JJNY : ผงะ!หนี้ครัวเรือนไทยจ่อทะลุ91%/“ทัศนีย์”เชื่อปี64 คนตกงานเพิ่ม/‘โรม’หนุนสภาถกแก้รธน.ต่อ/ป้อมลั่น กรุงเทพไม่มีบ่อน

ผงะ!หนี้ครัวเรือนไทยจ่อทะลุ91% คนรายได้น้อยภาระผ่อนสูงลิ่ว
https://www.dailynews.co.th/economic/816705
 
คนไทยก่อหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงสุดรอบ 18 ปี จ่อทะลุ 91% หากจีดีพี 64 โตต่ำ ผงะ!คนรายได้น้อยไม่ถึง 5พันบาทต่อเดือน มีภาระหนี้สูง 84% ต่อรายได้(ดีเอสอาร์) 
  

  
น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน(หนี้ครัวเรือน)ในไตรมาส 3 ปี 63 ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พบว่า หนี้ครัวเรือนไทยทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปีครั้งใหม่ที่ 86.6% ต่อจีดีพี เนื่องจากคนไทยก่อหนี้เพิ่มโดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์และบัตรเครดิต โดยคาดอาจเพิ่มขึ้นมาที่ 91% ต่อจีดีพี หรืออาจสูงกว่านั้นในปี 64 หากเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากโควิดมากกว่าที่ประเมิน และทำให้จีดีพีในปี 64 เติบโตน้อยกว่า 2.6%
 
สำหรับการก่อหนี้ก้อนใหม่ในภาคครัวเรือนไตรมาสที่ 3 ปี 63โดยเฉพาะหนี้เพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งสินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ เพิ่มขึ้น 1.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 88% ของการเพิ่มขึ้นของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือน ซึ่งในไตรมาส 3 หนี้ครัวเรือนมียอดคงค้างเพิ่มขึ้น 1.82 แสนล้านบาทมาอยู่ที่ 13.77 ล้านล้านบาท และยังมีสัญญาณการก่อหนี้ในส่วนอื่นๆ ทั้งหนี้ก้อนใหญ่ เช่น หนี้เพื่อการประกอบอาชีพและหนี้เช่าซื้อรถยนต์ และหนี้เพื่ออุปโภคบริโภค เช่น บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ที่กลับมาเร่งสูงขึ้นในไตรมาสที่ 3 อีกครั้ง จากที่มีทิศทางชะลอลงในไตรมาส 2 ปี 63ซึ่งมีการระบาดของโควิด-19 รอบแรก
 
น.ส.กาญจนา กล่าวว่า หากดูลึกลงไปเพื่อวิเคราะห์ความเปราะบางในระดับครัวเรือนเพิ่มเติม พบว่า ภาระหนี้ต่อรายได้(ดีเอสอาร์) โดยเฉลี่ยของครัวเรือนทั้งประเทศอยู่ที่ 27% แต่ครัวเรือนในกลุ่มรายได้น้อย หรือมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน กลับมีดีเอสอาร์อยู่ในระดับสูง และสูงกว่าค่าเฉลี่ยดีเอสอาร์ ของครัวเรือนทั้งประเทศหลายเท่า โดยเฉพาะครัวเรือนในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อเดือน มีดีเอสอาร์สูงถึง 84% ขณะที่ครัวเรือนในกลุ่มที่มีรายได้ระหว่าง 5,000-10,000 บาทต่อเดือน มีดีเอสอาร์ 40% สะท้อนสถานะทางการเงินที่ค่อนข้างตึงตัวและมีความอ่อนไหวต่อปัญหาเศรษฐกิจและวิกฤติโควิด-19 ในปี 63
 
นอกจากนี้ต้องยอมรับว่าความเสี่ยงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศ ส่งผลกระทบต่อจังหวะการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในปี 64 และน่าจะมีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของกลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่รวมๆ แล้วมีอยู่ 10.68 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ 3.5 ล้านล้านบาท 
 
อย่างไรก็ตามแม้ก่อนโควิด-19 ระลอกใหม่ เห็นว่าลูกหนี้รายย่อยส่วนใหญ่ของธนาคารพาณิชย์น่าจะสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติหลังหมดมาตรการฯ และลูกหนี้บางส่วนได้รับการช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว แต่คงต้องติดตามสถานการณ์ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี 64 อย่างใกล้ชิด เพราะจะส่งผลกระทบต่อกระแสรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน
 
ภาพหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวสูงต่อเนื่องดังกล่าว เป็นหนึ่งในเครื่องชี้ที่ตอกย้ำปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย และความเปราะบางของฐานะทางการเงินในภาคครัวเรือนที่เป็นโจทย์รอการแก้ไข ต่อเนื่องจากการควบคุมการระบาดของโควิดและการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่โจทย์เฉพาะหน้าที่สำคัญกว่า คือ การเตรียมมาตรการช่วยเหลือทางการเงินให้กับลูกหนี้ทั้งธุรกิจและครัวเรือนให้ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปให้ได้
 

 
“ทัศนีย์”เชื่อปี64ตัวเลขคนตกงานเพิ่มขึ้น
https://www.innnews.co.th/politics/news_859004/
  
"ทัศนีย์" ชี้มาตรการจำกัดพื้นที่ทำประชาชนเดือดร้อน เชื่อปี6 4 ตัวเลขคนตกงานเพิ่มขึ้น จี้รัฐเร่งเยียวยาประชาชน
 
นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากมาตรการจำกัดพื้นที่ รวมทั้งขอความร่วมมือในการปิดสถานประกอบการในหลายพื้นที่ในหลายจังหวัด เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบกับประชาชนโดยตรง ทั้งผู้ประกอบการ และแรงงานในพื้นที่ ที่จำเป็นต้องปิดกิจการ เลิกจ้างแรงงาน ทั้งนี้เชื่อว่าในปี 64 ตัวเลขคนตกงานจะสูงขึ้นอย่างน่ากลัว
 
นอกจากนี้หลายกิจการต้องต้องปิดตัวลง เพราะไม่สามารถรับภาระที่สูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนทั้งค่าเช่าพื้นที่และดอกเบี้ยธนาคารที่ไม่ลดลง รัฐจำเป็นต้องเร่งเจรจาขอให้ธนาคารเอกชน หยุดพักชำระหนี้ ไม่ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและหยุดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือนเพื่อช่วยผู้ประกอบการ หากไม่เร่งดำเนินการจะเกิดการล้มละลายทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน
 
นางสาวทัศนีย์ กล่าวด้วยว่า ในพื้นที่เชียงใหม่ประสบปัญหาเศรษฐกิจหนักมากดังนั้นรัฐจำเป็นที่จะต้องเร่งคลอดมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนโดยด่วน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการหากรัฐบาลไม่มีมาตรการจะส่งผลร้ายคือการล้มละลายทางเศรษฐกิจ และสังคม รัฐบาลต้องเร่งเยียวยาประชาชนโดยด่วน หากไม่ทำอะไรเลย เชื่อว่าประชาชนจะได้รับผลกระทบหนัก ทั้งนี้เชื่อว่าในปีนี้คนตกงานและการฆ่าตัวตายรายวันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่