อุทกูปมสูตร
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบด้วยน้ำ ๗ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๗ จำพวก เป็นไฉน
- บุคคลบางคนในโลกนี้ จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจมอยู่นั่นเอง ๑
- บางคนโผล่ขึ้น มาแล้ว กลับจมลงไป ๑
- บางคนโผล่พ้นแล้วทรงตัวอยู่ ๑
- บางคนโผล่ขึ้นแล้วเหลียวไปมา ๑
- บางคนโผล่ขึ้นแล้วเตรียมตัวจะข้าม ๑
- บางคนโผล่ขึ้นแล้วได้ที่พึ่ง ๑
- บางคนโผล่ขึ้นมาได้แล้ว เป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
1. ก็บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจม อยู่นั่นเองอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำโดยส่วนเดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจมอยู่นั่นเองอย่างนี้แล ฯ
2. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้กลับจมลงไปอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ
เขามีธรรม คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะวิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาของเขานั้น ไม่คงที่ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้น มาแล้วกลับจมลงอย่างนี้แล ฯ
3. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วทรงตัวอยู่อย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ
เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ
ในกุศล ธรรมทั้งหลาย แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้ แล้วทรงตัวอยู่อย่างนี้แล ฯ
4. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียวไปมาอย่างไร
บุคคลบางคนใน โลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปเขาเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา <-------โสดาบัน
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียว ไปมาอย่างนี้แล ฯ
5. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเตรียมตัวจะข้ามอย่างไร
บุคคลบางคน ในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบา บางลง เขาเป็นพระสกทาคามี
มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น
แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลที่โผล่ขึ้น มาได้แล้วเตรียมตัวจะข้ามอย่างนี้แล ฯ
6. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะวิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ ในกุศล
ธรรมทั้งหลาย
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕สิ้นไป เขาเป็นพระอนาคามี จักปรินิพพานในภพนั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างนี้แล ฯ
7. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เขากระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหา อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
บุคคลที่ โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบ ด้วยน้ำ ๗ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
จบสูตรที่ ๕
https://etipitaka.com/read/thai/23/11/
สรุป...ตอนที่ 13..นี้ <-----อันนี้ความเห็นผมเอง....ผู้อื่นอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างจากผม...ก็กรุณาแนะนำได้เลย ครับ
1. บุคคลที่ตกน้ำแล้วจมเลย...ก็ได้แก่คนที่ประกอบแต่กรรมชั่วอัน..ไร้ศีลธรรม ไม่รู้ว่าอะไรดี-ไม่ดี
ซึ่งอาจจะเป็นผู้มั่งมี..หรือ..ผู้ที่มีการศึกษาดีในมางโลกก็ตาม เราเหล่านั้นก็จะเข้ากับ
กลุ่มคน 2 กลุ่ม คือ ผู้มาทั้งสว่าง..และ..มืด...แต่กลับไปมืด คติของเข้าเหล่านั้นคือไปทางต่ำไม่เจริญ
อบายก็เป็นที่หมายได้...อย่างไม่ต้องสงสัย
2. บุคคลที่ตกน้ำที่โผล่มาที่ผิวน้ำได้...แต่ต่อมากลับจมลงไป...ก็ได้แก่ผู้ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมในเบื้องต้น
แต่เพราะเป็นผู้ที่มิได้สดับพระสัทธรรมอย่างถ่องแท้.. จนทำให้..สัทธามั่งคงได้... อินทรีย์และพละทั้ง 5
ไม่มั่นคง...ก็ไม่สามารถต่อสู้กับอำนาจอันใผ่ต่ำนั้นได้ พระศาสดาท่านจึงกล่าวว่า " สัทธาไม่คงที่ "...
สุดท้ายผู้นี้ก็หนีไม่พ้นอบาย...
3. บุคคลที่ตกน้ำแล้วลอยตัวอยู่ได้...พวกนี้ มีสัทธาที่คงที่แต่ก็ไม่เจริญ... ไม่มีความสามารถพาตัวเองไปสู่
ความหยั่งลงมั่นใน..พนะพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ได้ อันนี้ก็เนื่องจากการไร้การฟังพระสัทธรรม..
หรือ...เมื่อฟังธรรมก็ไม่สามารถแยกแยะว่าอันไหนคือ พระสัททธรรมที่พระศาสดากล่าว อันไหนไม่ใข่...
มันก็ไม่สามารถหยั่งลงสู่สมมัตตนิยยามได้... แต่เขาก็ไม่ไปสู่อบาย..สุขคติเป็นที่ไปในสัมปราย..
เพราะสัมมาทิฏฐิเบื้องต้นมีอยู่---อินทรีย์-พละทั้ง๕...ก็แค่ทรงตัว...ไม่เจริญจนสามารถก้าวไปสู่สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยได้
5. บุคคลที่ตกน้ำแล้วโผล่ขึ้นมาได้..เลี้ยงตัวเองบนผิวน้ำ...แล้วก็ยังสามารถ..มองไปรอบเพื่อหาว่าฝั่งมันอยู่ตรงไหน
ในที่สุดบุคคลเหล่านี้กำหนดจะสามารถหมาย " ฝั่ง " ----ซึ่งก็คือ " นิพพาน " ได้....และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร...ถึงจะเข้าสู่ฝั่งได้
พระศาสดาท่านจึงกล่าวว่า....เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน.... เคยคิดบ้างไหมในคำของพระศาสดาที่ว่า..
" สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มหาภูต4..ปฐพีนี้-ภูเขา-แม่น้ำ-โลก-จักรวาล..นี่ก็เสื่อมสลายไป "
แต่...แต่พระองค์กับกล่าวว่า
" ความเป็นโสดาบัน...นั้น
เที่ยง....เที่ยงแท้ต่อนิพพาน " ---- แสดงว่ามันมีความเป็นอมตะซ่อนอยู่(อันนี้...ผมคิดเอง)
ปล. เพราะพระศาสดาท่านกล่วว่า " นิพพาน คือ อมตะ---เป็นที่ความตายดับไป..หมดไป "
6. บุคคลที่ตกน้ำ...ลอยตัวอยู่ได้..รู้ว่าฝั่งอยู่ทางไหน...และ...ออกว่ายเข้าสู่ฝั่ง...
พระองค์ใช้คำว่า " อุมฺมุชฺชิตฺวา ปตรติ " อุมฺมุชฺชิตฺวา---โผล่ขึ้น ปตรติ---ข้ามไป(ออกว่าย)
คือผู้ที่สังโยชน์สิ้นไปแล้ว...และดำเดินมรรค8...ได้ผลแห่งการปฏิบัติที่ทำให้...ราคะ-โทสะ-โมหะ..ที่เบาบ้างลง
ในที่สุดก็จะทำให้...กาม-พยาบาท...สิ้นลง เข้าสู่ภูมิอนาคามี
7. บฺุคลนี้..จากการว่ายเข้าฝั่ง...แล้วเข้ามาอยู่ในที่ตื้นได้แล้ว...เท้าถึงพื้นแล้ว ท่านถึงฝั่งแต่ก็ยังไม่ขึ้นมาจากน้ำ
ท่านยังละภพไม่ได้... เพราะ..รูปราคะ-อรูปราคะ-มานะ-อุทธัจจะ-อวิชชา...ยังทำลายไม่ได้... แต่เพราะเป็นผู้สามารถ
ทำลายสังโยขน์เบื้องต่ำ 5 ไปได้... ก็จะไปสู่สุทธาวาส...และจะปรินิพพานในภพนั้น
8. บุคคลที่ขึ้นมาจากน้ำได้..ยืนอยู่บนฝั่งแล้ว... นั่นคือพระอรหันต์อย่างไม่ต้องสงสัย...
ท่านบรรลุอนัตริยกิจแล้ว... เป็นอิสระต่อพันธนาการของสังโยชน์แล้ว ชาติสิ้นแล้ว...เป็นอมตะ...
ไม่มีความตาย..อีกต่อไป ความทุกข์จะไม่มีอีกต่อไป..เพราะนามรูปถูกทำลายแล้ว--โดยการทำลายแห่งวิญญาณ
9. จากทั้งหมด...ผู้ที่น่าเป็นห่วงก็คือ... 1. ตกน้ำแล้วจมเลย 2. โผล่ขึ้นมาแล้วจม และ 3.ผู้ที่แค่ลอยตัวอยู่ได้
ผมเห็นว่า...ผู้ที่ลอยตัวอยู่ได้นี่....ถ้าเดินทางผิดก็จมอยู่ดี แต่หากฟังพระสัทธรรมที่ถูกต้องก็จะเป็นผู้ที่เหลี่ยวดูรอบๆเพื่อที่จะหาฝั่งได้
พระศาสดาท่านจึงกล่าวว่า " สุตต "...การฟังการจำพระสัทธรรมนั้นจะทำให้ผู้นั้นไปสู่ความเจริณ..ไม่ถึงความเสื่อม
ก็คนมีความรู้ความเข้าใจ...ต่อมาเขาก็จะสามารถหาความสมดุลย์แห่งธรรม..และตั้งตนไว้ในธรรมได้...
ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้
- เป็นผู้มีราคะกล้า (..และมักโกรธ..และฟุ้นซ้าน..ก็กล่าวในแบบเดียวกัน)
-
ทั้งไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งราคะของเขา ตามความเป็นจริง
-
บุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ
- ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย
-
เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียวไม่ถึงความเจริญ
ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้
- เป็นผู้มีราคะกล้า (..และมักโกรธ..และฟุ้นซ้าน..ก็กล่าวในแบบเดียวกัน)
-
แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งราคะของเขาตามความเป็นจริง
-
บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ
- ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย
-
เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียวไม่ถึงความเสื่อม
ทสก.อํ. ๒๔/๑๒๓/๗๕.
10. โสดาบัน...พระศาสดาท่านเปรียบกับ.....ผู้ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้...ลอยตัวอยู่ได้...เหลียวดูหาฝั่ง..
สามารถกำหนดหมายในฝั่งที่จะไปได้ แต่ก็ยังไม่ออกว่าย.... ผู้ที่จะออกว่ายก็คือ...สกทาคามี
ผมมีความเห็นว่า...พระโสดาบันท่านปฏิบัติธรรมอย่างไม่เข็มเท่าสกทาคามี...และอนาคามีบุคคล
ทั่ง 3 อริยบุคคนนี้..ท่านสามารถที่จะอยู่ในเพศคฤหัสถ์...แต่อนาคามีท่านก็จะอยู่คล้ายๆกับนักบวชแล้ว
การยินดีในทอง-เงิน...สมบัติลูกเมียนี่แทบจะไม่มีแล้ว... ดังท่านจิตตคฤหบดีและท่านฆติการะช่างปั้นหม้อ
สกทาคามีนี่...จะปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดแม้นในเพศฆารวาส...จะมีความมุ่งมั่นมากกว่าพระโสดาบัน
ส่วนโสดาบัน...แม้นทิฏฐิสมบรูณ์..แต่ วิริยะ-สติ-สมาธิ-ปัญญา...ยังไม่แกร่งกล้า
ยังมีความอยากได้อยากมีอยู่บ้าง... ความโกรธก็ทะลุออกมาได้เพราะสติไม่ทัน...
การหลงในกามคุณอันผัสสะกระทบก็มีได้ก็เพราะสติไม่ทัน
ยังมีความเศร้าโศกอย่างกับปุถุชน...แต่ไม่เหมือนปุถุชน...เพราะสุดท้ายพระสัทธรรมที่พระโสดาบันท่านจำไว้ทรงไว้...
ก็จะมาช่วยเป็นอาวุธมาช่วยท่านประหารกิเสลนั้นๆเรื่องนั้นๆ..จนได้ในที่สุด
ปล. ไม่ต้องพูดถึงภิกษุ...เพราะท่านจะปฏิบัติธรรมอย่างเข็มแข็ง...อาจจะ pass จากโสดาบันไปสู่อรหันต์ได้ในเวลาอันสั้น
11. ส่วนผู้ที่ปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นแล้ว.... ก็ต้องควรลงสำรวจ..ดูตนเองว่าเรานั้น...
"
กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ---หรือยัง? "
"
และ... สิ่งที่ตนรู้นะ.. เป็นพระสัทธรรมของพระศาสดาหรือไม่? "
การปฏิบัติผิดลองพิจารณสังเกตุอย่างนี้ดู ครับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- ศรัทธาก็ดี
- การเข้าไปใกล้ก็ดี
- การนั่งใกล้ก็ดี
- การเงี่ยโสตลงก็ดี
- การฟังธรรม ก็ดี
- ความพิจารณาเนื้อความก็ดี <--------******
- ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี
- ฉันทะก็ดี
- อุตสาหะก็ดี
- การไตร่ตรองก็ดี <--------******
- การตั้งความเพียรก็ดี
นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว เ
ธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด <----******
https://etipitaka.com/read/thai/13/182/
ปล. รวมหัวข้อ..
- โสดาบัน....ตอนที่ 1 - 12 ....
https://ppantip.com/profile/5447057#topics
โสดาบัน....ตอนที่ 13.....โสดาบัน...คือผู้ตกน้ำแล้วไม่จม..แต่ก็แค่เหลียวมองรอบ..ยังไม่ออกว่ายเข้าฝั่ง
อุทกูปมสูตร
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบด้วยน้ำ ๗ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๗ จำพวก เป็นไฉน
- บุคคลบางคนในโลกนี้ จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจมอยู่นั่นเอง ๑
- บางคนโผล่ขึ้น มาแล้ว กลับจมลงไป ๑
- บางคนโผล่พ้นแล้วทรงตัวอยู่ ๑
- บางคนโผล่ขึ้นแล้วเหลียวไปมา ๑
- บางคนโผล่ขึ้นแล้วเตรียมตัวจะข้าม ๑
- บางคนโผล่ขึ้นแล้วได้ที่พึ่ง ๑
- บางคนโผล่ขึ้นมาได้แล้ว เป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
1. ก็บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจม อยู่นั่นเองอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำโดยส่วนเดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจมอยู่นั่นเองอย่างนี้แล ฯ
2. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้กลับจมลงไปอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือเขามีธรรม คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะวิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาของเขานั้น ไม่คงที่ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้น มาแล้วกลับจมลงอย่างนี้แล ฯ
3. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วทรงตัวอยู่อย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ
ในกุศล ธรรมทั้งหลาย แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้ แล้วทรงตัวอยู่อย่างนี้แล ฯ
4. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียวไปมาอย่างไร
บุคคลบางคนใน โลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปเขาเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา <-------โสดาบัน
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียว ไปมาอย่างนี้แล ฯ
5. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเตรียมตัวจะข้ามอย่างไร
บุคคลบางคน ในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบา บางลง เขาเป็นพระสกทาคามี
มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น
แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลที่โผล่ขึ้น มาได้แล้วเตรียมตัวจะข้ามอย่างนี้แล ฯ
6. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะวิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ ในกุศล
ธรรมทั้งหลาย
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕สิ้นไป เขาเป็นพระอนาคามี จักปรินิพพานในภพนั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างนี้แล ฯ
7. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เขากระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหา อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
บุคคลที่ โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบ ด้วยน้ำ ๗ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
จบสูตรที่ ๕
https://etipitaka.com/read/thai/23/11/
สรุป...ตอนที่ 13..นี้ <-----อันนี้ความเห็นผมเอง....ผู้อื่นอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างจากผม...ก็กรุณาแนะนำได้เลย ครับ
1. บุคคลที่ตกน้ำแล้วจมเลย...ก็ได้แก่คนที่ประกอบแต่กรรมชั่วอัน..ไร้ศีลธรรม ไม่รู้ว่าอะไรดี-ไม่ดี
ซึ่งอาจจะเป็นผู้มั่งมี..หรือ..ผู้ที่มีการศึกษาดีในมางโลกก็ตาม เราเหล่านั้นก็จะเข้ากับ
กลุ่มคน 2 กลุ่ม คือ ผู้มาทั้งสว่าง..และ..มืด...แต่กลับไปมืด คติของเข้าเหล่านั้นคือไปทางต่ำไม่เจริญ
อบายก็เป็นที่หมายได้...อย่างไม่ต้องสงสัย
2. บุคคลที่ตกน้ำที่โผล่มาที่ผิวน้ำได้...แต่ต่อมากลับจมลงไป...ก็ได้แก่ผู้ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมในเบื้องต้น
แต่เพราะเป็นผู้ที่มิได้สดับพระสัทธรรมอย่างถ่องแท้.. จนทำให้..สัทธามั่งคงได้... อินทรีย์และพละทั้ง 5
ไม่มั่นคง...ก็ไม่สามารถต่อสู้กับอำนาจอันใผ่ต่ำนั้นได้ พระศาสดาท่านจึงกล่าวว่า " สัทธาไม่คงที่ "...
สุดท้ายผู้นี้ก็หนีไม่พ้นอบาย...
3. บุคคลที่ตกน้ำแล้วลอยตัวอยู่ได้...พวกนี้ มีสัทธาที่คงที่แต่ก็ไม่เจริญ... ไม่มีความสามารถพาตัวเองไปสู่
ความหยั่งลงมั่นใน..พนะพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ได้ อันนี้ก็เนื่องจากการไร้การฟังพระสัทธรรม..
หรือ...เมื่อฟังธรรมก็ไม่สามารถแยกแยะว่าอันไหนคือ พระสัททธรรมที่พระศาสดากล่าว อันไหนไม่ใข่...
มันก็ไม่สามารถหยั่งลงสู่สมมัตตนิยยามได้... แต่เขาก็ไม่ไปสู่อบาย..สุขคติเป็นที่ไปในสัมปราย..
เพราะสัมมาทิฏฐิเบื้องต้นมีอยู่---อินทรีย์-พละทั้ง๕...ก็แค่ทรงตัว...ไม่เจริญจนสามารถก้าวไปสู่สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยได้
5. บุคคลที่ตกน้ำแล้วโผล่ขึ้นมาได้..เลี้ยงตัวเองบนผิวน้ำ...แล้วก็ยังสามารถ..มองไปรอบเพื่อหาว่าฝั่งมันอยู่ตรงไหน
ในที่สุดบุคคลเหล่านี้กำหนดจะสามารถหมาย " ฝั่ง " ----ซึ่งก็คือ " นิพพาน " ได้....และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร...ถึงจะเข้าสู่ฝั่งได้
พระศาสดาท่านจึงกล่าวว่า....เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน.... เคยคิดบ้างไหมในคำของพระศาสดาที่ว่า..
" สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มหาภูต4..ปฐพีนี้-ภูเขา-แม่น้ำ-โลก-จักรวาล..นี่ก็เสื่อมสลายไป "
แต่...แต่พระองค์กับกล่าวว่า
" ความเป็นโสดาบัน...นั้น เที่ยง....เที่ยงแท้ต่อนิพพาน " ---- แสดงว่ามันมีความเป็นอมตะซ่อนอยู่(อันนี้...ผมคิดเอง)
ปล. เพราะพระศาสดาท่านกล่วว่า " นิพพาน คือ อมตะ---เป็นที่ความตายดับไป..หมดไป "
6. บุคคลที่ตกน้ำ...ลอยตัวอยู่ได้..รู้ว่าฝั่งอยู่ทางไหน...และ...ออกว่ายเข้าสู่ฝั่ง...
พระองค์ใช้คำว่า " อุมฺมุชฺชิตฺวา ปตรติ " อุมฺมุชฺชิตฺวา---โผล่ขึ้น ปตรติ---ข้ามไป(ออกว่าย)
คือผู้ที่สังโยชน์สิ้นไปแล้ว...และดำเดินมรรค8...ได้ผลแห่งการปฏิบัติที่ทำให้...ราคะ-โทสะ-โมหะ..ที่เบาบ้างลง
ในที่สุดก็จะทำให้...กาม-พยาบาท...สิ้นลง เข้าสู่ภูมิอนาคามี
7. บฺุคลนี้..จากการว่ายเข้าฝั่ง...แล้วเข้ามาอยู่ในที่ตื้นได้แล้ว...เท้าถึงพื้นแล้ว ท่านถึงฝั่งแต่ก็ยังไม่ขึ้นมาจากน้ำ
ท่านยังละภพไม่ได้... เพราะ..รูปราคะ-อรูปราคะ-มานะ-อุทธัจจะ-อวิชชา...ยังทำลายไม่ได้... แต่เพราะเป็นผู้สามารถ
ทำลายสังโยขน์เบื้องต่ำ 5 ไปได้... ก็จะไปสู่สุทธาวาส...และจะปรินิพพานในภพนั้น
8. บุคคลที่ขึ้นมาจากน้ำได้..ยืนอยู่บนฝั่งแล้ว... นั่นคือพระอรหันต์อย่างไม่ต้องสงสัย...
ท่านบรรลุอนัตริยกิจแล้ว... เป็นอิสระต่อพันธนาการของสังโยชน์แล้ว ชาติสิ้นแล้ว...เป็นอมตะ...
ไม่มีความตาย..อีกต่อไป ความทุกข์จะไม่มีอีกต่อไป..เพราะนามรูปถูกทำลายแล้ว--โดยการทำลายแห่งวิญญาณ
9. จากทั้งหมด...ผู้ที่น่าเป็นห่วงก็คือ... 1. ตกน้ำแล้วจมเลย 2. โผล่ขึ้นมาแล้วจม และ 3.ผู้ที่แค่ลอยตัวอยู่ได้
ผมเห็นว่า...ผู้ที่ลอยตัวอยู่ได้นี่....ถ้าเดินทางผิดก็จมอยู่ดี แต่หากฟังพระสัทธรรมที่ถูกต้องก็จะเป็นผู้ที่เหลี่ยวดูรอบๆเพื่อที่จะหาฝั่งได้
พระศาสดาท่านจึงกล่าวว่า " สุตต "...การฟังการจำพระสัทธรรมนั้นจะทำให้ผู้นั้นไปสู่ความเจริณ..ไม่ถึงความเสื่อม
ก็คนมีความรู้ความเข้าใจ...ต่อมาเขาก็จะสามารถหาความสมดุลย์แห่งธรรม..และตั้งตนไว้ในธรรมได้...
ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้
- เป็นผู้มีราคะกล้า (..และมักโกรธ..และฟุ้นซ้าน..ก็กล่าวในแบบเดียวกัน)
- ทั้งไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งราคะของเขา ตามความเป็นจริง
- บุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ
- ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย
- เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียวไม่ถึงความเจริญ
ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้
- เป็นผู้มีราคะกล้า (..และมักโกรธ..และฟุ้นซ้าน..ก็กล่าวในแบบเดียวกัน)
- แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งราคะของเขาตามความเป็นจริง
- บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ
- ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย
- เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียวไม่ถึงความเสื่อม
ทสก.อํ. ๒๔/๑๒๓/๗๕.
10. โสดาบัน...พระศาสดาท่านเปรียบกับ.....ผู้ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้...ลอยตัวอยู่ได้...เหลียวดูหาฝั่ง..
สามารถกำหนดหมายในฝั่งที่จะไปได้ แต่ก็ยังไม่ออกว่าย.... ผู้ที่จะออกว่ายก็คือ...สกทาคามี
ผมมีความเห็นว่า...พระโสดาบันท่านปฏิบัติธรรมอย่างไม่เข็มเท่าสกทาคามี...และอนาคามีบุคคล
ทั่ง 3 อริยบุคคนนี้..ท่านสามารถที่จะอยู่ในเพศคฤหัสถ์...แต่อนาคามีท่านก็จะอยู่คล้ายๆกับนักบวชแล้ว
การยินดีในทอง-เงิน...สมบัติลูกเมียนี่แทบจะไม่มีแล้ว... ดังท่านจิตตคฤหบดีและท่านฆติการะช่างปั้นหม้อ
สกทาคามีนี่...จะปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดแม้นในเพศฆารวาส...จะมีความมุ่งมั่นมากกว่าพระโสดาบัน
ส่วนโสดาบัน...แม้นทิฏฐิสมบรูณ์..แต่ วิริยะ-สติ-สมาธิ-ปัญญา...ยังไม่แกร่งกล้า
ยังมีความอยากได้อยากมีอยู่บ้าง... ความโกรธก็ทะลุออกมาได้เพราะสติไม่ทัน...
การหลงในกามคุณอันผัสสะกระทบก็มีได้ก็เพราะสติไม่ทัน
ยังมีความเศร้าโศกอย่างกับปุถุชน...แต่ไม่เหมือนปุถุชน...เพราะสุดท้ายพระสัทธรรมที่พระโสดาบันท่านจำไว้ทรงไว้...
ก็จะมาช่วยเป็นอาวุธมาช่วยท่านประหารกิเสลนั้นๆเรื่องนั้นๆ..จนได้ในที่สุด
ปล. ไม่ต้องพูดถึงภิกษุ...เพราะท่านจะปฏิบัติธรรมอย่างเข็มแข็ง...อาจจะ pass จากโสดาบันไปสู่อรหันต์ได้ในเวลาอันสั้น
11. ส่วนผู้ที่ปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นแล้ว.... ก็ต้องควรลงสำรวจ..ดูตนเองว่าเรานั้น...
" กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ---หรือยัง? "
" และ... สิ่งที่ตนรู้นะ.. เป็นพระสัทธรรมของพระศาสดาหรือไม่? "
การปฏิบัติผิดลองพิจารณสังเกตุอย่างนี้ดู ครับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- ศรัทธาก็ดี
- การเข้าไปใกล้ก็ดี
- การนั่งใกล้ก็ดี
- การเงี่ยโสตลงก็ดี
- การฟังธรรม ก็ดี
- ความพิจารณาเนื้อความก็ดี <--------******
- ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี
- ฉันทะก็ดี
- อุตสาหะก็ดี
- การไตร่ตรองก็ดี <--------******
- การตั้งความเพียรก็ดี
นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว เธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด <----******
https://etipitaka.com/read/thai/13/182/
ปล. รวมหัวข้อ..
- โสดาบัน....ตอนที่ 1 - 12 ....https://ppantip.com/profile/5447057#topics