ย้อนรอยเหตุการณ์วางระเบิดเครื่องบินครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน ภาค 1

ผ่านมาได้ 35 ปีแล้วนะครับ หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้น และวันพรุ่งนี้จะครบรอบ 32 ปีที่เหตุการณ์ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีได้เกิดขึ้น และเราจะไปติดตามเรื่องราวนี้กันอีกครั้งกันครับ 

ถ้าใครขึ้นนั่งเครื่องบินบางคนก็ต้องน่าจะเคยเจอประสบการณ์เครื่องดีเลย์เพราะผู้โดยสารที่โหลดกระเป๋าขึ้นมาแล้วไม่ยอมขึ้นเครื่อง จนบางครั้ง พนักงานสายการบินต้องพลิกทั้งสนามบินตามหากันให้วุ่นหรือเอาสัมภาระ ก็เนื่องจากเหตุการณ์ที่เรากำลังจะไปติดตามกันครับ และต้องบอกว่าเหตุการณ์นี้คนไทยโชคดีด้วยเพราะถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ มันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของประเทศไทยได้เลย 

เข้าใจนะครับว่าตอนนี้หลายๆ คนคงไม่อยากจะเรื่องราวอะไรมากกว่าเหตุการณ์ในสมุทรสาครตอนนี้ แต่ผมก็ใช้เวลาเขียนบทความนี้กว่า 1 เดือนก็อยากที่จะนำเสนอต่อไปครับ

นี่คือเรื่องจริงอ้างอิงจากรายงานอย่างเป็นทางการและบทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง


เช้าตรู่ วันที่ 23 มิถุนายน ปี 1985 สายการบิน แอร์ อินเดีย เที่ยวบินที่ 182 กำลัง เดินทางจากโทรอนโต้ ประเทศแคนาดา มุ่งสู่ลอนดอนก่อนจะบินต่อไปยัง นิวเดลี ประเทศอินเดีย


เครื่อง 747 ลำนี้ มีชื่อว่า Emperor Kanishka ตั้งตามชื่อพระจักรพรรดิของอินเดีย โดยแอร์ อินเดีย เวลานั้นให้บริการผู้โดยสารด้วยสโลแกนที่ว่า มันจะเปรียบดั่งพระราชวังกลางอากาศ


นักบินประจำเที่ยวบิน คือ Hanse Singh Narendra และ Satwinder Singh Bhinder ทั้ง 2 คนเป็นกัปตัน แต่วันนี้ Bhinder เป็นนักบินที่ 1 


พวกเขากำลังบินอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก เที่ยวบินนี้บินมาได้ 4 ชั่วโมงครึ่งแล้ว มีผู้โดยสาร 307 คนรวมลูกเรือ 22 เป็น 329 คน 
เวลา 8 นาฬิกา 6 นาที FO ติดต่อไปยังหอควบคุมการจราจรทางอากาศไอซ์แลนด์ วันนี้หอควบคุม งานเบามากมีเครื่องเพียง 3 ลำในเส้นทางเท่านั้น


ทุกอย่างดูจะปกติแต่เจ้าหน้าที่ก็พบสัญญาณบนหน้าจอเรดาห์รวน เพราะทั้ง 3 ลำกำลังมุ่งหน้าไปตะวันออกจนบินซ้อนกันพอดีจนไม่อาจรับสัญญาณได้ โดย 3 เที่ยวบินดังกล่าวประกอบไปด้วย 

แอร์ อินเดีย 182 ที่ระดับ 31,000 ฟิต 
ทรานส์ เวิลด์ แอร์ไลน์ส 770 อยู่ที่ 35,000 ฟิต 
แคเนเดียน แปซิฟิก 282  อยู่ที่ 37,000 ฟิต 


สิ่งที่พวกเขาทำก็แค่ปรับตัวรับสัญญาณไม่ให้เครื่องอยู่ซ้อนกันจากนั้นทุกอย่างก็ตามปกติ แต่หลังจากพวกเขาปรับมัน พวกเขาก็สังเกตเห็นว่า เครื่อง แอร์ อินเดีย ได้หายไป 


ถึงแม้พวกเขาจะติดต่อไปหลายครั้งก็ไม่มีการตอบกลับเป็นช่วง 8 นาฬิกา 14 นาที เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่วันนั้น Micael Quinn ไม่สบายใจและแจ้งทีมค้นหาออกค้นหาในทันที โดยปกติแล้วการแจ้งหน่วยค้นหานั้นจะทำหลังจากเครื่องหายไป 20 นาทีขึ้นไป แต่รอบนี้เครื่องหายไปเพียง 60 วินาทีเท่านั้น พวกเขาก็แจ้งทีมกู้ภัยแล้ว


พิกัดสุดท้ายห่างจาก เมือง Cork ประเทศอังกฤษ ไป 290 กิโลเมตร ทางตะวันตกเฉียงใต้ 

ผ่านไปเพียง 2 ชั่วโมง เรือบรรทุกสินค้าในพื้นที่แถวนั้นก็ยืนยันข่าวร้าย ซากเครื่องชิ้นแรกถูกค้นพบ เสื้อชูชีพไม่พองลมพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณ  ไม่มีผู้รอดชีวิต 


จากการชันสูตรพวกเขาพบว่า เครื่องอาจแยกส่วนกลางอากาศ ผู้โดยสารถูกเหวี่ยงไปในอากาศนานหลายนาที ทีมสืบสวนเจองานหนักกว่าทุกครั้งเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย มีทางเดียวพวกเขาต้องหากล่องดำให้เจอและมีเวลาเพียง 30 วันก่อนพิงเกอร์หรือแบตเตอรี่ตัวส่งสัญญาณจะหมด  


พวกเขาพบจุดที่สัญญาณวิทยุสูงกว่าจุดอื่น ที่คลื่นความถี่ที่ 42  กิโลเฮิร์ตซ์ แม้จะไม่มั่นใจแต่พวกเขาก็ได้ข้อมูลสำคัญว่า กล่องดำนั้นทำมาจาก เซรามิก ถ้ามันเสียหายความถี่ที่ได้ก็อาจจะเปลี่ยนไป พวกเขาจึงมีความหวังว่า เจ้า  42  กิโลเฮิร์ตซ์ นั่นอาจจะเป็นกล่องดำที่ตามหา

และ H.S. Khola จะรับหน้าที่การสืบสวนครั้งนี้ 


ระหว่างรอเก็บกู้ พวกเขาก็พบข้อมูลสำคัญจากบันทึกการซ่อมบำรุง เครื่อง 747 ลำนี้มีเครื่องยนต์ 5 ตัว
 
747 มีจุดเด่นตรงสามารถบรรทุกเครื่องยนต์ได้มากกว่า 4 ตัวในกรณีนี้แอร์อินเดีย บรรทุกเครื่องยนต์ที่ชำรุด มาจากเที่ยวบินก่อนหน้า ทีมสืบสวนจึงเกิดทฤษฎีว่า การที่มีเครื่องยนต์เสริมจะส่งผลให้มันเทน้ำหนักไปฝั่งใดฝั่งนึงทำให้เครื่องฉีกกลางอากาศได้ไหม ? 


พวกเขาพบว่าตอนที่เครื่องยนต์ตัวที่ 5 ถูกถอดมาติดไว้นั้นพวกเขาเจอปัญหาเล็กน้อยตอนติดตั้งอีกทั้งชิ้นส่วน บางตัวถูกถอดออกไปเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระ มันมีขนาดใหญ่มากจนต้องถอดประตูออก แม้จะเป็นเรื่องปกติแต่ถ้าพวกเขาประกอบประตูกลับไปไม่ดีก็อาจทำให้เครื่องแตกออกได้แต่

 ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ทฤษฎีทั้งหมดนี้ หลักฐานจะปรากฏจากกล่องดำ  การค้นหาจึงสำคัญมากขึ้น


ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเก็บกู้กล่องดำขึ้นมาได้  แต่เทปบันทึกเสียงก็เปิดเผยข้อมูลออกมาว่า 747 ไม่มีปัญหาอะไรเลย  การบินเป็นไปตามปกติ รวมทั้งบันทึกข้อมูลด้วย  เครื่องยนต์เสริมทำให้เครื่องเอียงไปเล็กน้อย แต่หางเสือก็เอียงไปทางขวาที่ 11 องศา ซึ่งถูกต้อง แต่ที่น่าสนใจก็คือ กล่องดำทั้ง 2 ตัวนั้นหยุดทำงานพร้อมกัน 


ถึงแม้จะไม่มีร่องรอยอะไรเลย ก็ตามที  ทีมสืบสวนก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าการที่กล่องดำทั้ง 2 ตัวหยุดทำงานที่เวลา 8 นาฬิกา 14 นาที 01 วินาที พร้อมกันนั้น แสดงว่าปัญหาที่เกิดกับเที่ยวบิน 182 ต้องแรงพอจะไปตัดไฟกล่องดำทั้ง 2 ตัวได้

สาเหตุตอนนี้ไม่เพราะความดันอากาศต่ำก็ต้องเป็นระเบิด 

เมื่อซากลอยน้ำที่เก็บกู้ได้มาก่อนหน้าไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดเจน เมื่อไม่มีทางเลือกพวกเขาจึงจำเป็นต้องเก็บกู้ซากใต้น้ำขึ้นมาซึ่งมีพื้นที่กว้างถึง 6 กิโลเมตร ยาว 16 กิโลเมตร และรู้ดีว่าการเก็บกู้ซากเครื่องทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้เพราะการจะเก็บกู้เพียงชิ้นเดียวก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงแล้ว พวกเขาจึงต้องถ่ายวิดีโอจากกล้องใต้น้ำและพิจารณาว่าชิ้นไหนควรที่จะเก็บกู้ขึ้นมา 


ระหว่างการสืบสวนที่ไอซ์แลนด์ดำเนินต่อไป ตำรวจแคนาดา ก็พบสิ่งที่น่าสนใจเข้า พวกเขาพบชื่อผู้โดยสารคนหนึ่งที่เดินทางจาก แวนคูเวอร์ เขามีชื่อว่า Singh M. และไม่ใช่ชื่อเต็ม ตำรวจจึงเชื่อว่าเป็นชื่อปลอมและเขาได้เช็กอินขึ้นเครื่องแต่ไม่ได้ขึ้นเครื่องไปด้วย 


นายคนนี้มาเช็กอินไป โทรอนโต้ และขอให้ส่งผ่านกระเป๋าต่อไปยังนิวเดลี โดยเขาเช็กอินกับ พนักงาน เจนนี่ อดัม
แต่เธอปฏิเสธการส่งต่อกระเป๋าไปนิวเดลี เนื่องจากเขามีตั๋วยืนยันแค่ไป โทรอนโต้ ในขณะที่นิวเดลียังเป็นตั๋วแสตนบาย แต่นายซิงห์ ก็ยังยืนยันว่าตั๋วคอนเฟิร์มแล้ว และจะเรียกพี่ชายมามาจัดการ


จุดเช็กอิน ยังเหลือคิวรออีกถึง 30 คน เจนนี่ ไม่มีเวลาที่จะรอพี่ชายของนายซิงห์ขนาดนั้นเธอจึงต้องทำให้และแนะนำให้เขาเช็กอินกับแอร์ อินเดีย อีกครั้ง และไม่มีใครสังเกตเห็นว่า เขาไม่ได้ขึ้นเครื่องไป และถึงแม้เขาจะไม่มีตั๋วไปอินเดียกระเป๋า ก็ยังคงถูกโหลดขึ้น 

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่