ตำนานรัก ข้ามจักรวาล......บทที่ 6 (ข่าวร้าย)

กระทู้สนทนา


บทที่ 5
https://ppantip.com/topic/40387075

ท้ายบทที่แล้ว
             ดูเหมือนว่าชีวิตของผมกำลังปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อผมตื่นขึ้นและออกมาห้องบังคับการตามปกติ จอห์นทักทายตามปกติเช่นกัน
              เพียงแต่คำพูดต่อมา ทำให้ผมสะดุ้ง
             “เฮเว่น ผมมีข่าวร้ายจะบอกคุณ”

..........................

             ผมเริ่มใจหาย แต่แสร้งทำสีหน้าเป็นปกติ ไม่อยากให้จอห์นเห็นว่าผมตกใจ กลัวจะเสียอิมเมจต่อหน้าโปรแกรม  แต่ยังถามเสียงเอื่อยเฉื่อย 

              “ข่าวร้ายอะไรว่ามาเลย”

             “มาเรียบอกว่าระบบพลังงานของแทนยา กำลังลดเวลามุ่งหน้าไปสู่หายนะครับ”

             “พูดให้มันง่ายกว่านี้หน่อยได้ไหม ไอ้คุณจอห์น” ใจยังนึกว่าจอห์นเล่นมุก

             “ได้ครับท่าน”  ดูมันพูด...ผมนึกอย่างขบขันกึ่งฉิว  ก่อนหน้านี้จอห์นไม่เคยเรียกว่าผมว่า ‘ท่าน’ สงสัยเป็นฝีมือของมาเรียแน่เลย โปรแกรมตัวแสบเงียบไปนิดหนึ่ง จึงส่งเสียงต่อไปด้วยคลื่นเสียงจริงจัง

             “เรา...หมายคงผมกับมาเรียพบว่า ระบบพลังงานในการเดินทางของแทนยากำลังเริ่มจะมีปัญหาครับ”

             “ซวยละ...” คราวนี้ผมหลุดอุทานออกมาจนได้ ถ้าคลื่นเสียงลักษณะนี้หมายถึงว่าจอห์นพูดข้อมูลจริง ความรู้สมัยเด็กเกี่ยวกับปฏิสสารหลั่งไหลเข้ามาในความคิดทันที

             ระบบพลังงานในการเดินทางของแทนยา เป็นการรวมกันของ สสาร-ปฏิสสาร ซึ่งจัดว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์เพิ่งสามารถนำมาใช้งานได้บ้างขั้นพื้นฐานในการใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนยานอวกาศ หลังจากที่พลังงานเคมี และปฏิกิริยาฟิวชันหรือพลังงานนิวเคลียร์ ไม่สามารถตอบโจทย์การเดินทางไกลในอวกาศระยะทางไกล ด้วยความเร็วสูงได้  เป็นที่รู้กันว่า ปฏิกิริยาแบบฟิวชัน เกิดขึ้นเมื่ออะตอมของธาตุเบา หลอมรวมกัน กลายเป็นธาตุที่หนักกว่า แล้วมีมวลหนึ่งหายไป เปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาล  ถึงปฏิกิริยาฟิวชันจะมีพลังงานออกมา มากกว่าพลังงานเชื้อเพลิงเคมีมากมาย แต่ก็ยังไม่พอเพียงกับการเคลื่อนที่ความเร็วสูงอยู่ดี ปฏิสสารขึงเป็นตัวเลือกต่อมา

             โชคคีว่าปัจจุบัน มนุษย์ค้นพบและหาวิธีควบคุม ปฏิสสาร (Antimatter) ในขั้นพื่นฐานได้ ทำให้เกิดการทดลองใช้งานจริงในยานอวกาศ ได้ผลดีระดับหนึ่ง ปฏิสสารมีขั้วประจุอนุภาคตรงกันข้ามกันกับสสารธรรมดา ตัวอย่างเช่นอิเล็กตรอนกับโพซิตรอน หรือแอนติอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นคู่สสาร-ปฏิสสารกัน ความน่ากลัวของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่า ถ้าสสารกับปฏิสสารเข้าปะทะกัน การทำลายล้างที่แผ่พลังงานมหาศาลมากกว่าพลังงานนิวเคลียร์ ไม่รู้กี่พันกี่แสนเท่า จะเกิดขึ้นทันที

             แค่นึกก็ร้อนแล้ว....

             ผมนึกถึงมาเรีย หรือว่าเป็นฝีมือของเธอ

             หลังจากเห็นผมเงียบไป จอห์นส่งเสียงขึ้นว่า  “มาเรียไม่ได้เกี่ยวกับความผิดพลาดครั้งนี้นะครับ เราพบว่าจุดเริ่มต้นของปัญหา เกิดขึ้นก่อนแทนยาจะลงจอดเสียอีก แนะนำให้คุณตรวจสอบรายละเอียดไทม์ไลน์ระบบดูก็ได้ครับ”

             นั่น...ไอ้คุณจอห์น มีการออกมาแก้ต่างให้กับมาเรียด้วย ให้มันได้แบบนี้....

            “เออ...แล้วนี่มาเรียไปไหน” ผมนึกขึ้นได้ เมื่อไม่ได้ยินเสียงของเธอ

             “มาเรียขอเวลาหลับพักผ่อนนิดหนึ่งครับ”

             “จะบ้าเหรอแก...” ผมแยกเขี้ยวใส่หน้าจอ “มาเรียเป็นโปรแกรม จะพักผ่อนหลับนอนได้ยังไง ทะลึ่งแล้วนะจอห์น”

             “มิอาจทะลึ่งครับ” โปรแกรมตัวแสบกะพริบตา “มนุษย์คิดว่าโปรแกรมไม่ต้องพักผ่อน เพราะเป็นการคิดเชิงมองแบบสองมิติเท่านั้น  ยังไงดีล่ะ...อธิบายแบบชาวโลกก็คล้าย ๆ กับว่า คุณมองจากยานอวกาศลงไปพื้นดิน เห็นเส้นสองมิติยาวบนพื้น มีแต่ความยาว ไม่มีขนาดไม่มีความหนา  คุณคิดว่านั่นคือเส้นสองมิติธรรมดา  แต่พอส่องด้วยกล้องส่องทางไกลดู คุณจะเห็นว่านั่นไม่ใช่เส้นสองมิติ แต่เป็นขบวนรถไฟ ที่มีความยาว ความกว้าง ความสูง มีสีสันซับซ้อนมากมาย  เป็นสิ่งที่คุณไม่รู้มาก่อน โปรแกรมก็ทำนองเดียวกันครับ  มีหลายอย่างที่มนุษย์ไม่รู้เกี่ยวกับโปรแกรมที่พากันเขียนขึ้นมาครับ”

             “พอเหอะ..” ผมโบกมือยอมแพ้  “เอาเถอะ... ฉันยอม  ยังไงพอมาเรียตื่น ก็บอกเธอด้วยว่า ให้ชงกาแฟให้ฉันสักแก้วก็แล้วกัน ... ช่วยซักผ้าให้ด้วยก็ดี”

             เสียงจอห์นหัวเราะ เหมือนจะเข้าใจอารมณ์ประชด เจ้าหมอนี่พัฒนาไปไกลขนาดนี้เชียวเหรอ ผมนึกในใจอย่างทึ่งจัด คงเป็นฝีมือของมาเรียอีกตามเคย  ผมไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับโปรแกรมกวนประสาท ไล่ให้เขาไปห่าง ๆ ห้ามรบกวน ก่อนจะทำการตรวจดูไทม์ไลน์ของระบบขับเคลื่อน

             ชัดเลย ---ไม่ใช่ฝีมือของมาเรีย  รายละเอียดของระบบขับเคลื่อนเมื่อตรวจสอบแล้ว พบว่าความผิดพลาดอยู่ที่หลายจุดใช้อุปกรณ์เกรดต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด ก็ต้องเป็นฝีมือการโกงกินของวิศวกรบริษัทนั่นละ กินโกงกันแบบถึงในอวกาศกันเลย นี่ถ้าไม่ตรวจสอบเชิงลึกคงไม่รู้  ถ้าเป็นก่อนเจอกับแอนนาบนเฮเว่น ผมคงไม่คิดอะไรมาก อะไรจะเป็นไป ก็ให้เป็นไป แต่เวลานี้ผมไม่อยากตาย รู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น

             พลังอะไรทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้

             พลังแห่งความรักนั่นเอง   ไม่ว่าแอนนาจะเป็นอะไร หรือเป็นใครก็ตาม จะต้องปกป้องเธอจนสุดความสามารถ

             ผมผละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เดินไปยังห้องของแอนนา ซึ่งก็อยู่ห่างจากห้องส่วนตัวของผมเพียงมีห้องว่างอีกห้องกั้นเท่านั้น นึกแล้วก็เสียใจว่าตอนแรกที่จัดห้องส่วนตัวให้เธอ ทำไมไม่ให้อยู่ห้องข้าง ๆ กันเสียเลย จะได้รู้สึกว่าใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ก็อย่างว่า ตอนนั้นผมยังไม่ใจในตัวของแอนนาผู้มาเยือนมากนัก

             เธอไม่อยู่ห้อง นึกรู้ทันทีว่าแอนนาไปไหน  ผมเดินตรงไปยังห้องครัว ผ่านห้องอาหาร เห็นแอนนาในชุดลำลองเดินออกมาจากห้องครัวพอดี ในมือถือจานอาหารมาวางบนโต๊ะ

             “อาหารเสร็จพอดีค่ะ” เธอว่าพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง อาหารสองสามอย่างบนโต๊ะ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนส่งมาจากภัตตาคารบนโลกไม่มีผิด ผมได้แต่นึกชมเธออยู่ในใจ 

             “มีมันฝรั่งด้วย” ผมลองหยิบมาชิมชิ้นหนึ่ง  “อร่อยเหมือนมันฝรั่งบนโลกไม่มีผิด ไม่อยากจะเชื่อเลย คุณทำได้ไงนี่”

             “ต้องแต่งรสนิดหนึ่งค่ะ” แอนนาบอกด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้เหมือนกันว่า แต่งรสแบบไหน แต่ถ้าจะให้เดา ก็คงใช้ผลไม้หลายอย่างมาผสมกันเพื่อให้ได้รสชาติที่ต้องการ เวลาอาหารไม่ควรพูดถึงเรื่องร้ายมาแทรก ผมจึงยังไม่บอกเธอเรื่องความประลัยที่กำลังจะเกิดขึ้น พยายามเก็บสีหน้าอาการสุดชีวิต

             “จำอาหารชุดนี้ได้ไหมคะ”  เธอจ้องหน้าถาม สายตาเป็นประกาย ผมมองดูอาหารบนโต๊ะอย่างไม่เข้าใจ

             “ก็... จำได้สิครับ เคยทานบ่อย ๆ” ความไม่เข้าใจทำให้ตอบอย่างระมัดระวัง

             “แล้ว...มีความหมายอะไรกับเฮเว่นไหมคะ”  แอนนาถามต่อ ทำเอาผมต้องนิ่งคิด สายตาจ้องอาหารแน่นิ่งพักหนึ่ง จึงเริ่มเข้าใจ

             “จำได้แน่นอนสิครับ เป็นอาหารที่เราทานด้วยกันครั้งแรกยังไงละครับ สมัยที่เราคบกันใหม่ ๆ”

             “เฮเว่นจำได้ด้วย ดีจัง”  เธอร้องเสียงดังอย่างดีใจ “แสดงว่าเฮเว่นยังรักแอนนาอยู่เหมือนเดิม”

             ผมไม่เคยที่จะไม่รักคุณเลย----ผมรำพึงอยู่ในอก เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไร หรือเป็นใครเท่านั้น แม้ว่าเวลานี้ผมจะยอมรับว่าคุณคือแอนนาก็ตาม แต่ยังคงเหลือเสี้ยวเกี่ยวใจสงสัยบางเบาให้เอามาคิด

             “”คุณเองก็จำวันที่เราทานอาหารด้วยกันครั้งแรกได้เหมือนกัน” ผมเลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็น

             “แน่นอนสิคะ ใครจะไปลืมวันสำคัญแห่งการเริ่มต้นของเราได้ละคะ  แอนนายังจำได้ดี วันนั้นเฮเว่นเขินทำอะไรถูกๆ ผิดๆ หลายครั้ง” พูดจบเธอก็เอามือปิดปากหัวเราะคิกคักจนตาหยี ทำให้นึกถึงตัวเองที่ประหม่ากับการออกเดทกับหญิงสาวสวยที่หมายตาหมายใจครั้งแรก มือไม้วางไม่ถูกที่ถูกทาง ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งเขินทั้งอาย เพราะไม่เคยจีบสาวที่ไหนมาก่อน เรียกว่าถ้าเป็นการทดสอบการออกเดท ผมต้องสอบตกไม่เป็นท่า

             วันนั้นผมกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากนักมวยถูกน็อกกลางเวที สิ้นหวังและอับอาย โลกทั้งโลกมืดมนอนธการหนักอี้ง กระทั่งเครื่องสื่อสารดังขึ้น แอนนาติดต่อเข้ามาด้วยภาพสามมิติ ทำเอาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอไม่ใส่ใจกับการสื่อสารสัมพันธ์อันขาด ๆ เกิน ๆ  ทั้งยังบอกว่าผมน่ารักดี ทำเอาผมกระโดดเอาหัวโหม่งตู้เสื้อผ้าด้วยความดีใจ  ความรักของเราจึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่วันนั้น

             “เรื่องมันนานมาแล้วน่า”  ผมตัดบท เมื่อนึกถึงการเจาะเวลาหาความเขินอาย  แต่แอนนายังยิ้มไม่หยุด รอยยิ้มของเธอช่างน่ารักน่ามองเหลือเกิน มองนานแค่ไหนก็คงไม่เบื่อ
 
             ขณะทานอาหาร แม้ว่าจะพยายามลืมความกังวลเรื่องระบบการขับเคลื่อนของแทนยาในอาหารมื้อเช้า แต่สีหน้าท่าทางคงไม่เนียนสนิท จนแอนนาต้องเป็นฝ่ายทักว่ามีอะไรกังวลในใจ  นั่นละ... จึงทำให้ผมเล่าปัญหาสาหัสของแทนยาให้ฟัง เธอรับฟังอย่างตั้งใจ สายตาครุ่นคิดวิตกตามไปด้วย  สุดท้ายจึงตกลงกันว่า ค่อยไปปรึกษามาเรียกับจอห์น บางทีสองโปรแกรมนั่น อาจพอมีทางช่วยเหลือบางอย่างที่เรานึกไม่ถึง

             “เสียใจนะครับ  ผมเจาะเข้ารายละเอียดเชิงลึกของระบบขับเคลื่อนไม่ได้”

             นั่นเป็นคำพูดของจอห์นเมื่อขอความเห็นจากเขา พร้อมกับรูปหน้ากลมสามมิติมีรอยยิ้ม ความหวังของผมแทบดับวูบลง  พอดีเสียงของมาเรียดังขึ้นเสียก่อน

             “คุณเฮเว่นจะอนุญาตให้มาเรียเข้าไปในระบบขับเคลื่อนทั้งหมดได้ไหมคะ”

             ถ้าเป็นก่อนหน้า คงต้องคิดนาน แต่ขณะนี้ทางเลือกไม่มีมากนัก ผมจึงเปิดรหัสผ่านให้มาเรียเข้าไปเดินเล่น ในโปรแกรมพิเศษของระบบขับเคลื่อนทั้งหมดทันที

             ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำไป เสียงมาเรียก็รายงานข้อมูล อันชวนขนพองสยองเกล้า   “จากการคำนวณ ระบบขับเคลื่อนจะสูญเสียการควบคุม สสาร และปฏิสสารจะรวมตัวกันภายในเวลาหกชั่วโมงสิบนาทีหลังจากนี้....และ....”

             หกชั่วโมงกว่า หายนะมาเร็วกว่าที่คาดไว้เสียอีก ผมใจหายวาบ แอนนาเองก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน งานเข้าละทีนี้...  เวลาหกชั่วโมงกว่าจะทำอะไรได้  การซ่อมแซมเครื่องควบคุมปฏิสสารจะต้องใช้วิศวกรรมจำนวนมากและใช้เวลานานหลายวัน รู้สึกตัวเย็นเฉียบแต่มีเหงื่อซึมชุ่มโชกอย่างรู้สึกได้ สมองหนักอึ้งจนฟังไม่รู้ความ เกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ ที่มาเรียรายงานออกมายาวเหยียด นึกเห็นเพียงภาพการระเบิดรุนแรงมหาศาลยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ไม่รู้กี่เท่า และรังสีแกมมาเข้มข้นที่ทะลุทลวงอาบดวงดาวอย่างน่ากลัว

             ความรู้สึกเมื่อรู้ช่วงเวลาแห่งจุดจบเป็นอย่างนี้เอง  ไม่เหมือนความรู้สึกตอนที่กำลังนำแทนยาพุ่งชนดวงดาวเลย  ชะตากรรมเหมือนเล่นตลก พออยากตายทะลึ่งไม่ตาย พออยากมีชีวิตต่อไป ทะลึ่งจะมาตาย มันอะไรกันหนักกันหนา!

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่