ถุงมือเรื่องสั้น เรื่องที่ 8 ครับ ....
เข้าสู่ห้วงแห่งจินตนาการ บรรยากาศแฟนตาซีกัน ^^
โอรสแห่งกษัตริย์เมืองหนึ่งได้รับการบอกเล่าว่าพระราชบิดาคือผู้สืบเชื้อสายชนเผ่าครึ่งเทวาคนสุดท้าย ได้หลวมตัวถูกล่อหลอกโดยพ่อมดเฒ่าผู้ประสงค์ร้ายให้ไปขโมยพระธำมรงค์ของพระบิดาไปให้มันใช้ประกอบเวทยมนต์ และเมื่อมันได้ไป ก็กลับปรุงยาพิษให้เจ้าชายดื่มโดยบอกว่าดื่มแล้วหากทนต่อพิษได้จะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่และแปลงร่างเป็นมังกรได้
เจ้าชายน้อยจะทรงกระทำประการใด ? และจะมีเหตุการณ์ใดติดตามมาอีก ???
ต้องติดตามไปดูกัน ยาวๆ ครับ....... ^^
..........
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองที่เจริญยิ่งใหญ่อยู่สองเมืองชื่อว่า ตะวันนคร กับ จันทรานคร ทั้งสองเมืองตั้งอยู่โดยมีทิวเทือกเขาสีเทา,ป่าใหญ่ลึกลับโบราณและแม่น้ำสายหนึ่งมีสีเงินใสคั่นกลาง แต่ก็มีเส้นทางอยู่เส้นทางหนึ่งที่ใช้สัญจรไปมาหาสู่กันได้ระหว่างสองเมือง ซึ่งมีลักษณะคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะผ่านชายขอบธรรมชาติลึกลับเหล่านั้น มีชื่อเรียกขานว่า เส้นทางตะวัน-จันทรา
เมืองตะวันนคร พระราชา อาราธอร์นที่ 2 กับ
ราชินี กิลไรน์ มีพระราชโอรสหนึ่งองค์ ชื่อว่า
อารากอร์น ตอนนี้อายุได้ 16 ปี รูปร่างหน้าตาดีหล่อเหลา มีจิตใจอ่อนโยน มีความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ ซื่อๆ พูดน้อย สันโดษ ชอบศึกษาวิชาความรู้กับเหล่านักปราชญ์ ไม่ชอบศิลปะวิชาการล่าสัตว์หรือต่อสู้รบราฆ่าฟันกัน
เมืองจันทรานคร พระราชา เอลรอนด์ กับ ราชินี เคเลเบรียน มีพระราชธิดาเพียงองค์เดียวเช่นกัน ชื่อว่า
อาร์เวน อายุในตอนนี้เพิ่งจะได้ 14 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามน่ารัก มีนิสัยร่าเริงซุกซนขี้เล่นโลดโผน ฉลาดไหวพริบดี ชอบวิชาศิลปะการต่อสู้ทั้งมือเปล่าและใช้อาวุธเป็นอย่างมาก
พระราชาของทั้งสองเมืองปกครองเหล่าประชาราษฎร์โดยธรรม ทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุขร่มเย็นมาโดยตลอดสมัยที่ทรงครองราชย์ ทั้งคู่มีความสนิทสนมรักใคร่กันมาก นับถือกันประดุจพี่น้องแท้ๆ และยังเคยเสด็จพร้อมด้วยครอบครัวเยือนอีกฝ่ายคราวละ 2-3 เดือนในช่วงฤดูร้อนทุกๆ 2 ปี สลับกันอยู่เสมอ และพระราชาทั้งสองได้ทำสัญญาใจต่อกันเอาไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อถึงวัยอันสมควรคือ พระโอรสอารากอร์นอายุ 20 ปี และพระธิดาอาร์เวนอายุ 18 ปี (หรืออีก 4 ปีข้างหน้านั่นเอง) จะจัดงานพิธีอภิเษกสมรสให้ทั้งคู่ และมอบพระราชสมบัติให้ฝ่ายละครึ่งหนึ่งของตน
ก่อนนอนแทบทุกคืน นับตั้งแต่พระโอรสและพระธิดาทรงเจริญวัยพอที่จะรู้ความ พระราชินีของทั้งสองเมืองก็จะเล่าเรื่องราวในตำนานที่สำคัญเรื่องหนึ่งซึ่งเหมือนกันให้แก่พระโอรสและพระธิดาของตนฟังว่า...
"
ย้อนกลับไปในยุคบรรพกาล เมื่อโลกเยาว์วัยและธารน้ำใสบริสุทธิ์ เทพเจ้าดำรงอยู่บนพื้นพิภพเดียวกันกับมนุษย์อย่างสงบสุขสันติ ดินแดนทางตะวันตกของทวีปคือสถานที่ตั้งของนครโบราณที่มนุษย์ยุคแรกปกครองอาศัยอยู่ ห่างออกไปทางตะวันออกคือที่ตั้งของหุบเขาทวยเทพ ความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์เป็นไปอย่างแน่นแฟ้นกลมเกลียว ผองเทพบนหุบเขาจะลงมาเยี่ยมเยียนมนุษย์เป็นครั้งคราว และในวันสำคัญเทพชั้นผู้ใหญ่ก็จะมาร่วมอวยพรด้วยเช่นกัน เทพบางองค์มีความรักต่อมนุษย์ ครองคู่กันสืบมา กลายมาเป็นชนเผ่าครึ่งเทวาโบราณ
โดยในฤดูใบไม้ผลิของทุกปีจะมีสีเขียวชอุ่มอยู่นานเป็นเวลาหลายเดือน น้ำในลำธารกระจ่างใสดุจกระจกแก้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารเติบโตโดยไม่ต้องรอการหว่านไถ ผู้คนมีหน้าที่เพียงเก็บเกี่ยวเท่านั้น เป็นเช่นนี้อยู่นาน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ยามนั้นเป็นเดือนสามปลายฤดูวสันต์ ธารน้ำกลับแห้งเหือด ใบไม้สีเขียวกลับกลายเป็นสีเหลืองซีด หลุดร่วงจากกิ่งทิ้งใบสู่ดินอันแห้งแล้ง โรคระบาดร้ายแรงแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนจำนวนมากล้มตายดุจใบไม้ร่วง แผ่นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ เหลือเพียงลมหายใจบางเบา ธารน้ำไม่บริสุทธิ์เหมือนเก่า เถ้ากระดูกกองใหญ่ หุบเขาเตียนโล้นด้วยเปลวไฟแห่งสงคราม เผ่าต่างๆได้รบราฆ่าฟันกันเองเพื่อช่วงชิงโภคภัณฑ์ธัญญาหารและดินแดน แผ่นดินกรำศึกจนบอบช้ำแปดเปื้อนมลทิน เลือดนองเป็นสายธาร แผ่นดินเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย
เหล่าเทพเจ้าไม่อาจทนอยู่ในดินแดนอันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดได้ จึงได้ละทิ้งมนุษย์ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งใหม่อันไกลโพ้น และไม่ได้กลับมาอีกเลยนับแต่บัดนั้น
แต่ก่อนจากไป เทพเจ้าได้ประทานสามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่
1 แหวนศักดิ์สิทธิ์ แก่ราชินีแห่งเผ่าครึ่งเทวาโบราณศักดิ์สิทธิ์ เพื่อใช้เยียวยาและนำทางในความมืด ,
1 ดาบเอกซ์คาลิเบอร์ศักดิ์สิทธิ์ แก่บรรพกษัตริย์มนุษย์ เพื่อใช้ปกป้องทุกเผ่าจากการรุกรานของความชั่วร้าย และ
1 หีบแห่งแสงสว่าง ให้ชนเผ่าเวทมนตร์ขาว เพื่อพิทักษ์รักษาแสงสว่าง และมอบคืนแก่มนุษย์ชาติ ยามเมื่อโลกตกอยู่ในความมืดมนอนธการ"
และเมื่อเล่าจบถึงตรงนี้ องค์ราชินีก็จะส่งลูกของตนเข้านอน จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ณ.ห้องบรรทมของเจ้าชายอารากอร์น หลังจากที่ทรงเล่าเรื่องในตำนานเหมือนคืนก่อนๆจบลง องค์ราชินีกิลไรน์ก็ได้พูดเป็นเสียงกระซิบต่ออีกว่า
“ปัจจุบันชนเผ่าครึ่งเทวาโบราณกลายเป็นเพียงตำนาน เพราะเผ่าพันธุ์โบราณถูกสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หมดสิ้นไปแล้ว แต่แท้ที่จริงยังมีผู้สืบเชื้อสายเหลือรอดอยู่คนหนึ่ง”
“ใครหรือพระเจ้าข้า ?” อารากอร์นรู้สึกตื่นตัวและถามอย่างสงสัยทันที หลังจากที่เมื่อครู่เขารู้สึกงัวเงียง่วงนอนเหมือนทุกคราวที่มารดาเล่าเรื่องในตำนานจบรอบที่เท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว
“
ก็คือบิดาเจ้าไงล่ะ หรือ ราชาอาราธอร์นที่ 2 แห่งตะวันนคร และผู้สืบเชื้อสายคนสุดท้ายจากบรรพกษัตริย์มนุษย์ตามตำนานคือ ราชาเอลรอนด์แห่งจันทรานคร หรือบิดาของอาร์เวน นั่นเอง”
คำตอบที่ได้รับสร้างความตะลึงงันให้กับอารากอร์น “พระบิดาน่ะหรือคือผู้สืบเชื้อสายชนเผ่าครึ่งเทวาโบราณคนสุดท้าย เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ ท่านแม่”
“อืมม.. ที่แม่จำเป็นต้องบอกความลับนี้ให้เจ้ารู้ เพิ่มเติมจากเรื่องในตำนานก็เพราะบิดาของเจ้าสั่งไว้
เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้มีคนพบเห็นมังกรตัวใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายในตำนาน บินอยู่เหนือหุบเขาวงกตในยามค่ำคืนหนึ่ง บิดาเจ้าทราบเรื่องแล้วเกรงว่าอาจจะมีภยันตรายที่ใหญ่หลวงตามมาในไม่ช้า จากแต่ก่อนช่วงเกือบหนึ่งร้อยปีมานี้บ้านเมืองเราอยู่กันอย่างสงบสุขเรียบร้อยเป็นปกติดี”
ราชินีหยุดพูดแล้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จ้องมองหน้าพระโอรสซึ่งในตอนนี้อยู่ในท่านั่งฟังอย่างตั้งใจแล้ว จึงเปลี่ยนใจพูดตัดบทว่า “วันนี้พอเท่านี้ก่อนนะ เรื่องผู้สืบทอดแห่งตำนานนั้นถือเป็นความลับที่ไม่มีใครทราบ นอกจากพ่อกับแม่ของเจ้า และพ่อแม่ของอาร์เวน รวมเป็นสี่คนเท่านั้น แต่สงสัยว่าตอนนี้น่าจะต้องนับเพิ่มเป็นห้าคนแล้วล่ะคือรวมเจ้าด้วย
ข้อสำคัญคือเจ้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุด ห้ามบอกใครเป็นอันขาด เพราะมันหมายถึงอันตรายต่อชีวิตของเจ้าและพวกเราทั้งหมดทุกคน... เอาล่ะ คืนนี้เจ้านอนได้แล้วนะ ลูกแม่” ราชินีพูดจบก็โน้มตัวมากอดพระโอรสไว้ แล้วจูบเขาที่หน้าผาก เสร็จแล้วจึงหันหลังเดินช้าๆ ออกจากห้องบรรทมของเจ้าชายไป ทิ้งให้เจ้าชายอึ้งประหลาดใจและงุนงงกับเรื่องราวที่ได้ฟัง
วันต่อมา เจ้าชายอารากอร์นได้ออกไปเที่ยวเล่นกับสหายที่เป็นลูกของข้าราชบริพารที่ป่าเล็กข้างสวนในวัง แล้วบังเอิญเห็นกระต่ายป่าตัวเล็กสีขาวชมพูน่ารัก เลยพยายามติดตามจะไล่จับเพื่อเอากลับมาเลี้ยงให้ได้ จนเกิดพลัดหลงกับกลุ่มสหาย หายตัวลึกเข้าไปในป่าเพียงลำพัง เด็กหนุ่มหลงทางผ่านความมืดและความสว่าง ออกจากป่าเล็กผ่านดินแดนเปลี่ยวร้าง และทุ่งหญ้าเขียวขจี ติดตามกระต่ายป่าสีขาวชมพูมุ่งหน้าสู่ป่าใหญ่ลึกลับโบราณ กระทั่งข้ามเขตไปสู่เทือกเขาสีเทาเฉียดเข้าใกล้ถิ่นอาศัยของสัตว์ในตำนาน สัตว์ร่างใหญ่มีเกล็ดหนามีปีกสามารถบินและพ่นไฟได้ ซึ่งนานมากแล้วที่ไม่เคยปรากฏตัวให้มนุษย์ได้เห็น
เด็กหนุ่มแหงนมองท้องฟ้า ด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่เห็นมังกรบินผ่านด้วยความว่องไวปานลมกรด ตัวมันสีเทารูปร่างใหญ่โตสง่างาม ขณะชูคอคำรามดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
เลยเทือกเขาสีเทาไปยังหุบเขาวงกต เด็กหนุ่มพบพ่อมดเฒ่าชั่วร้ายเจ้าอำนาจฝ่ายมืดสวมชุดดำตนหนึ่งมีชื่อว่า
เซารอน เร้นกายอยู่ที่นั่น (พ่อมดเฒ่านี่เอง ที่วางแผนใช้เวทมนตร์เสกให้หนูกลายเป็นกระต่ายสีขาวชมพู แล้วไปล่อหลอกให้เจ้าชายอารากอร์นติดตามมาเพียงลำพังยังที่อยู่ของเขาซึ่งใช้เวทมนตร์อำพรางซ่อนตัว เพื่อแผนการที่ชั่วร้ายบางอย่าง) พ่อมดพูดเสนอว่าจะยอมมอบกระต่ายป่าสีขาวชมพูน่ารักตัวเล็กนั้นให้แก่เจ้าชายและยังจะช่วยทำให้เขากลายเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มีอำนาจมากที่สุดเหนือกว่าใครๆในหมู่มวลมนุษย์ได้โดยไม่ต้องฝึกฝนวิชาการต่อสู้รบเลย (นั่นคือการกลายร่างเป็นมังกรในเวลาที่โกรธ แต่พ่อมดเซารอนมิได้พูดบอกตรงๆ)
โดยมีข้อแม้ว่าเจ้าชายจะต้องนำแหวนของพระราชบิดามามอบให้เขาเพื่อยืมใช้ในการประกอบเวทมนตร์พิธีเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ (ที่แท้พ่อมดมนต์ดำรู้ว่า บัดนี้แหวนศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในมือผู้ใด และพยายามใช้คำพูดหลอกลวงเจ้าชายว่าเพียงแค่ขอยืม เมื่อใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมอบคืนให้) แต่ห้ามบอกใครเป็นอันขาดแม้แต่พระบิดามารดาของเจ้าชาย
เจ้าชายอารากอร์นนิ่งลังเลใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่เมื่อได้เห็นพ่อมดเฒ่าเซารอนอุ้มกระต่ายป่าตัวเล็กสีขาวชมพูออกมาล่อ แล้วแกล้งพูดขู่ขึ้นว่า " ถ้าเจ้าไม่อยากได้กระต่ายตัวนี้แล้ว สงสัยข้าคงจะต้องเอามันไปให้เป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้ามังกร
นาซกูลสีเทาที่เจ้าเห็นมันบินอยู่ใกล้ๆ หุบเขาวงกตก่อนเข้ามาถึงที่นี่ ท่าทางมันกำลังหิวกระหายเลือดอยู่พอดี อย่างน้อยคงพอทำให้มันลดความเกรี้ยวกราดลงได้บ้าง" ทำให้อารากอร์นตัดสินใจตอบตกลงตามเงื่อนไขของพ่อมดเซารอนที่ชั่วร้ายในที่สุด
เด็กหนุ่มกลับไปที่ปราสาท วันต่อมาในยามราตรี เขาปล่อยควันยาสลบไร้กลิ่นที่พ่อมดให้มาเพื่อจัดการตามแผนเข้าไปในห้องบรรทมของพระราชบิดามารดาแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง พอมั่นใจว่าควันจางหายและคนในห้องสลบหลับไปแน่นอนแล้วจึงค่อยๆย่องเข้าไป ขโมยแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่พระราชาถอดวางไว้ข้างหัวเตียงที่ทรงบรรทมอยู่เอามา แล้วนำแหวนปลอมที่คล้ายคลึงกันมากซึ่งรับมาจากพ่อมดไปวางไว้แทนที่โดยไม่มีใครรู้ เสร็จแล้วก็รีบหนีออกมาจากห้อง
เขาหลบหนีออกมาจากปราสาท กลับมาหาพ่อมดพร้อมกับแหวนศักดิ์สิทธิ์ของพระบิดา เซารอนรับมันมาด้วยความพึงพอใจ กลอกสายตาบูดโปนน่าเกลียดพินิจพิจารณา พร้อมกับหัวเราะเสียงแหลม บอกให้เขารอแล้วพ่อมดเฒ่าก็หายตัวไป
เขารออยู่ที่นั่นด้วยความกระสับกระส่าย กลัวว่าจะโดนพ่อมดเฒ่าหลอกเอาของแล้วหนีไป แม้จะรู้สึกหมดหวังแต่เขาก็ยังปักหลักรอคอยจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืน แล้วเซารอนก็กลับมา ดวงจันทร์สีส้มอมแดงปรากฏอยู่เหนือพยับเมฆซึ่งรวมกลุ่มหนาราวกับว่าจะเกิดพายุฟ้าคะนองในคืนนั้น พ่อมดดำเซารอนพึมพำเวทมนตร์คาถา ขณะเริ่มต้นปรุงยาในหม้อเดือดพล่าน
“ถ้าเจ้ากล้าเผชิญหน้ากับความตาย ก็จงดื่มยาพิษนี้” เซารอนกล่าวขึ้น
“นี่มันอะไรกัน! ทำไมข้าถึงต้องดื่มยาพิษนี้ด้วย?” อารากอร์นฟังวาจาข่มขู่ของพ่อมดเฒ่า แล้วชักสงสัยจึงเอ่ยถาม
“เพราะเจ้าต้องการเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือใคร ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ไง และถ้าหากเจ้าทนต่อพิษร้ายกาจนี้ได้ เจ้าก็จะมีอำนาจแปลงกายเป็นมังกรได้สมใจ แต่ถ้าทนไม่ได้ เจ้าก็จะต้องตายอย่างอนาถทรมานที่สุดภายในหนึ่งราตรีไม่เกินนี้”
(มีต่อครับ) ^^
🌦️⚡🌩️🐲 THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#108 Week#24 FINAL : "ศึกมังกรกู้พิภพ" - ถุงมือ Dragon Heart 🐲🌩️⚡🌦️
เข้าสู่ห้วงแห่งจินตนาการ บรรยากาศแฟนตาซีกัน ^^
โอรสแห่งกษัตริย์เมืองหนึ่งได้รับการบอกเล่าว่าพระราชบิดาคือผู้สืบเชื้อสายชนเผ่าครึ่งเทวาคนสุดท้าย ได้หลวมตัวถูกล่อหลอกโดยพ่อมดเฒ่าผู้ประสงค์ร้ายให้ไปขโมยพระธำมรงค์ของพระบิดาไปให้มันใช้ประกอบเวทยมนต์ และเมื่อมันได้ไป ก็กลับปรุงยาพิษให้เจ้าชายดื่มโดยบอกว่าดื่มแล้วหากทนต่อพิษได้จะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่และแปลงร่างเป็นมังกรได้
เจ้าชายน้อยจะทรงกระทำประการใด ? และจะมีเหตุการณ์ใดติดตามมาอีก ???
ต้องติดตามไปดูกัน ยาวๆ ครับ....... ^^
..........กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองที่เจริญยิ่งใหญ่อยู่สองเมืองชื่อว่า ตะวันนคร กับ จันทรานคร ทั้งสองเมืองตั้งอยู่โดยมีทิวเทือกเขาสีเทา,ป่าใหญ่ลึกลับโบราณและแม่น้ำสายหนึ่งมีสีเงินใสคั่นกลาง แต่ก็มีเส้นทางอยู่เส้นทางหนึ่งที่ใช้สัญจรไปมาหาสู่กันได้ระหว่างสองเมือง ซึ่งมีลักษณะคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะผ่านชายขอบธรรมชาติลึกลับเหล่านั้น มีชื่อเรียกขานว่า เส้นทางตะวัน-จันทรา
เมืองตะวันนคร พระราชา อาราธอร์นที่ 2 กับ ราชินี กิลไรน์ มีพระราชโอรสหนึ่งองค์ ชื่อว่า อารากอร์น ตอนนี้อายุได้ 16 ปี รูปร่างหน้าตาดีหล่อเหลา มีจิตใจอ่อนโยน มีความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ ซื่อๆ พูดน้อย สันโดษ ชอบศึกษาวิชาความรู้กับเหล่านักปราชญ์ ไม่ชอบศิลปะวิชาการล่าสัตว์หรือต่อสู้รบราฆ่าฟันกัน
เมืองจันทรานคร พระราชา เอลรอนด์ กับ ราชินี เคเลเบรียน มีพระราชธิดาเพียงองค์เดียวเช่นกัน ชื่อว่า อาร์เวน อายุในตอนนี้เพิ่งจะได้ 14 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามน่ารัก มีนิสัยร่าเริงซุกซนขี้เล่นโลดโผน ฉลาดไหวพริบดี ชอบวิชาศิลปะการต่อสู้ทั้งมือเปล่าและใช้อาวุธเป็นอย่างมาก
พระราชาของทั้งสองเมืองปกครองเหล่าประชาราษฎร์โดยธรรม ทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุขร่มเย็นมาโดยตลอดสมัยที่ทรงครองราชย์ ทั้งคู่มีความสนิทสนมรักใคร่กันมาก นับถือกันประดุจพี่น้องแท้ๆ และยังเคยเสด็จพร้อมด้วยครอบครัวเยือนอีกฝ่ายคราวละ 2-3 เดือนในช่วงฤดูร้อนทุกๆ 2 ปี สลับกันอยู่เสมอ และพระราชาทั้งสองได้ทำสัญญาใจต่อกันเอาไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อถึงวัยอันสมควรคือ พระโอรสอารากอร์นอายุ 20 ปี และพระธิดาอาร์เวนอายุ 18 ปี (หรืออีก 4 ปีข้างหน้านั่นเอง) จะจัดงานพิธีอภิเษกสมรสให้ทั้งคู่ และมอบพระราชสมบัติให้ฝ่ายละครึ่งหนึ่งของตน
ก่อนนอนแทบทุกคืน นับตั้งแต่พระโอรสและพระธิดาทรงเจริญวัยพอที่จะรู้ความ พระราชินีของทั้งสองเมืองก็จะเล่าเรื่องราวในตำนานที่สำคัญเรื่องหนึ่งซึ่งเหมือนกันให้แก่พระโอรสและพระธิดาของตนฟังว่า...
"ย้อนกลับไปในยุคบรรพกาล เมื่อโลกเยาว์วัยและธารน้ำใสบริสุทธิ์ เทพเจ้าดำรงอยู่บนพื้นพิภพเดียวกันกับมนุษย์อย่างสงบสุขสันติ ดินแดนทางตะวันตกของทวีปคือสถานที่ตั้งของนครโบราณที่มนุษย์ยุคแรกปกครองอาศัยอยู่ ห่างออกไปทางตะวันออกคือที่ตั้งของหุบเขาทวยเทพ ความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์เป็นไปอย่างแน่นแฟ้นกลมเกลียว ผองเทพบนหุบเขาจะลงมาเยี่ยมเยียนมนุษย์เป็นครั้งคราว และในวันสำคัญเทพชั้นผู้ใหญ่ก็จะมาร่วมอวยพรด้วยเช่นกัน เทพบางองค์มีความรักต่อมนุษย์ ครองคู่กันสืบมา กลายมาเป็นชนเผ่าครึ่งเทวาโบราณ
โดยในฤดูใบไม้ผลิของทุกปีจะมีสีเขียวชอุ่มอยู่นานเป็นเวลาหลายเดือน น้ำในลำธารกระจ่างใสดุจกระจกแก้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารเติบโตโดยไม่ต้องรอการหว่านไถ ผู้คนมีหน้าที่เพียงเก็บเกี่ยวเท่านั้น เป็นเช่นนี้อยู่นาน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ยามนั้นเป็นเดือนสามปลายฤดูวสันต์ ธารน้ำกลับแห้งเหือด ใบไม้สีเขียวกลับกลายเป็นสีเหลืองซีด หลุดร่วงจากกิ่งทิ้งใบสู่ดินอันแห้งแล้ง โรคระบาดร้ายแรงแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนจำนวนมากล้มตายดุจใบไม้ร่วง แผ่นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ เหลือเพียงลมหายใจบางเบา ธารน้ำไม่บริสุทธิ์เหมือนเก่า เถ้ากระดูกกองใหญ่ หุบเขาเตียนโล้นด้วยเปลวไฟแห่งสงคราม เผ่าต่างๆได้รบราฆ่าฟันกันเองเพื่อช่วงชิงโภคภัณฑ์ธัญญาหารและดินแดน แผ่นดินกรำศึกจนบอบช้ำแปดเปื้อนมลทิน เลือดนองเป็นสายธาร แผ่นดินเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย เหล่าเทพเจ้าไม่อาจทนอยู่ในดินแดนอันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดได้ จึงได้ละทิ้งมนุษย์ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งใหม่อันไกลโพ้น และไม่ได้กลับมาอีกเลยนับแต่บัดนั้น
แต่ก่อนจากไป เทพเจ้าได้ประทานสามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ 1 แหวนศักดิ์สิทธิ์ แก่ราชินีแห่งเผ่าครึ่งเทวาโบราณศักดิ์สิทธิ์ เพื่อใช้เยียวยาและนำทางในความมืด , 1 ดาบเอกซ์คาลิเบอร์ศักดิ์สิทธิ์ แก่บรรพกษัตริย์มนุษย์ เพื่อใช้ปกป้องทุกเผ่าจากการรุกรานของความชั่วร้าย และ 1 หีบแห่งแสงสว่าง ให้ชนเผ่าเวทมนตร์ขาว เพื่อพิทักษ์รักษาแสงสว่าง และมอบคืนแก่มนุษย์ชาติ ยามเมื่อโลกตกอยู่ในความมืดมนอนธการ"
และเมื่อเล่าจบถึงตรงนี้ องค์ราชินีก็จะส่งลูกของตนเข้านอน จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ณ.ห้องบรรทมของเจ้าชายอารากอร์น หลังจากที่ทรงเล่าเรื่องในตำนานเหมือนคืนก่อนๆจบลง องค์ราชินีกิลไรน์ก็ได้พูดเป็นเสียงกระซิบต่ออีกว่า “ปัจจุบันชนเผ่าครึ่งเทวาโบราณกลายเป็นเพียงตำนาน เพราะเผ่าพันธุ์โบราณถูกสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หมดสิ้นไปแล้ว แต่แท้ที่จริงยังมีผู้สืบเชื้อสายเหลือรอดอยู่คนหนึ่ง”
“ใครหรือพระเจ้าข้า ?” อารากอร์นรู้สึกตื่นตัวและถามอย่างสงสัยทันที หลังจากที่เมื่อครู่เขารู้สึกงัวเงียง่วงนอนเหมือนทุกคราวที่มารดาเล่าเรื่องในตำนานจบรอบที่เท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว
“ก็คือบิดาเจ้าไงล่ะ หรือ ราชาอาราธอร์นที่ 2 แห่งตะวันนคร และผู้สืบเชื้อสายคนสุดท้ายจากบรรพกษัตริย์มนุษย์ตามตำนานคือ ราชาเอลรอนด์แห่งจันทรานคร หรือบิดาของอาร์เวน นั่นเอง”
คำตอบที่ได้รับสร้างความตะลึงงันให้กับอารากอร์น “พระบิดาน่ะหรือคือผู้สืบเชื้อสายชนเผ่าครึ่งเทวาโบราณคนสุดท้าย เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ ท่านแม่”
“อืมม.. ที่แม่จำเป็นต้องบอกความลับนี้ให้เจ้ารู้ เพิ่มเติมจากเรื่องในตำนานก็เพราะบิดาของเจ้าสั่งไว้ เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้มีคนพบเห็นมังกรตัวใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายในตำนาน บินอยู่เหนือหุบเขาวงกตในยามค่ำคืนหนึ่ง บิดาเจ้าทราบเรื่องแล้วเกรงว่าอาจจะมีภยันตรายที่ใหญ่หลวงตามมาในไม่ช้า จากแต่ก่อนช่วงเกือบหนึ่งร้อยปีมานี้บ้านเมืองเราอยู่กันอย่างสงบสุขเรียบร้อยเป็นปกติดี”
ราชินีหยุดพูดแล้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จ้องมองหน้าพระโอรสซึ่งในตอนนี้อยู่ในท่านั่งฟังอย่างตั้งใจแล้ว จึงเปลี่ยนใจพูดตัดบทว่า “วันนี้พอเท่านี้ก่อนนะ เรื่องผู้สืบทอดแห่งตำนานนั้นถือเป็นความลับที่ไม่มีใครทราบ นอกจากพ่อกับแม่ของเจ้า และพ่อแม่ของอาร์เวน รวมเป็นสี่คนเท่านั้น แต่สงสัยว่าตอนนี้น่าจะต้องนับเพิ่มเป็นห้าคนแล้วล่ะคือรวมเจ้าด้วย ข้อสำคัญคือเจ้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุด ห้ามบอกใครเป็นอันขาด เพราะมันหมายถึงอันตรายต่อชีวิตของเจ้าและพวกเราทั้งหมดทุกคน... เอาล่ะ คืนนี้เจ้านอนได้แล้วนะ ลูกแม่” ราชินีพูดจบก็โน้มตัวมากอดพระโอรสไว้ แล้วจูบเขาที่หน้าผาก เสร็จแล้วจึงหันหลังเดินช้าๆ ออกจากห้องบรรทมของเจ้าชายไป ทิ้งให้เจ้าชายอึ้งประหลาดใจและงุนงงกับเรื่องราวที่ได้ฟัง
วันต่อมา เจ้าชายอารากอร์นได้ออกไปเที่ยวเล่นกับสหายที่เป็นลูกของข้าราชบริพารที่ป่าเล็กข้างสวนในวัง แล้วบังเอิญเห็นกระต่ายป่าตัวเล็กสีขาวชมพูน่ารัก เลยพยายามติดตามจะไล่จับเพื่อเอากลับมาเลี้ยงให้ได้ จนเกิดพลัดหลงกับกลุ่มสหาย หายตัวลึกเข้าไปในป่าเพียงลำพัง เด็กหนุ่มหลงทางผ่านความมืดและความสว่าง ออกจากป่าเล็กผ่านดินแดนเปลี่ยวร้าง และทุ่งหญ้าเขียวขจี ติดตามกระต่ายป่าสีขาวชมพูมุ่งหน้าสู่ป่าใหญ่ลึกลับโบราณ กระทั่งข้ามเขตไปสู่เทือกเขาสีเทาเฉียดเข้าใกล้ถิ่นอาศัยของสัตว์ในตำนาน สัตว์ร่างใหญ่มีเกล็ดหนามีปีกสามารถบินและพ่นไฟได้ ซึ่งนานมากแล้วที่ไม่เคยปรากฏตัวให้มนุษย์ได้เห็น เด็กหนุ่มแหงนมองท้องฟ้า ด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่เห็นมังกรบินผ่านด้วยความว่องไวปานลมกรด ตัวมันสีเทารูปร่างใหญ่โตสง่างาม ขณะชูคอคำรามดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
เลยเทือกเขาสีเทาไปยังหุบเขาวงกต เด็กหนุ่มพบพ่อมดเฒ่าชั่วร้ายเจ้าอำนาจฝ่ายมืดสวมชุดดำตนหนึ่งมีชื่อว่า เซารอน เร้นกายอยู่ที่นั่น (พ่อมดเฒ่านี่เอง ที่วางแผนใช้เวทมนตร์เสกให้หนูกลายเป็นกระต่ายสีขาวชมพู แล้วไปล่อหลอกให้เจ้าชายอารากอร์นติดตามมาเพียงลำพังยังที่อยู่ของเขาซึ่งใช้เวทมนตร์อำพรางซ่อนตัว เพื่อแผนการที่ชั่วร้ายบางอย่าง) พ่อมดพูดเสนอว่าจะยอมมอบกระต่ายป่าสีขาวชมพูน่ารักตัวเล็กนั้นให้แก่เจ้าชายและยังจะช่วยทำให้เขากลายเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มีอำนาจมากที่สุดเหนือกว่าใครๆในหมู่มวลมนุษย์ได้โดยไม่ต้องฝึกฝนวิชาการต่อสู้รบเลย (นั่นคือการกลายร่างเป็นมังกรในเวลาที่โกรธ แต่พ่อมดเซารอนมิได้พูดบอกตรงๆ) โดยมีข้อแม้ว่าเจ้าชายจะต้องนำแหวนของพระราชบิดามามอบให้เขาเพื่อยืมใช้ในการประกอบเวทมนตร์พิธีเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ (ที่แท้พ่อมดมนต์ดำรู้ว่า บัดนี้แหวนศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในมือผู้ใด และพยายามใช้คำพูดหลอกลวงเจ้าชายว่าเพียงแค่ขอยืม เมื่อใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมอบคืนให้) แต่ห้ามบอกใครเป็นอันขาดแม้แต่พระบิดามารดาของเจ้าชาย
เจ้าชายอารากอร์นนิ่งลังเลใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่เมื่อได้เห็นพ่อมดเฒ่าเซารอนอุ้มกระต่ายป่าตัวเล็กสีขาวชมพูออกมาล่อ แล้วแกล้งพูดขู่ขึ้นว่า " ถ้าเจ้าไม่อยากได้กระต่ายตัวนี้แล้ว สงสัยข้าคงจะต้องเอามันไปให้เป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้ามังกรนาซกูลสีเทาที่เจ้าเห็นมันบินอยู่ใกล้ๆ หุบเขาวงกตก่อนเข้ามาถึงที่นี่ ท่าทางมันกำลังหิวกระหายเลือดอยู่พอดี อย่างน้อยคงพอทำให้มันลดความเกรี้ยวกราดลงได้บ้าง" ทำให้อารากอร์นตัดสินใจตอบตกลงตามเงื่อนไขของพ่อมดเซารอนที่ชั่วร้ายในที่สุด
เด็กหนุ่มกลับไปที่ปราสาท วันต่อมาในยามราตรี เขาปล่อยควันยาสลบไร้กลิ่นที่พ่อมดให้มาเพื่อจัดการตามแผนเข้าไปในห้องบรรทมของพระราชบิดามารดาแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง พอมั่นใจว่าควันจางหายและคนในห้องสลบหลับไปแน่นอนแล้วจึงค่อยๆย่องเข้าไป ขโมยแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่พระราชาถอดวางไว้ข้างหัวเตียงที่ทรงบรรทมอยู่เอามา แล้วนำแหวนปลอมที่คล้ายคลึงกันมากซึ่งรับมาจากพ่อมดไปวางไว้แทนที่โดยไม่มีใครรู้ เสร็จแล้วก็รีบหนีออกมาจากห้อง
เขาหลบหนีออกมาจากปราสาท กลับมาหาพ่อมดพร้อมกับแหวนศักดิ์สิทธิ์ของพระบิดา เซารอนรับมันมาด้วยความพึงพอใจ กลอกสายตาบูดโปนน่าเกลียดพินิจพิจารณา พร้อมกับหัวเราะเสียงแหลม บอกให้เขารอแล้วพ่อมดเฒ่าก็หายตัวไป
เขารออยู่ที่นั่นด้วยความกระสับกระส่าย กลัวว่าจะโดนพ่อมดเฒ่าหลอกเอาของแล้วหนีไป แม้จะรู้สึกหมดหวังแต่เขาก็ยังปักหลักรอคอยจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืน แล้วเซารอนก็กลับมา ดวงจันทร์สีส้มอมแดงปรากฏอยู่เหนือพยับเมฆซึ่งรวมกลุ่มหนาราวกับว่าจะเกิดพายุฟ้าคะนองในคืนนั้น พ่อมดดำเซารอนพึมพำเวทมนตร์คาถา ขณะเริ่มต้นปรุงยาในหม้อเดือดพล่าน
“ถ้าเจ้ากล้าเผชิญหน้ากับความตาย ก็จงดื่มยาพิษนี้” เซารอนกล่าวขึ้น
“นี่มันอะไรกัน! ทำไมข้าถึงต้องดื่มยาพิษนี้ด้วย?” อารากอร์นฟังวาจาข่มขู่ของพ่อมดเฒ่า แล้วชักสงสัยจึงเอ่ยถาม
“เพราะเจ้าต้องการเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือใคร ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ไง และถ้าหากเจ้าทนต่อพิษร้ายกาจนี้ได้ เจ้าก็จะมีอำนาจแปลงกายเป็นมังกรได้สมใจ แต่ถ้าทนไม่ได้ เจ้าก็จะต้องตายอย่างอนาถทรมานที่สุดภายในหนึ่งราตรีไม่เกินนี้”
(มีต่อครับ) ^^