆ บ้านของพี่นฤดี คนที่แต่งงานกับฝรั่ง แล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับแฟนแก"
"ใช่ ๆ ค่ะ หลังนั้นแหละค่ะ" หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างขวาง
แสงจันทร์กระจ่างฟ้าอีกครั้ง เมื่อก้อนเมฆเคลื่อนตัวห่างออกไป และได้เห็นใบหน้าหวานซึ้งกระจ่างชัดในม่านตา ทำผมหัวใจละลาย ลืมความหนาวเหน็บไปชั่วขณะ
"ฉันชื่อบัวค่ะ แล้วคุณชื่ออะไรหรือคะ
"ผมศรครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับบัว"
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ"
เราสองคนนั่งพูดคุยกันอยู่สักพัก จึงต้องแยกย้ายกลับบ้าน เพราะยิ่งดึกความหนาวยิ่งทวีคูณ ผมอาสาเดินไปส่งบัวถึงหน้าบ้าน
"ขอบคุณที่มาส่งนะคะ พรุ่งนี้คุณจะมาอีกไหมคะ"
"ผมจะไม่ยอมให้คุณไปนั่งชิงช้าตอนกลางค่ำกลางคืนคนเดียวเด็ดขาด"
"แล้วเจอกันค่ะ"
เธอยิ้มให้ผม โบกมือลา แล้วเดินหายเข้าบ้านไป ผมรอจนเธอปิดประตูหน้าบ้านจนสนิท ก่อนจะเดินผละออกมา หัวใจเป็นสุขอย่างบอกไม่รู้ และรู้สึกถูกชะตา ถูกใจเธอคนนี้ยิ่งนัก...
ผมเดินฮัมเพลงเบา ๆ แม้จะเป็นตอนกลางคืน แต่ผมไม่นึกกลัวเลยสักนิด หมู่บ้านแห่งนี้สงบและปลอดภัย
แต่เสียงหมาหอนที่ดังอยู่ใกล้ ๆ นี้สิ ทำผมประสาทเสีย รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
"จะมาหอนอะไรตอนนี้วะ" ผมสบถด่าหมา ซึ่งยังมองไม่เห็นหมาสักตัว ผมรีบวิ่งโกยแน่บ กลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว
.........
จันทร์กระจ่างฟ้า ในอีกคืนถัดมา ผมไม่ได้เดินตามเธอมาเหมือนคืนก่อน แต่คืนนี้ผมตั้งใจมานั่งรอเธอที่ชิงช้าตัวเดิม เหม่อมองจันทร์นวลผ่องด้วยความรู้สึกหดหู่และเศร้าหมอง
"มานานยังคะ"
บัวเดินมาหยุดอยู่ข้างผม แล้วเอ่ยถาม เธอย่อตัวลงนั่งชิงช้าข้าง ๆ ผม
"ไม่นานครับ เพิ่งมาเอง"
ความเงียบเกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง เราทั้งคู่ต่างไม่รู้จะคุยอะไรกัน หรืออาจเป็นผมเองที่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง
"บัว" ผมเอ่ยชื่อเธอเสียงแผ่วเบา หันมองหน้าจ้องลึกสบตาเธอ
"มีอะไรจะพูดกับฉันหรือคะ พูดมาได้เลยค่ะ ฉันจะตั้งใจฟังสิ่งที่คุณพูดทุกอย่างค่ะ"
"คุณเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ผมได้พูดคุยด้วย แล้วรู้สึกสบายใจและมีความสุข ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ อยากรู้จักจริง ๆ อยากเป็นเพื่อนกับคุณ หรืออาจมากกว่าเพื่อน อยากพาคุณไปเที่ยว ไปดูหนังด้วยกัน แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าผมทำไม่ได้ เพราะผม...."
"เพราะคุณตายแล้วใช่ไหมคะ"
ผมเบิกตาโพลงจ้องใบหน้าหนาวซึ้งด้วยความพิศวงงงงวย
"คุณรู้ได้ยังไง"
"ศพคุณเพิ่งมาถึงบ้านยายเมื่อตอนเช้าค่ะ และฉันเพิ่งไปงานศพคุณมาเมื่อตอนเย็นนี่เองค่ะ"
เธอใช้น้ำเสียงพูดกับผมราวกับเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่ผมมองเธอราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับที่แปด เธอรู้ว่าผมตาย ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่า ตัวเองตายเสียอีก
"คุณเห็นผม!" ผมแทบจะกรีดร้องออกไปด้วยความตกใจ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
"ค่ะ ฉันเห็นคุณ ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ"
และเธอคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดจริง ๆ
ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก อ้าปากค้างจ้องมองสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดอย่างทึ่งจัด
"คุณไม่กลัวผมเหรอครับ แล้ว...แล้ว...คุณมองเห็นผมได้ไงกัน ญาติพี่น้องผมไม่มีใครมองเห็นผมเลย"
เธอส่งเสียงหัวเราะร่วน จนผมยกมือเกาหัวแกรก
"ไม่กลัวหรอกค่ะ ฉันเริ่มมองเห็นผีตั้งแต่อายุสิบขวบ ตอนแรก ๆ ก็กลัวนะคะ แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้วค่ะ ผีส่วนใหญ่มาดีค่ะ ส่วนใครมาร้ายฉันก็วิ่งหนีค่ะ"
"โห...คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ นะครับ ถ้าผมยังไม่ตาย ผมจะมาจีบคุณแน่นอน"
"ฉันขอเป็นแฟนกับคนดีกว่าค่ะ"
เราสองคนส่งเสียงหัวเราะดังก้อง แข่งกับเสียงหมาเห่าหอน ที่ดังสะท้อนในหมู่บ้านเงียบ ๆ แห่งนี้
"แล้วคุณรู้ไหมว่าผมตายยังไง ผมยังไม่รู้ตัวเลยว่าตายยังไง"
"คุณตายอย่างฮีโร่ค่ะ การตายของคุณได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเลยนะคะ"
"ผมเดินตกท่อระบายน้ำตายใช่ไหมครับ"
"บ้าน่า...ตลกนะคุณนี่"
เธอส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง ยกมือตีหัวไหล่ผมเบา ๆ มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ เธอมองเห็นผม และยังสัมผัสตัวผมได้ด้วย วิเศษไปเลย
"ตามข่าวที่ฉันอ่านมานะคะ และในคลิปวิดีโอที่มีคนถ่ายไว้ทัน คุณวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยที่เดินเตาะแตะอยู่ริมถนน มีรถเสียหลักพุ่งมายังเด็กน้อย รถชนร่างคุณเข้าเต็ม ๆ ส่วนเด็กน้อยปลอดภัย ข่าวการตายของคุณโด่งดังมากค่ะ ทุกคนยกย่องให้คุณเป็นฮีโร่ค่ะ"
ผมเม้มปากแน่น ยกมือกอดอก พยักหน้าหงึก ๆ ยอมรับการตายของตัวเอง อย่างน้อยผมก็ตายอย่างมีคุณค่า ไม่ได้ตายแบบไร้ค่า ถือว่าตายดีแล้วกัน
"ผมขอดูคลิปนั้นหน่อยได้ไหมครับ"
"ฉันว่าอย่าดูเลยดีกว่าค่ะ ภาพการตายของตัวเองไม่น่าดูหรอกนะคะ"
"ก็อยากดูนี่" ผมทำปากยื่น เอียงคอโน้มหน้าเข้ามาใกล้เธอ
"อย่าดื้อดึงสิค่ะ....ดูโน่นพระจันทร์สวยอีกแล้วค่ะ มีกระต่ายอยู่บนนั่นด้วยค่ะ"
เธอชี้นิ้วขึ้น และผมมองตาม แสงจันทร์สว่างจ้า ดวงดารามารายล้อม ส่วนผมแอบมอง หญิงสาวผู้หนึ่งใต้เงาจันทร์
"เรามาเป็นเพื่อนกันนะคะ"
"ยินดีอย่างยิ่งครับเพื่อนบัว...แล้วนี่คุณเป็นเพื่อนกับผีทุกคนเลยหรือเปล่าครับ"
"ไม่หรอกค่ะ ผีบางคนก็ไม่ชอบมานั่งเสวนากับฉันหรอกนะคะ บางคนมาขอให้ช่วย แล้วก็จากไปค่ะ คุณเห็นคุณป้า คนนั้นไหมคะ นั่นป้าแย้มค่ะ แกเดินวนไปวนมาอยู่แถวต้นลีลาวดีมานานแล้วค่ะ ฉันพยายามชวนแกคุยแต่แกก็ไม่คุยด้วย บอกแค่ชื่อตัวเอง ป้าแกคงรอใครสักคนอยู่ค่ะ"
ผมมองตามที่บัวบอก และผมแทบสะดุ้ง เมื่อเห็นป้าแก่ ๆ ใบหน้าขาวซีด เดินวนรอบต้นลีลาวดี ผมจำป้าแย้มได้ ป้าแย้มตายด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ตอนแกตายผมเรียนอยู่ม.6 ผ่านมาสิบสามปีแล้ว ป้าแย้มยังไม่ผุดไปเกิด ทำให้ผมสงสัย และอยากเข้าไปคุยกับป้าแย้ม
"ผมรู้จักแก ผมจะลองไปคุยกับป้าแย้มดูนะ"
ผมหันไปบอกบัว ลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้าไปหาป้าแย้ม
ไม่นานผมกลับมานั่งที่เดิม และหันมายิ้มให้บัว
"ว่าไง ป้าแกรออะไรคะ"
"เรียกผมว่าศรก่อน แล้วผมจะเล่าให้ฟัง"
"นี่คุณอย่ามาลีลาสิ เล่ามาซะดี ๆ"
"ผมไม่ได้ชื่อนี่คุณ" ผมยียวนกวนประสาท
"ไม่ฟังก็ได้กลับบ้านดีกว่า"
บัวลุกขึ้นยืน เดินจากไป และผมวิ่งตาม
"หยอกเล่นน่าบัว...ป้าแย้มแกรอให้ลูก ๆ แกมาทำบุญให้ ตั้งแต่แกตายไป ไม่มีใครทำบุญไปให้แกเลย"
"เป็นแบบนี้นี่เอง"
"บัวนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ยายผมฟังนะ ยายผมรู้จักลูก ๆ ป้าแย้มทุกคน ที่เหลือยายคงจัดการเอง"
บัวยิ้มและพยักหน้าตอบรับ
"คืนนี้ฉันง่วงแล้ว กลับกันเถอะค่ะ"
ผมเดินมาส่งบัวที่หน้าบ้าน เหมือนคืนก่อน แต่ความรู้สึกช่างต่างจากคืนแรก คืนที่ผมยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตาย
ความตายพรากความหวังของผม ความหวังที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับบัวให้แน่นแฟ้น มากกว่าการได้รู้จักกันแบบผิวเผิน
"ขอบคุณที่มาส่งนะคะ"
"ยินดีครับ...." ผมอยากจะพูดอะไรต่ออีกมากมาย แต่ดันนึกไม่ออก นอกจากยืนยิ้มแห้ง ๆ ให้คนตรงหน้า
"คืนพรุ่งนี้ฉันจะไปรอคุณที่ใต้เงาจันทร์นะคะ แล้วเจอกันค่ะ"
"ผมต่างหากที่จะไปรอบัว มาให้ไวแล้วกัน"
ผมยืนมองบัว จนเธอเดินหายเข้าไปในบ้าน และผมเริ่มสับสน ว่าผีต้องไปอยู่ที่ไหน กลับบ้านนอนเหรอ หรือยังไง
แต่ว่า...ตอนนี้ผมไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับไปเห็นงานศพตัวเอง เห็นแม่กับยายร้องไห้ หดหู่ใจเกินไป
ผมเลือกเดินกลับมาที่เดิม นั่งบนชิงช้าตัวเดิม เงยหน้ามองดวงจันทร์ แล้วยิ้มอย่างเป็นสุข ผมว่า...ผมคงเป็นผีที่โชคดีที่สุดในโลกแล้ว ที่มีเพื่อนอย่างบัว...
ผมฮัมเพลงเบา ๆ อย่างผีมีความสุข.....และใช้เท้าถีบพื้นดินแกว่งชิงช้าเล่น
หากใครผ่านมาแถวนี้ยามค่ำคืน แล้วเห็นชิงช้าแกว่งไกวไปมา นั้นละผมเอง....
******
🌹🌻🌹ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านค่ะ^^🌹🌻🌹
หญิงสาวใต้เงาจันทร์
ไม่อยากจะคิดตอนเดินไปเข้าห้องน้ำเลย ผมคงแข็งตายก่อนถึงห้องน้ำแน่ ๆ บ้านยายผม สร้างห้องน้ำแยกออกจากตัวบ้าน จะเข้าห้องน้ำทีต้องเดินออกจากตัวบ้าน
เพราะสถานการณ์โควิดจริง ๆ เชียว ทำให้โรงงานต้องปิดตัวลงชั่วคราว ผมจึงกลับมาอยู่บ้าน บ้านที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง แต่เป็นบ้านยาย ซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้นค่อนข้างเก่า เพราะสร้างมาอย่างยาวนานร่วมสามสิบปี ยายอาศัยอยู่กับน้าชาย ส่วนตาเสียไปเมื่อสามปีก่อน
ผมเลือกที่จะมาพักกับยายช่วงไม่มีงานทำ ดีกว่าไปอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ มีน้องต่างพ่ออาศัยอยู่ด้วยอีกสามคน ที่บ้านหลังนั้นคับแคบเสียจนผมนึกไม่ออกว่า ผมจะนอนตรงไหน
ความปวดฉี่รุนแรงขึ้น จนรู้สึกปวดท้อง ผมจำใจต้องเหวี่ยงผ้าห่มออก คว้าเอาเสื้อกันหนาวมาสวมใส่ เดินออกจากห้องนอนแบบกายสั่นสะท้าน
ยายกับน้าเข้านอนกันหมดแล้ว เพราะอากาศหนาวทำให้ทุกคนเข้านอนเร็วกว่าปกติ ทั้งที่ตอนนี้แค่สองทุ่ม
หลังจากที่ผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย และเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเหลือบไปมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังเดินผ่านบ้านยายไป เธอใส่ผ้าถุงและใส่เสื้อกันหนาวสีขาว
แสงไฟริมถนนทำให้ผมมองเห็นใบหน้าเธอชัดเจน และผมมั่นใจว่าเธอไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้อย่างแน่นอน ความอยากรู้ทำให้ผมเดินตามเธอไป
แสงจันทร์นวลผ่อง ดวงดาวน้อยใหญ่เปล่งแสงระยิบระยับ
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าตามหญิงสาว ที่ตอนนี้ได้มานั่งอยู่บนชิงช้า ภายในสนามเด็กเล่นกลางหมู่บ้าน
พระจันทร์ส่องแสงนวลอาบทั่วเรือนร่างหญิงสาว ผมยืนจ้องมองเธอและยิ้มให้กับความงามตรงหน้า หญิงสาวบ้านนา สวยโดยไม่ต้องประโคมเครื่องสำอางหรือเสื้อผ้าทันสมัยอย่างผู้หญิงในเมืองใหญ่ มีเพียงรอยยิ้มมุมปาก กับดวงตาเปล่งประกายสดใสที่จ้องมองจันทรา เพียงเท่านี้ความงามกลับเปล่งรัศมีออกมาจนผมยากจะต้านอยู่ ความอยากรู้จัก พาผมให้เดินเข้ามาใกล้เธอ และ เอ่ยทักทาย
"ออกมานั่งตากลมแบบนี้ไม่หนาวหรือครับ"
เธอสะดุ้งเล็กน้อย หันมาจ้องมองผม และยิ้มให้อย่างใจดี
"หนาวค่ะ แต่อยากดูดวงจันทร์ชัด ๆ คืนนี้พระจันทร์สวยมากค่ะ"
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์เล็กน้อย แล้วหันกลับมามองเธอ
"ครับ สวยมาก ที่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีโอกาสได้มองจันทร์ทอแสงเต็มดวงแบบนี้บ่อยนักหรอกครับ แสงไฟนีออนบดบังหมด"
เธอยิ้มละมุน ผมจึงเอ่ยขอนั่งชิงช้าข้าง ๆ เธอเสียเลย
"ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย คุณไม่ใช่คนในหมู่บ้านใช่ไหมครับ" ผมเอ่ยถาม
"ฉันก็ไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเหมือนกันค่ะ"
"อ่อ.." ผมหัวเราะเล็กน้อย "ผมเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้เองครับ มาพักอยู่กับยาย ไม่ค่อยได้มาบ้านยายเท่าไหร่หรอกครับ นาน ๆ มาที แต่ก็ยังพอรู้จักคนในหมู่บ้านพอสมควรครับ"
ผมจับชิงช้าแกว่งเล่นเล็กน้อย แล้วจ้องมองจันทร์นวลผ่อง ที่กำลังจะถูกก้อนเมฆเคลื่อนตัวเข้ามาบดบัง
"ฉันเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ค่ะ แม่ซื้อบ้านต่อจากเพื่อนค่ะ บ้านที่อยู่ตรงปากซอยหน้าวัด บ้านหลังแรก รั้วบ้านสีฟ้าอ่ะค่ะ คุณรู้จักไหมคะ"
"อ่อ ๆ บ้านของพี่นฤดี คนที่แต่งงานกับฝรั่ง แล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับแฟนแก"
"ใช่ ๆ ค่ะ หลังนั้นแหละค่ะ" หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างขวาง
แสงจันทร์กระจ่างฟ้าอีกครั้ง เมื่อก้อนเมฆเคลื่อนตัวห่างออกไป และได้เห็นใบหน้าหวานซึ้งกระจ่างชัดในม่านตา ทำผมหัวใจละลาย ลืมความหนาวเหน็บไปชั่วขณะ
"ฉันชื่อบัวค่ะ แล้วคุณชื่ออะไรหรือคะ
"ผมศรครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับบัว"
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ"
เราสองคนนั่งพูดคุยกันอยู่สักพัก จึงต้องแยกย้ายกลับบ้าน เพราะยิ่งดึกความหนาวยิ่งทวีคูณ ผมอาสาเดินไปส่งบัวถึงหน้าบ้าน
"ขอบคุณที่มาส่งนะคะ พรุ่งนี้คุณจะมาอีกไหมคะ"
"ผมจะไม่ยอมให้คุณไปนั่งชิงช้าตอนกลางค่ำกลางคืนคนเดียวเด็ดขาด"
"แล้วเจอกันค่ะ"
เธอยิ้มให้ผม โบกมือลา แล้วเดินหายเข้าบ้านไป ผมรอจนเธอปิดประตูหน้าบ้านจนสนิท ก่อนจะเดินผละออกมา หัวใจเป็นสุขอย่างบอกไม่รู้ และรู้สึกถูกชะตา ถูกใจเธอคนนี้ยิ่งนัก...
ผมเดินฮัมเพลงเบา ๆ แม้จะเป็นตอนกลางคืน แต่ผมไม่นึกกลัวเลยสักนิด หมู่บ้านแห่งนี้สงบและปลอดภัย
แต่เสียงหมาหอนที่ดังอยู่ใกล้ ๆ นี้สิ ทำผมประสาทเสีย รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
"จะมาหอนอะไรตอนนี้วะ" ผมสบถด่าหมา ซึ่งยังมองไม่เห็นหมาสักตัว ผมรีบวิ่งโกยแน่บ กลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว
.........
จันทร์กระจ่างฟ้า ในอีกคืนถัดมา ผมไม่ได้เดินตามเธอมาเหมือนคืนก่อน แต่คืนนี้ผมตั้งใจมานั่งรอเธอที่ชิงช้าตัวเดิม เหม่อมองจันทร์นวลผ่องด้วยความรู้สึกหดหู่และเศร้าหมอง
"มานานยังคะ"
บัวเดินมาหยุดอยู่ข้างผม แล้วเอ่ยถาม เธอย่อตัวลงนั่งชิงช้าข้าง ๆ ผม
"ไม่นานครับ เพิ่งมาเอง"
ความเงียบเกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง เราทั้งคู่ต่างไม่รู้จะคุยอะไรกัน หรืออาจเป็นผมเองที่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง
"บัว" ผมเอ่ยชื่อเธอเสียงแผ่วเบา หันมองหน้าจ้องลึกสบตาเธอ
"มีอะไรจะพูดกับฉันหรือคะ พูดมาได้เลยค่ะ ฉันจะตั้งใจฟังสิ่งที่คุณพูดทุกอย่างค่ะ"
"คุณเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ผมได้พูดคุยด้วย แล้วรู้สึกสบายใจและมีความสุข ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ อยากรู้จักจริง ๆ อยากเป็นเพื่อนกับคุณ หรืออาจมากกว่าเพื่อน อยากพาคุณไปเที่ยว ไปดูหนังด้วยกัน แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าผมทำไม่ได้ เพราะผม...."
"เพราะคุณตายแล้วใช่ไหมคะ"
ผมเบิกตาโพลงจ้องใบหน้าหนาวซึ้งด้วยความพิศวงงงงวย
"คุณรู้ได้ยังไง"
"ศพคุณเพิ่งมาถึงบ้านยายเมื่อตอนเช้าค่ะ และฉันเพิ่งไปงานศพคุณมาเมื่อตอนเย็นนี่เองค่ะ"
เธอใช้น้ำเสียงพูดกับผมราวกับเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่ผมมองเธอราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับที่แปด เธอรู้ว่าผมตาย ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่า ตัวเองตายเสียอีก
"คุณเห็นผม!" ผมแทบจะกรีดร้องออกไปด้วยความตกใจ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
"ค่ะ ฉันเห็นคุณ ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ"
และเธอคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดจริง ๆ
ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก อ้าปากค้างจ้องมองสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดอย่างทึ่งจัด
"คุณไม่กลัวผมเหรอครับ แล้ว...แล้ว...คุณมองเห็นผมได้ไงกัน ญาติพี่น้องผมไม่มีใครมองเห็นผมเลย"
เธอส่งเสียงหัวเราะร่วน จนผมยกมือเกาหัวแกรก
"ไม่กลัวหรอกค่ะ ฉันเริ่มมองเห็นผีตั้งแต่อายุสิบขวบ ตอนแรก ๆ ก็กลัวนะคะ แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้วค่ะ ผีส่วนใหญ่มาดีค่ะ ส่วนใครมาร้ายฉันก็วิ่งหนีค่ะ"
"โห...คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ นะครับ ถ้าผมยังไม่ตาย ผมจะมาจีบคุณแน่นอน"
"ฉันขอเป็นแฟนกับคนดีกว่าค่ะ"
เราสองคนส่งเสียงหัวเราะดังก้อง แข่งกับเสียงหมาเห่าหอน ที่ดังสะท้อนในหมู่บ้านเงียบ ๆ แห่งนี้
"แล้วคุณรู้ไหมว่าผมตายยังไง ผมยังไม่รู้ตัวเลยว่าตายยังไง"
"คุณตายอย่างฮีโร่ค่ะ การตายของคุณได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเลยนะคะ"
"ผมเดินตกท่อระบายน้ำตายใช่ไหมครับ"
"บ้าน่า...ตลกนะคุณนี่"
เธอส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง ยกมือตีหัวไหล่ผมเบา ๆ มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ เธอมองเห็นผม และยังสัมผัสตัวผมได้ด้วย วิเศษไปเลย
"ตามข่าวที่ฉันอ่านมานะคะ และในคลิปวิดีโอที่มีคนถ่ายไว้ทัน คุณวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยที่เดินเตาะแตะอยู่ริมถนน มีรถเสียหลักพุ่งมายังเด็กน้อย รถชนร่างคุณเข้าเต็ม ๆ ส่วนเด็กน้อยปลอดภัย ข่าวการตายของคุณโด่งดังมากค่ะ ทุกคนยกย่องให้คุณเป็นฮีโร่ค่ะ"
ผมเม้มปากแน่น ยกมือกอดอก พยักหน้าหงึก ๆ ยอมรับการตายของตัวเอง อย่างน้อยผมก็ตายอย่างมีคุณค่า ไม่ได้ตายแบบไร้ค่า ถือว่าตายดีแล้วกัน
"ผมขอดูคลิปนั้นหน่อยได้ไหมครับ"
"ฉันว่าอย่าดูเลยดีกว่าค่ะ ภาพการตายของตัวเองไม่น่าดูหรอกนะคะ"
"ก็อยากดูนี่" ผมทำปากยื่น เอียงคอโน้มหน้าเข้ามาใกล้เธอ
"อย่าดื้อดึงสิค่ะ....ดูโน่นพระจันทร์สวยอีกแล้วค่ะ มีกระต่ายอยู่บนนั่นด้วยค่ะ"
เธอชี้นิ้วขึ้น และผมมองตาม แสงจันทร์สว่างจ้า ดวงดารามารายล้อม ส่วนผมแอบมอง หญิงสาวผู้หนึ่งใต้เงาจันทร์
"เรามาเป็นเพื่อนกันนะคะ"
"ยินดีอย่างยิ่งครับเพื่อนบัว...แล้วนี่คุณเป็นเพื่อนกับผีทุกคนเลยหรือเปล่าครับ"
"ไม่หรอกค่ะ ผีบางคนก็ไม่ชอบมานั่งเสวนากับฉันหรอกนะคะ บางคนมาขอให้ช่วย แล้วก็จากไปค่ะ คุณเห็นคุณป้า คนนั้นไหมคะ นั่นป้าแย้มค่ะ แกเดินวนไปวนมาอยู่แถวต้นลีลาวดีมานานแล้วค่ะ ฉันพยายามชวนแกคุยแต่แกก็ไม่คุยด้วย บอกแค่ชื่อตัวเอง ป้าแกคงรอใครสักคนอยู่ค่ะ"
ผมมองตามที่บัวบอก และผมแทบสะดุ้ง เมื่อเห็นป้าแก่ ๆ ใบหน้าขาวซีด เดินวนรอบต้นลีลาวดี ผมจำป้าแย้มได้ ป้าแย้มตายด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ตอนแกตายผมเรียนอยู่ม.6 ผ่านมาสิบสามปีแล้ว ป้าแย้มยังไม่ผุดไปเกิด ทำให้ผมสงสัย และอยากเข้าไปคุยกับป้าแย้ม
"ผมรู้จักแก ผมจะลองไปคุยกับป้าแย้มดูนะ"
ผมหันไปบอกบัว ลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้าไปหาป้าแย้ม
ไม่นานผมกลับมานั่งที่เดิม และหันมายิ้มให้บัว
"ว่าไง ป้าแกรออะไรคะ"
"เรียกผมว่าศรก่อน แล้วผมจะเล่าให้ฟัง"
"นี่คุณอย่ามาลีลาสิ เล่ามาซะดี ๆ"
"ผมไม่ได้ชื่อนี่คุณ" ผมยียวนกวนประสาท
"ไม่ฟังก็ได้กลับบ้านดีกว่า"
บัวลุกขึ้นยืน เดินจากไป และผมวิ่งตาม
"หยอกเล่นน่าบัว...ป้าแย้มแกรอให้ลูก ๆ แกมาทำบุญให้ ตั้งแต่แกตายไป ไม่มีใครทำบุญไปให้แกเลย"
"เป็นแบบนี้นี่เอง"
"บัวนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ยายผมฟังนะ ยายผมรู้จักลูก ๆ ป้าแย้มทุกคน ที่เหลือยายคงจัดการเอง"
บัวยิ้มและพยักหน้าตอบรับ
"คืนนี้ฉันง่วงแล้ว กลับกันเถอะค่ะ"
ผมเดินมาส่งบัวที่หน้าบ้าน เหมือนคืนก่อน แต่ความรู้สึกช่างต่างจากคืนแรก คืนที่ผมยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตาย
ความตายพรากความหวังของผม ความหวังที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับบัวให้แน่นแฟ้น มากกว่าการได้รู้จักกันแบบผิวเผิน
"ขอบคุณที่มาส่งนะคะ"
"ยินดีครับ...." ผมอยากจะพูดอะไรต่ออีกมากมาย แต่ดันนึกไม่ออก นอกจากยืนยิ้มแห้ง ๆ ให้คนตรงหน้า
"คืนพรุ่งนี้ฉันจะไปรอคุณที่ใต้เงาจันทร์นะคะ แล้วเจอกันค่ะ"
"ผมต่างหากที่จะไปรอบัว มาให้ไวแล้วกัน"
ผมยืนมองบัว จนเธอเดินหายเข้าไปในบ้าน และผมเริ่มสับสน ว่าผีต้องไปอยู่ที่ไหน กลับบ้านนอนเหรอ หรือยังไง
แต่ว่า...ตอนนี้ผมไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับไปเห็นงานศพตัวเอง เห็นแม่กับยายร้องไห้ หดหู่ใจเกินไป
ผมเลือกเดินกลับมาที่เดิม นั่งบนชิงช้าตัวเดิม เงยหน้ามองดวงจันทร์ แล้วยิ้มอย่างเป็นสุข ผมว่า...ผมคงเป็นผีที่โชคดีที่สุดในโลกแล้ว ที่มีเพื่อนอย่างบัว...
ผมฮัมเพลงเบา ๆ อย่างผีมีความสุข.....และใช้เท้าถีบพื้นดินแกว่งชิงช้าเล่น
หากใครผ่านมาแถวนี้ยามค่ำคืน แล้วเห็นชิงช้าแกว่งไกวไปมา นั้นละผมเอง....