แม้ว่าการเปิดตัวครั้งแรกจะถูกผลักกลับไป แต่ Capella Space ได้ทำข้อตกลงกับกระทรวงกลาโหมอีกครั้งสำหรับภาพเรดาร์แบบรูรับแสงสังเคราะห์ (Capella Space)
Capella Space ประกาศเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2020 ว่าได้ลงนามในข้อตกลงในการจัดหาเรดาร์รูรับแสงสังเคราะห์ให้กับกองทัพเรือสหรัฐฯแม้ว่า บริษัท จะยังไม่ได้วางดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรก็ตาม แต่ล่าสุด บริษัทได้ออกมาประกาศว่า พวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมดวงใหม่ ที่จะสามารถถ่ายภาพเรดาร์ได้ชัดเจนจากทุกที่ในโลกด้วยความละเอียดที่น่าทึ่งที่สามารถ “มองทะลุกำแพง” ของอาคารบางแห่งได้แล้ว
ดาวเทียมดวงใหม่นี้มีชื่อว่า " Capella 2 " ผลงานของบริษัท Capella Space ที่นำโดย Payam Banazadeh อดีตวิศวกรระบบของห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่นของนาซา โดยดาวเทียมดวงใหม่นี้ถูกระบุว่าจะถูกทำงานโดยระบบเรดาร์รูรับแสงสังเคราะห์ "Sequoia" หรือ “SAR” ดาวเทียมดังกล่าวเป็นงานวิศวกรรมใหม่ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคม 2018
เดิม Capella วางแผนที่จะเปิดตัวดาวเทียมเชิงพาณิชย์ 6 ดวงภายใต้ชื่อกลุ่มดาว “Whitney” โดย Sequoia รุ่นแรกได้รับใบอนุญาตจาก NOAA และการอนุมัติให้ถ่ายภาพ SAR ที่มีความละเอียดสูงสุดได้ ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ที่ผ่านมา
“SAR” เป็นระบบส่งสัญญาณวิทยุ 9.65 GHz ไปยังเป้าหมายของดาวเทียมเพื่อสร้างภาพขึ้นมา ในลักษณะคล้ายกับการหาตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุด้วยการสะท้อนกลับของโลมาและค้างคาว ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ดาวเทียมนี้ทำงานได้โดยไม่ต้องสนใจว่าท้องฟ้าจะเปิดหรือปิด แต่มันยังมีพลังในการมองทะลุเพดานหรือกำแพงบางชนิด และสร้างภาพออกมาเป็นระบบ 3 มิติด้วยดาวเทียมแบบเดียวกัน 2 ดวง
Roswell International Air Center, นิวเม็กซิโก ภาพ SAR จัดทำโดย Capella Space
SAR ทำงานคล้ายกับวิธีที่โลมาและค้างคาวนำทางโดยใช้ " echolocation " โดยดาวเทียมจะส่งสัญญาณวิทยุ 9.65 GHz อันทรงพลังไปยังเป้าหมาย
จากนั้นรวบรวมและตีความสัญญาณขณะที่มันตีกลับขึ้นสู่วงโคจร และดาวเทียมก็ส่งสัญญาณของตัวเองแทนที่จะจับแสงโดยไม่ใช้สัญญาณ
บางครั้งสัญญาณเหล่านั้นก็สามารถทะลุผ่านผนังอาคารได้โดยตรง โดยมองไปที่ด้านในเหมือนการมองเห็นด้วยรังสีเอกซ์ของ Superman
“ที่ระดับความถี่นี้ เมฆนั้นแทบจะเป็นเหมือนสิ่งที่โปร่งใส” Payam กล่าว “คุณจะสามารถส่งคลื่นทะลุเมฆหมอก ความชื้น หรือแม้แต่หมอกควัน เรียกได้ว่าสิ่งเหล่านั้น จะไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป”
“และเนื่องจากคุณสร้างสัญญาณของคุณเอง ระบบนี้จึงเหมือนกับว่าคุณกำลังถือไฟฉายไปพร้อมกัน จนคุณไม่จำเป็นต้องสนใจว่านี่คือเวลากลางวันหรือกลางคืนด้วยซ้ำ”
Payam กล่าวเสริมว่า นวัตกรรมอีกอย่างหนึ่งคือความละเอียดที่ดาวเทียมของ Capella สามารถรวบรวมภาพได้ในแต่ละพิกเซล โดยในภาพถ่ายจากดาวเทียมหนึ่งแสดงถึงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 50 ซม. x 50 ซม. ในขณะที่ดาวเทียม SAR อื่น ๆสามารถลงลึกได้ประมาณ 5 เมตรเท่านั้น
อ้างอิงจากบริษัท Capella Space แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้คิดค้นระบบ SAR ขึ้นมา แต่ก็เป็นบริษัทในสหรัฐบริษัทแรกที่มีการนำมันมาใช้ในเชิงพาณิชย์
และแม้ว่าในปัจจุบัน ความคมชัดของภาพจะยังถูกจำกัดไว้ในทางกฎหมาย แต่ทางบริษัทก็เชื่อว่าระบบดังกล่าวจะได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจจะใช้มันในการติดตามผัร้าย หรือติดตามกิจกรรมสำคัญๆ ในสนามบินต่อไปในอนาคต
บริษัท วางแผนที่จะมีดาวเทียมเจ็ดดวงในวงโคจรภายในสิ้นปี 2020 และจนถึงขณะนี้ได้เปิดตัวหนึ่งไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา บนจรวด SpaceX Falcon 9 และคาดว่าจะมีดาวเทียมเพิ่มอีก 12 ดวงภายในสิ้นปี 2021
โดย Capella สามารถส่งข้อมูลได้ภายใน 90 นาที ความหวังนี้จะช่วยให้ลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆเช่น บริษัท โครงสร้างพื้นฐานน้ำมัน ก๊าซและทรัพยากรธรรมชาติ สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่น สภาพอากาศที่รุนแรง
SAR ย่อมาจาก Synthetic Aperture Radar
NASA ใช้มันมาตั้งแต่ปี 1970 เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของมิเตอร์ย่อยที่พื้นผิวโลกผ่านเมฆควันหมอกและความมืด
Capella 1 , Denali หรือSpacecap
ดาวเทียมดวงแรกมีภารกิจในการสาธิตเทคโนโลยี เป็นกลุ่มดาวเทียมทั้งหมดทั้งหมด 36 ดวง
ที่มีระนาบสมมาตรสูง 12 ระนาบ ซึ่งจะให้ภาพรายชั่วโมงของตำแหน่งใด ๆ บนโลก
ที่มา futurism, unilad และ capellaspace
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ดาวเทียมดวงใหม่ของสหรัฐฯที่สามารถ “มองทะลุกำแพง”
เดิม Capella วางแผนที่จะเปิดตัวดาวเทียมเชิงพาณิชย์ 6 ดวงภายใต้ชื่อกลุ่มดาว “Whitney” โดย Sequoia รุ่นแรกได้รับใบอนุญาตจาก NOAA และการอนุมัติให้ถ่ายภาพ SAR ที่มีความละเอียดสูงสุดได้ ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ที่ผ่านมา
“SAR” เป็นระบบส่งสัญญาณวิทยุ 9.65 GHz ไปยังเป้าหมายของดาวเทียมเพื่อสร้างภาพขึ้นมา ในลักษณะคล้ายกับการหาตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุด้วยการสะท้อนกลับของโลมาและค้างคาว ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ดาวเทียมนี้ทำงานได้โดยไม่ต้องสนใจว่าท้องฟ้าจะเปิดหรือปิด แต่มันยังมีพลังในการมองทะลุเพดานหรือกำแพงบางชนิด และสร้างภาพออกมาเป็นระบบ 3 มิติด้วยดาวเทียมแบบเดียวกัน 2 ดวง
จากนั้นรวบรวมและตีความสัญญาณขณะที่มันตีกลับขึ้นสู่วงโคจร และดาวเทียมก็ส่งสัญญาณของตัวเองแทนที่จะจับแสงโดยไม่ใช้สัญญาณ
บางครั้งสัญญาณเหล่านั้นก็สามารถทะลุผ่านผนังอาคารได้โดยตรง โดยมองไปที่ด้านในเหมือนการมองเห็นด้วยรังสีเอกซ์ของ Superman
“ที่ระดับความถี่นี้ เมฆนั้นแทบจะเป็นเหมือนสิ่งที่โปร่งใส” Payam กล่าว “คุณจะสามารถส่งคลื่นทะลุเมฆหมอก ความชื้น หรือแม้แต่หมอกควัน เรียกได้ว่าสิ่งเหล่านั้น จะไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป”
“และเนื่องจากคุณสร้างสัญญาณของคุณเอง ระบบนี้จึงเหมือนกับว่าคุณกำลังถือไฟฉายไปพร้อมกัน จนคุณไม่จำเป็นต้องสนใจว่านี่คือเวลากลางวันหรือกลางคืนด้วยซ้ำ”
Payam กล่าวเสริมว่า นวัตกรรมอีกอย่างหนึ่งคือความละเอียดที่ดาวเทียมของ Capella สามารถรวบรวมภาพได้ในแต่ละพิกเซล โดยในภาพถ่ายจากดาวเทียมหนึ่งแสดงถึงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 50 ซม. x 50 ซม. ในขณะที่ดาวเทียม SAR อื่น ๆสามารถลงลึกได้ประมาณ 5 เมตรเท่านั้น
อ้างอิงจากบริษัท Capella Space แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้คิดค้นระบบ SAR ขึ้นมา แต่ก็เป็นบริษัทในสหรัฐบริษัทแรกที่มีการนำมันมาใช้ในเชิงพาณิชย์
และแม้ว่าในปัจจุบัน ความคมชัดของภาพจะยังถูกจำกัดไว้ในทางกฎหมาย แต่ทางบริษัทก็เชื่อว่าระบบดังกล่าวจะได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจจะใช้มันในการติดตามผัร้าย หรือติดตามกิจกรรมสำคัญๆ ในสนามบินต่อไปในอนาคต
บริษัท วางแผนที่จะมีดาวเทียมเจ็ดดวงในวงโคจรภายในสิ้นปี 2020 และจนถึงขณะนี้ได้เปิดตัวหนึ่งไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา บนจรวด SpaceX Falcon 9 และคาดว่าจะมีดาวเทียมเพิ่มอีก 12 ดวงภายในสิ้นปี 2021
โดย Capella สามารถส่งข้อมูลได้ภายใน 90 นาที ความหวังนี้จะช่วยให้ลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆเช่น บริษัท โครงสร้างพื้นฐานน้ำมัน ก๊าซและทรัพยากรธรรมชาติ สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่น สภาพอากาศที่รุนแรง
ที่มา futurism, unilad และ capellaspace