ส.ว.อเมริกันเชื้อไทยชี้ไม่ใช่ประท้วงแต่เป็นรัฐประหาร
แทมมี ดักเวิร์ธ ซึ่งเคยแสดงความห่วงใยการประท้วงในประเทศไทยเมื่อไม่กี่เดือนก่อนต้องประสบกับเหตุการณ์วุ่นวายในสหรัฐประเทศของเธอเอง
แทมมี ดักเวิร์ธ นักการเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายไทย สมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาจากรัฐอิลลินอยส์จากพรรคเดโมแครต กล่าวถึงเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในสภาคองเกรสในสุนทรพจน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ในห้องประชุมวุฒิสภาหลังสภาเปิดประชุมพิจารณารับรองผลการเลือกตั้งของโจ ไบเดนอีกครั้ง
"ฉันใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่มาตลอดเพื่อปกป้องประชาธิปไตยของเรา แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจำเป็นต้องปกป้องมันจากการพยายามล้มล้างอย่างรุนแรงในอาคารรัฐสภาของประเทศเรา"
ดักเวิร์ธ ซึ่งเป็นอดีตทหารผ่านศึกอิรักกล่าวว่า "ในปี 2004 ฉันเก็บกระเป๋าเป้สะพายหลังผูกเชือกรองเท้าและเดินทางไปอิรักโดยเต็มใจที่จะเสียสละทุกสิ่งที่ฉันร้องขอเพราะฉันรักประเทศนี้และเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของระบบการเลือกตั้งของเราซึ่งได้ประกาศให้จอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ฉันสูญเสียขาของฉันไปต่อสู้อย่างภาคภูมิใจในสงครามที่ฉันไม่สนับสนุนตามคำสั่งของประธานาธิบดีที่ฉันไม่ได้ลงคะแนน เพราะฉันเชื่อในคุณค่าที่ประเทศของเราก่อตั้งขึ้น -
เพราะฉันเชื่อในรัฐบาลเพื่อประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะเลือกใครเป็นผู้นำ ไม่ใช่การทำแบบอื่น"
ดักเวิร์ธ ยังกล่าวด้วยว่า “สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นการพยายามก่อรัฐประหาร ฉันปฏิเสธที่จะปล่อยให้ใครก็ตามที่มีเจตนายุยงให้เกิดความวุ่นวายหรือปลุกปั่นความรุนแรงขัดขวางไม่ให้ฉันปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ สภาคองเกรสต้องดำเนินการต่อไปเพื่อรับรองผลการเลือกตั้งและก้าวไปข้างหน้าต่อไปให้พ้นจากเรื่องน่าอับอายนี้ในประวัติศาสตร์ของเรา มันเป็นหนทางเดียวที่จะกระชับหนทางในการรักษาชาติของเรา”
https://www.posttoday.com/world/642147
ไล่ลำดับเหตุการณ์บุกรัฐสภาสหรัฐฯ ความรุนแรงครั้งใหญ่ในดินแดนแห่งเสรีภาพ
🔻รวบรวมไทม์ไลน์เหตุการณ์ความรุนครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ หลังผู้สนับสนุนทรัมป์บุกยึดอาคารรัฐสภา
กลายเป็นเรื่องใหญ่รับต้นปี 2021 เมื่อเกิดเหตุกลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรงที่สนับสนุนทรัมป์ได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯ โดยมีชนวนความโกรธแค้นจากผลการเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ที่พวกเขาเชื่อว่าไม่เป็นธรรม
จากเหตุดังกล่าวทำให้เกิดการปะทะระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่ผู้ประท้วงบางส่วนจะเข้าไปในอาคารได้สำเร็จ ทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์รัฐสภา โดยที่สมาชิกสภาคองเกรสยังติดอยู่ข้างในอาคาร
ความโกลาหลเกิดขึ้นภายในอาคาร เมื่อผู้สนับสนุนทรัมป์เดินบุกเข้าไปทีละห้องและตะโกนว่า ทรัมป์ควรดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป และบุกเข้าไปในสำนักงานของฝ่ายนิติบัญญัติ
นี่คือลำดับเหตุการณ์ของสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา🔻
เช้าวันที่ 6 ม.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินทางมาประท้วงรอบบริเวณอนุสาวรีย์วอชิงตัน หลายคนออกมากล่าวสุนทรพจน์ปลุกระดม เช่น รูดี้ จูเลียนี (Rudy Giuliani) ที่ปรึกษาของทรัมป์ ซึ่งออกมาบอกว่า การเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ที่ผ่านมาเต็มไปด้วยแผนการสมคบคิดที่คดโกง และเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนทรัมป์ “ต่อสู้”
ขณะที่ตัวทรัมป์เองก็กล่าวสุนทรพจน์จากหลังกระจกกั้น โดยโจมตีสื่อและเรียกร้องให้ ไมค์ เพนซ์ (Mike Pence) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปลี่ยนผลการเลือกตั้งซะ พร้อมเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนของเขาเดินขบวนไปที่รัฐสภาซึ่งกำลังมีการประชุมสภาคองเกรสอยู่
“คุณจะไม่มีวันได้ประเทศของเรากลับคืนมาด้วยความอ่อนแอ คุณต้องแสดงความเข้มแข็ง และคุณต้องเข้มแข็ง เราเรียกร้องให้สภาคองเกรสทำในสิ่งที่ถูกต้อง และต้องนับคะแนนเลือกตั้งเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายเท่านั้น ผมรู้ว่าทุกคนที่นี่จะเดินขบวนไปที่อาคารรัฐสภา ให้พวกเขาได้ยินเสียงของคุณอย่างสันติวิธีและรักชาติในวันนี้” ทรัมป์กล่าว
และเขายังเสริมอีกว่า “ขอให้ทุกคนสู้ ๆ เราจะสู้กันอย่างสุดชีวิต และถ้าคุณไม่ต่อสู้สุดชีวิต คุณก็จะไม่มีประเทศอยู่อีกต่อไป เราจะไปที่รัฐสภา มอบความภาคภูมิใจและความกล้าหาญให้เหล่ารีพับลิกันเพื่อยึดประเทศของเรากลับคืนมา”
เวลาราว 14.00 น. ผู้ประท้วงพากันสวมเครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับที่มีคำพูดสนับสนุนทรัมป์เดินทางมายังรัฐสภา เช่น “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again)” บ้างถือธงสมาพันธรัฐ (Confederate Flag) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทัพฝ่ายใต้ในประวัติศาสตร์สงครามกลางเมือง และเป็นสัญลักษณ์ที่หลายฝ่ายมองว่า “สร้างความแตกแยก” ในสังคมอเมริกัน
ขณะนั้นสภาคองเกรสกำลังจะลงคะแนนเพื่อยืนยันชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2020 ของ โจ ไบเดน
14.20 น. สภาคองเกรสยุติการอภิปราย หลังจากผู้ประท้วงบังคับให้ตำรวจล็อกดาวน์อาคารรัฐสภา ผู้สื่อข่าวได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ในห้องรับรอง ด้านผู้ประท้วงได้ทำลายเครื่องกีดขวาง และปะทะกับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภา มีการยิงสเปรย์พริกไทยเพื่อให้ผู้ประท้วงถอยไป
14:40 น. นายกเทศมนตรีของกรุงวอชิงตันดีซีออกคำสั่งเคอร์ฟิวในเมืองหลวง เริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 6 ม.ค. ถึง 06.00 น. ของวันที่ 7 ม.ค.
14:45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งอพยพสมาชิกสภาออกจากรัฐสภา
14:47 น. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตถึงผู้สนับสนุนของเขาให้ “ประท้วงอย่างสันติ” ขณะที่ผู้ประท้วงปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างรุนแรง
14:50 น. สมาชิกสภาคองเกรสภายในห้องประชุมได้รับคำสั่งจากตำรวจให้สวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษหลังจากตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาในห้องโดมของรัฐสภา (Capitol Rotunda)
15:13 น. หลังถูกกดดันจากนักการเมืองและสังคมหลายฝ่าย ทรัมป์ก็ออกมาทวีตข้อความว่า “ผมขอให้ทุกคนในรัฐสภาสหรัฐฯ ประท้วงอย่างสงบ อย่าใช้ความรุนแรง โปรดจำไว้ว่าเราคือภาคีแห่งกฎหมายและความเป็นระเบียบ โปรดเคารพกฎหมายและชายหญิงผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ขอบคุณ” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทวีตดังกล่าวไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ได้บอกให้ผู้ประท้วงสลายตัว
ราว 15.30 น. มีหญิงรายหนึ่งถูกยิง และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เร่งผลักดันผู้ประท้วงลงจากชั้น 2 และชั้น 3 ของรัฐสภา
16.00 น. เพนตากอนออกมากล่าวว่า มีการระดมสมาชิกกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติประมาณ 1,100 คนเพื่อช่วยสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย โดยถูกส่งไปยังคลังอาวุธของเมือง และกองกำลังพิทักษ์ชาติจะช่วยควบคุมความเรียบร้อยหลังเวลาเคอร์ฟิว 18.00 น.
16:05 น. ว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกมาประณามการกระทำของผู้สนับสนุนทรัมป์ว่า “เป็นการจลาจล” และ “ ประชาธิปไตยของเราอยู่ภายใต้การโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อน”
16:15 น. สำนักงานแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และวัตถุระเบิด และตำรวจ พบวัตถุต้องสงสัยใกล้กับอาคารสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน
16:17 น. ทรัมป์โพสต์วิดีโอลงทวิตเตอร์ระบุว่า การเลือกตั้งถูกโกงไป แต่ขอให้ฝูงชนแยกย้ายกันกลับบ้าน
17:05 น. ผู้สนับสนุนทรัมป์ในรัฐอื่นออกมารวมตัวล้อมอาคารรัฐสภาของรัฐ จนต้องอพยพสมาชิกในอย่างน้อย 2 รัฐ
ระหว่างนี้ ผู้ประท้วงบางส่วนบุกเข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของรัฐสภา แล้วพากันถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย
17:40 น.
ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและระเบิดเสียงเพื่อสลายกลุ่มผู้ประท้วง
ท้ายที่สุดเวลาประมาณ 17:50 น. เจ้าหน้าที่ได้ประกาศว่า สถานการณ์ในกรุงวอชิงตันดีซี “ปลอดภัยแล้ว” หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธหนักพยายามควบคุมสถานการณ์นานเกือบ 4 ชั่วโมง
18.10 น. มีรายงานว่าหญิงที่ถูกยิงบาดเจ็บเสียชีวิตแล้ว
18:25 น. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตว่า “นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อชัยชนะในการเลือกตั้งไม่ได้รับการเคารพ และถูกแย่งชิงไปจากเหล่าผู้รักชาติผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายและไม่เป็นธรรมมาเป็นเวลานาน ... ขอให้กลับบ้านด้วยความรักและสันติ และจงจดจำวันนี้ตลอดไป!”
18:45 น. ผู้ประท้วงบางส่วนยังคงอยู่บนท้องถนนเพื่อต่อต้านเคอร์ฟิวที่กำหนดขึ้นหลังบุกโจมตีรัฐสภา
19:02 น. ทวิตเตอร์ล็อกบัญชีของทรัมป์เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมงเนื่องจาก "ละเมิดระเบียบและมาตรการของทวิตเตอร์” หากต้องการปลดล็อกบัญชี ทรัมป์ต้องลบทวีตที่ผิดกฎ รวมถึงวิดีโอที่เขาทวีตก่อนหน้านี้ด้วย
19:45 น. คณะกรรมการแห่งชาติพรรครีพับลิกัน ออกมาประณามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ไม่ใช่การกระทำที่แสดงถึงความรักชาติ แต่เป็นการโจมตีประเทศของเราและหลักการที่เราก่อตั้งประเทศขึ้นมา”
20:10 น. สภาคองเกรสกลับมาอภิปรายชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน อีกครั้ง ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนออกมาบอกว่าจะเปลี่ยนใจไม่โต้แย้งการรับรองตำแหน่งประธานาธิบดีของไบเดนแล้ว
20:20 น. อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะจดจำความรุนแรงที่รัฐสภา ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเสื่อมเสียและความอัปยศต่อประเทศชาติ
ล่าสุดเวลา 23:10 น. มี
รายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ทั้งหมด 4 ราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังรายงานสรุปว่า เก็บกู้ไปป์บอมบ์ 2 ลูกสำเร็จ ลูกหนึ่งพบนอกคณะกรรมการแห่งชาติประชาธิปไตย และอีกหนึ่งลูกนอกคณะกรรมการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน
นอกจากนี้ ตำรวจยังสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 52 ราย โดย 47 รายละเมิดเคอร์ฟิว 4 รายพกปืนโดยไม่มีใบอนุญาต และ 1 รายถูกจับในข้อหาครอบครองอาวุธต้องห้าม
เรียบเรียงจาก AP / ABC
ภาพจาก AFP / Getty Image
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/139675
วันนี้ติดตามข่าวคราวประเทศต้นแบบแห่งประชาธิปไตยกันบ้างนะคะ
ไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงค่ะ....
♥️มาลาริน/ไม่ชอบก็อย่าหนุนใครอีกนะคะสว.แทมมี่สามนิ้ว/ไทม์ไลน์ความรุนแรงครั้งใหญ่ในดินแดนแห่งเสรีภาพ สูญเสีย 4ชีวิต
แทมมี ดักเวิร์ธ ซึ่งเคยแสดงความห่วงใยการประท้วงในประเทศไทยเมื่อไม่กี่เดือนก่อนต้องประสบกับเหตุการณ์วุ่นวายในสหรัฐประเทศของเธอเอง
แทมมี ดักเวิร์ธ นักการเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายไทย สมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาจากรัฐอิลลินอยส์จากพรรคเดโมแครต กล่าวถึงเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในสภาคองเกรสในสุนทรพจน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ในห้องประชุมวุฒิสภาหลังสภาเปิดประชุมพิจารณารับรองผลการเลือกตั้งของโจ ไบเดนอีกครั้ง
"ฉันใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่มาตลอดเพื่อปกป้องประชาธิปไตยของเรา แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจำเป็นต้องปกป้องมันจากการพยายามล้มล้างอย่างรุนแรงในอาคารรัฐสภาของประเทศเรา"
ดักเวิร์ธ ซึ่งเป็นอดีตทหารผ่านศึกอิรักกล่าวว่า "ในปี 2004 ฉันเก็บกระเป๋าเป้สะพายหลังผูกเชือกรองเท้าและเดินทางไปอิรักโดยเต็มใจที่จะเสียสละทุกสิ่งที่ฉันร้องขอเพราะฉันรักประเทศนี้และเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของระบบการเลือกตั้งของเราซึ่งได้ประกาศให้จอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ฉันสูญเสียขาของฉันไปต่อสู้อย่างภาคภูมิใจในสงครามที่ฉันไม่สนับสนุนตามคำสั่งของประธานาธิบดีที่ฉันไม่ได้ลงคะแนน เพราะฉันเชื่อในคุณค่าที่ประเทศของเราก่อตั้งขึ้น - เพราะฉันเชื่อในรัฐบาลเพื่อประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะเลือกใครเป็นผู้นำ ไม่ใช่การทำแบบอื่น"
ดักเวิร์ธ ยังกล่าวด้วยว่า “สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นการพยายามก่อรัฐประหาร ฉันปฏิเสธที่จะปล่อยให้ใครก็ตามที่มีเจตนายุยงให้เกิดความวุ่นวายหรือปลุกปั่นความรุนแรงขัดขวางไม่ให้ฉันปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ สภาคองเกรสต้องดำเนินการต่อไปเพื่อรับรองผลการเลือกตั้งและก้าวไปข้างหน้าต่อไปให้พ้นจากเรื่องน่าอับอายนี้ในประวัติศาสตร์ของเรา มันเป็นหนทางเดียวที่จะกระชับหนทางในการรักษาชาติของเรา”
https://www.posttoday.com/world/642147
ไล่ลำดับเหตุการณ์บุกรัฐสภาสหรัฐฯ ความรุนแรงครั้งใหญ่ในดินแดนแห่งเสรีภาพ
🔻รวบรวมไทม์ไลน์เหตุการณ์ความรุนครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ หลังผู้สนับสนุนทรัมป์บุกยึดอาคารรัฐสภา
กลายเป็นเรื่องใหญ่รับต้นปี 2021 เมื่อเกิดเหตุกลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรงที่สนับสนุนทรัมป์ได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯ โดยมีชนวนความโกรธแค้นจากผลการเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ที่พวกเขาเชื่อว่าไม่เป็นธรรม
จากเหตุดังกล่าวทำให้เกิดการปะทะระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่ผู้ประท้วงบางส่วนจะเข้าไปในอาคารได้สำเร็จ ทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์รัฐสภา โดยที่สมาชิกสภาคองเกรสยังติดอยู่ข้างในอาคาร
ความโกลาหลเกิดขึ้นภายในอาคาร เมื่อผู้สนับสนุนทรัมป์เดินบุกเข้าไปทีละห้องและตะโกนว่า ทรัมป์ควรดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป และบุกเข้าไปในสำนักงานของฝ่ายนิติบัญญัติ
นี่คือลำดับเหตุการณ์ของสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา🔻
เช้าวันที่ 6 ม.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินทางมาประท้วงรอบบริเวณอนุสาวรีย์วอชิงตัน หลายคนออกมากล่าวสุนทรพจน์ปลุกระดม เช่น รูดี้ จูเลียนี (Rudy Giuliani) ที่ปรึกษาของทรัมป์ ซึ่งออกมาบอกว่า การเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ที่ผ่านมาเต็มไปด้วยแผนการสมคบคิดที่คดโกง และเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนทรัมป์ “ต่อสู้”
ขณะที่ตัวทรัมป์เองก็กล่าวสุนทรพจน์จากหลังกระจกกั้น โดยโจมตีสื่อและเรียกร้องให้ ไมค์ เพนซ์ (Mike Pence) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปลี่ยนผลการเลือกตั้งซะ พร้อมเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนของเขาเดินขบวนไปที่รัฐสภาซึ่งกำลังมีการประชุมสภาคองเกรสอยู่
“คุณจะไม่มีวันได้ประเทศของเรากลับคืนมาด้วยความอ่อนแอ คุณต้องแสดงความเข้มแข็ง และคุณต้องเข้มแข็ง เราเรียกร้องให้สภาคองเกรสทำในสิ่งที่ถูกต้อง และต้องนับคะแนนเลือกตั้งเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายเท่านั้น ผมรู้ว่าทุกคนที่นี่จะเดินขบวนไปที่อาคารรัฐสภา ให้พวกเขาได้ยินเสียงของคุณอย่างสันติวิธีและรักชาติในวันนี้” ทรัมป์กล่าว
และเขายังเสริมอีกว่า “ขอให้ทุกคนสู้ ๆ เราจะสู้กันอย่างสุดชีวิต และถ้าคุณไม่ต่อสู้สุดชีวิต คุณก็จะไม่มีประเทศอยู่อีกต่อไป เราจะไปที่รัฐสภา มอบความภาคภูมิใจและความกล้าหาญให้เหล่ารีพับลิกันเพื่อยึดประเทศของเรากลับคืนมา”
เวลาราว 14.00 น. ผู้ประท้วงพากันสวมเครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับที่มีคำพูดสนับสนุนทรัมป์เดินทางมายังรัฐสภา เช่น “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again)” บ้างถือธงสมาพันธรัฐ (Confederate Flag) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทัพฝ่ายใต้ในประวัติศาสตร์สงครามกลางเมือง และเป็นสัญลักษณ์ที่หลายฝ่ายมองว่า “สร้างความแตกแยก” ในสังคมอเมริกัน
ขณะนั้นสภาคองเกรสกำลังจะลงคะแนนเพื่อยืนยันชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2020 ของ โจ ไบเดน
14.20 น. สภาคองเกรสยุติการอภิปราย หลังจากผู้ประท้วงบังคับให้ตำรวจล็อกดาวน์อาคารรัฐสภา ผู้สื่อข่าวได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ในห้องรับรอง ด้านผู้ประท้วงได้ทำลายเครื่องกีดขวาง และปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภา มีการยิงสเปรย์พริกไทยเพื่อให้ผู้ประท้วงถอยไป
14:40 น. นายกเทศมนตรีของกรุงวอชิงตันดีซีออกคำสั่งเคอร์ฟิวในเมืองหลวง เริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 6 ม.ค. ถึง 06.00 น. ของวันที่ 7 ม.ค.
14:45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งอพยพสมาชิกสภาออกจากรัฐสภา
14:47 น. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตถึงผู้สนับสนุนของเขาให้ “ประท้วงอย่างสันติ” ขณะที่ผู้ประท้วงปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างรุนแรง
14:50 น. สมาชิกสภาคองเกรสภายในห้องประชุมได้รับคำสั่งจากตำรวจให้สวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษหลังจากตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาในห้องโดมของรัฐสภา (Capitol Rotunda)
15:13 น. หลังถูกกดดันจากนักการเมืองและสังคมหลายฝ่าย ทรัมป์ก็ออกมาทวีตข้อความว่า “ผมขอให้ทุกคนในรัฐสภาสหรัฐฯ ประท้วงอย่างสงบ อย่าใช้ความรุนแรง โปรดจำไว้ว่าเราคือภาคีแห่งกฎหมายและความเป็นระเบียบ โปรดเคารพกฎหมายและชายหญิงผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ขอบคุณ” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทวีตดังกล่าวไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ได้บอกให้ผู้ประท้วงสลายตัว
ราว 15.30 น. มีหญิงรายหนึ่งถูกยิง และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เร่งผลักดันผู้ประท้วงลงจากชั้น 2 และชั้น 3 ของรัฐสภา
16.00 น. เพนตากอนออกมากล่าวว่า มีการระดมสมาชิกกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติประมาณ 1,100 คนเพื่อช่วยสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย โดยถูกส่งไปยังคลังอาวุธของเมือง และกองกำลังพิทักษ์ชาติจะช่วยควบคุมความเรียบร้อยหลังเวลาเคอร์ฟิว 18.00 น.
16:05 น. ว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกมาประณามการกระทำของผู้สนับสนุนทรัมป์ว่า “เป็นการจลาจล” และ “ ประชาธิปไตยของเราอยู่ภายใต้การโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อน”
16:15 น. สำนักงานแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และวัตถุระเบิด และตำรวจ พบวัตถุต้องสงสัยใกล้กับอาคารสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน
16:17 น. ทรัมป์โพสต์วิดีโอลงทวิตเตอร์ระบุว่า การเลือกตั้งถูกโกงไป แต่ขอให้ฝูงชนแยกย้ายกันกลับบ้าน
17:05 น. ผู้สนับสนุนทรัมป์ในรัฐอื่นออกมารวมตัวล้อมอาคารรัฐสภาของรัฐ จนต้องอพยพสมาชิกในอย่างน้อย 2 รัฐ
ระหว่างนี้ ผู้ประท้วงบางส่วนบุกเข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของรัฐสภา แล้วพากันถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย
17:40 น. ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและระเบิดเสียงเพื่อสลายกลุ่มผู้ประท้วง
ท้ายที่สุดเวลาประมาณ 17:50 น. เจ้าหน้าที่ได้ประกาศว่า สถานการณ์ในกรุงวอชิงตันดีซี “ปลอดภัยแล้ว” หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธหนักพยายามควบคุมสถานการณ์นานเกือบ 4 ชั่วโมง
18.10 น. มีรายงานว่าหญิงที่ถูกยิงบาดเจ็บเสียชีวิตแล้ว
18:25 น. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตว่า “นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อชัยชนะในการเลือกตั้งไม่ได้รับการเคารพ และถูกแย่งชิงไปจากเหล่าผู้รักชาติผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายและไม่เป็นธรรมมาเป็นเวลานาน ... ขอให้กลับบ้านด้วยความรักและสันติ และจงจดจำวันนี้ตลอดไป!”
18:45 น. ผู้ประท้วงบางส่วนยังคงอยู่บนท้องถนนเพื่อต่อต้านเคอร์ฟิวที่กำหนดขึ้นหลังบุกโจมตีรัฐสภา
19:02 น. ทวิตเตอร์ล็อกบัญชีของทรัมป์เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมงเนื่องจาก "ละเมิดระเบียบและมาตรการของทวิตเตอร์” หากต้องการปลดล็อกบัญชี ทรัมป์ต้องลบทวีตที่ผิดกฎ รวมถึงวิดีโอที่เขาทวีตก่อนหน้านี้ด้วย
19:45 น. คณะกรรมการแห่งชาติพรรครีพับลิกัน ออกมาประณามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ไม่ใช่การกระทำที่แสดงถึงความรักชาติ แต่เป็นการโจมตีประเทศของเราและหลักการที่เราก่อตั้งประเทศขึ้นมา”
20:10 น. สภาคองเกรสกลับมาอภิปรายชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน อีกครั้ง ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนออกมาบอกว่าจะเปลี่ยนใจไม่โต้แย้งการรับรองตำแหน่งประธานาธิบดีของไบเดนแล้ว
20:20 น. อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะจดจำความรุนแรงที่รัฐสภา ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเสื่อมเสียและความอัปยศต่อประเทศชาติ
ล่าสุดเวลา 23:10 น. มีรายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ทั้งหมด 4 ราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังรายงานสรุปว่า เก็บกู้ไปป์บอมบ์ 2 ลูกสำเร็จ ลูกหนึ่งพบนอกคณะกรรมการแห่งชาติประชาธิปไตย และอีกหนึ่งลูกนอกคณะกรรมการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน
นอกจากนี้ ตำรวจยังสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 52 ราย โดย 47 รายละเมิดเคอร์ฟิว 4 รายพกปืนโดยไม่มีใบอนุญาต และ 1 รายถูกจับในข้อหาครอบครองอาวุธต้องห้าม
เรียบเรียงจาก AP / ABC
ภาพจาก AFP / Getty Image
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/139675
วันนี้ติดตามข่าวคราวประเทศต้นแบบแห่งประชาธิปไตยกันบ้างนะคะ
ไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงค่ะ....