ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวหมู่บ้านไร้แผ่นดินกับคณะที่ทำงาน และได้ถือกล้องฟิล์มไปด้วยไปด้วย
เป็นกล้องฟิล์มระบบไฟฟ้า ของ Pentax z-70p ส่วนฟิล์มที่ใช้เป็น Fuji C200
เริ่มต้นจากการขึ้นเรือที่ท่าเรือ อ.ขลุง จ.จันทบุรี เดินทางโดยเรือประมาณ 30 นาที ก็ถึง หมู่บ้านไร้แผ่นดิน
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน หรือหมู่บ้านปากน้ำเวฬุ หมู่ที่ 2 เดิมเคยเรียกกันว่า "บ้านโรงไม้" เป็นชุมชนที่มีความเป็นมายาวนานประมาณ 135 ปีมาแล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2410 มีชาวจีนที่เดินทางอพยพเข้ามาในไทย ทำการค้าขายติดต่อไปถึงกรุงเทพฯ เมื่อผ่านมาที่จันทบุรีได้นำเรือมาหลบลมในบริเวณลุ่มน้ำเวฬุ และเห็นว่าเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทะเล มีสัตว์น้ำมากมาย จึงได้ทำการประมง จนกลายเป็นอาชีพ
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเวฬุ เดิมเป็นพื้นที่ป่าโกงกางหนาแน่น ที่มีอาณาบริเวณกว้างมาก ในอดีตมีชาวบ้านมาตัดไม้โกงกางไปขายเพื่อทำถ่าน กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2514 รัฐเปิดสัมปทานให้มีการตัดไม้โกงกางในพื้นที่ลุ่มน้ำเวฬุ จึงมีผู้คนเข้ามาตัดไม้กันเป็นจำนวนมาก เมื่อตัดได้จะนำไม้มากองไว้ในบริเวณนี้เพื่อรอการเข้าเตาเผาถ่าน จนเป็นที่มาของชื่อ "โรงไม้" หลังจากนั้น เมื่อหมดระยะสัมปทานป่าเผาถ่าน ผู้คนที่เคยทำกินอยู่บริเวณนี้จึงได้จับจองพื้นที่เพื่อตั้งรกราก และประกอบอาชีพประมง
(ข้อมูลจาก องค์การบริหารส่วนตำบลบางชัน
http://www.bangchan.go.th/)
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนจากเรียกว่าบ้านโรงไม้ เป็น "หมู่บ้านไร้แผ่นดิน" โดยคำว่า "ไร้แผ่นดิน" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้อพยพที่ไร้สัญชาติ หรือผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย แต่เป็นการเรียกเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการอยู่อาศัยของชุมชน ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตลุ่มน้ำ ที่เป็นส่วนหนึ่งของทะเล มีน้ำล้อมรอบ โดยไม่ได้อยู่บนผืนแผ่นดิน
บ้านทะเลดาวคือสถานที่พัก
วิถีชาวบ้านโดยสารโดยเรือ
วิถีชาวเรือ กับแสงแดดยามพลบค่ำ
สัตว์ทะเลที่หาได้นำมาตากแดดจะเห็นตามทางเดินหมู่บ้าน
ก่อนถึงหมู่บ้านจะเห็นขวดน้ำพลาสติกเรียงระเบียบเป็นแถว นี่คือการเลี้ยงหอยนางรม
เเสงแดดยามเช้ากระทบหน้าหมู่บ้าน
เรื่อประมงจอดอยู่เกือบทุกหน้าบ้าน
ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นได้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นไปอีกแบบ
ล่องแพเปียกดูเหยี่ยวแดงดูป่าชายเลน
ดูเหยี่ยวแดงก่อนตะวันตกดิน ( ไม่มีเลนส์ซูม ดูให้เป็นเหยี่ยวนะครับอย่านึกว่ายุง)
จบการนำเสนอ ขอบคุณครับ
เที่ยวหมู่บ้านไร้แผ่นดินกับกล้องฟิล์ม
เป็นกล้องฟิล์มระบบไฟฟ้า ของ Pentax z-70p ส่วนฟิล์มที่ใช้เป็น Fuji C200
เริ่มต้นจากการขึ้นเรือที่ท่าเรือ อ.ขลุง จ.จันทบุรี เดินทางโดยเรือประมาณ 30 นาที ก็ถึง หมู่บ้านไร้แผ่นดิน
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน หรือหมู่บ้านปากน้ำเวฬุ หมู่ที่ 2 เดิมเคยเรียกกันว่า "บ้านโรงไม้" เป็นชุมชนที่มีความเป็นมายาวนานประมาณ 135 ปีมาแล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2410 มีชาวจีนที่เดินทางอพยพเข้ามาในไทย ทำการค้าขายติดต่อไปถึงกรุงเทพฯ เมื่อผ่านมาที่จันทบุรีได้นำเรือมาหลบลมในบริเวณลุ่มน้ำเวฬุ และเห็นว่าเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทะเล มีสัตว์น้ำมากมาย จึงได้ทำการประมง จนกลายเป็นอาชีพ
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเวฬุ เดิมเป็นพื้นที่ป่าโกงกางหนาแน่น ที่มีอาณาบริเวณกว้างมาก ในอดีตมีชาวบ้านมาตัดไม้โกงกางไปขายเพื่อทำถ่าน กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2514 รัฐเปิดสัมปทานให้มีการตัดไม้โกงกางในพื้นที่ลุ่มน้ำเวฬุ จึงมีผู้คนเข้ามาตัดไม้กันเป็นจำนวนมาก เมื่อตัดได้จะนำไม้มากองไว้ในบริเวณนี้เพื่อรอการเข้าเตาเผาถ่าน จนเป็นที่มาของชื่อ "โรงไม้" หลังจากนั้น เมื่อหมดระยะสัมปทานป่าเผาถ่าน ผู้คนที่เคยทำกินอยู่บริเวณนี้จึงได้จับจองพื้นที่เพื่อตั้งรกราก และประกอบอาชีพประมง
(ข้อมูลจาก องค์การบริหารส่วนตำบลบางชัน http://www.bangchan.go.th/)
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนจากเรียกว่าบ้านโรงไม้ เป็น "หมู่บ้านไร้แผ่นดิน" โดยคำว่า "ไร้แผ่นดิน" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้อพยพที่ไร้สัญชาติ หรือผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย แต่เป็นการเรียกเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการอยู่อาศัยของชุมชน ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตลุ่มน้ำ ที่เป็นส่วนหนึ่งของทะเล มีน้ำล้อมรอบ โดยไม่ได้อยู่บนผืนแผ่นดิน
บ้านทะเลดาวคือสถานที่พัก
วิถีชาวบ้านโดยสารโดยเรือ
วิถีชาวเรือ กับแสงแดดยามพลบค่ำ
สัตว์ทะเลที่หาได้นำมาตากแดดจะเห็นตามทางเดินหมู่บ้าน
ก่อนถึงหมู่บ้านจะเห็นขวดน้ำพลาสติกเรียงระเบียบเป็นแถว นี่คือการเลี้ยงหอยนางรม
เเสงแดดยามเช้ากระทบหน้าหมู่บ้าน
เรื่อประมงจอดอยู่เกือบทุกหน้าบ้าน
ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นได้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นไปอีกแบบ
ล่องแพเปียกดูเหยี่ยวแดงดูป่าชายเลน
ดูเหยี่ยวแดงก่อนตะวันตกดิน ( ไม่มีเลนส์ซูม ดูให้เป็นเหยี่ยวนะครับอย่านึกว่ายุง)
จบการนำเสนอ ขอบคุณครับ