“ก้าวไกล” แจงปม “ธนาธร”ถูกบิดเบือน ชงลดงบนครศรีฯ ชี้ต้องปรับแผนป้องน้ำท่วม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_5481728
“ก้าวไกล” แจงปม “ธนาธร”ถูกบิดเบือน ชงลดงบนครศรีฯ ชี้ต้องปรับแผนป้องน้ำท่วม หวั่นรัฐเอาไปละลายน้ำ ไม่เกิดประโยชน์ ยกงานวิชาการเสนอทางแก้
กรณี น้ำท่วม จ.นครศรีธรรมราช มีการนำข้อความและคลิปในช่วงที่
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งขณะนั้นทำหน้าที่เป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สัดส่วนพรรคก้าวไกล อภิปรายไว้มาบิดเบือน และเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ในสื่อออนไลน์ โดยพยายามชี้นำว่า เป็นการเสนอลดงบประมาณดูแลพี่น้องนครศรีธรรมราชลงโดยไม่สนใจความเดือดร้อน ทั้งที่เหตุอุทกภัยเป็นความจำเป็นนั้น
วันที่ 7 ธ.ค. นาย
พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวในเรื่องนี้ว่า มีข้อเท็จจริงที่ต้องอธิบายคือ การอภิปรายดังกล่าวเป็นเรื่องความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ เพื่อหาแนวทางป้องกันน้ำท่วมได้อย่างยั่งยืนสำหรับชาวนครศรีธรรมราช
ซึ่งข้อถกเถียงสำคัญคืองบประมาณที่รัฐบาลลงทุนนั้นมีศักยภาพป้องกันอุทกภัยได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของการเสนอลดงบประมาณโดยไม่ใส่ใจปัญหาสำคัญของชาวนครศรีธรรมราช และรายละเอียดของการอภิปรายดังกล่าวไม่ได้แตะต้องงบประมาณที่มีการดำเนินการไปแล้ว ดังนั้น อุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จึงยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอปรับลดงบประมาณดังกล่าว แต่เป็นเรื่องของการวางแผนงบประมาณที่คุ้มค่าต่อชาวนครศรีธรรมราชจริงๆในอนาคต
นาย
พิจารณ์ กล่าวต่อว่า หากจำกันได้ ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณปี 64 พรรคก้าวไกลได้มีการหยิบยกเอาโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ จ.นครศรีธรรมราช (คลองผันน้ำ) มาอภิปราย โครงการนี้มีมูลค่าสูงถึง 9,580 ล้านบาท เป็นการขุดคลองสาขาเพื่อเพิ่มช่องทางการระบายน้ำที่จะไหลจากภูเขาลงสู่ทะเล ผันน้ำออกไม่ให้ท่วมตัวเมือง โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2561 แต่แทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ หลังจากดำเนินโครงการมาแล้ว 3 ปี
พรรคก้าวไกล เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ และเข้าใจหัวอกคนนครที่ต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากปีแล้วปีเล่า แต่สิ่งที่เราท้วงติง คือ แผนงานที่จะไม่เกิดผลในการป้องกันน้ำท่วมได้จริง เพราะไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) ที่เป็นปัจจุบัน และไม่มีการทำ EIA สุดท้ายงบประมาณที่ลงไปเกือบหมื่นล้านก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ สิ้นเปลืองงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์
ซึ่งการทักท้วงนี้ ทุกอย่างมาจากการศึกษาตามหลักวิชาการ มีการทำแบบจำลองคาดการณ์การไหลของน้ำในสถานการณ์น้ำท่วมในอดีต เราพบว่าแม้ว่าจะมีคลองผันน้ำกว้างถึง 80 เมตร แต่แทบเป็นได้ยากมากที่จะควบคุมมวลน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลบ่าจากเทือกเขาหลวงให้ไหลลงสู่คลองระบายน้ำได้ ผลก็คือแม้จะลงเงินงบประมาณเป็นหมื่นล้าน น้ำจะยังคงท่วมตัวเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ดี
สิ่งที่กรรมาธิการสัดส่วนพรรคก้าวไกลนำเสนออีกทางเลือกหนึ่ง คือ การตัดยอดน้ำ โดยการสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อรับน้ำบางส่วนตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อลดปริมาณน้ำที่ต้องไหลลงสู่คลองผันน้ำก่อนลงสู่ทะเล และปรับปรุงคันคลองเดิม ด้วยวิธีการนี้เราจะสามารถลดขนาดคลองขุดใหม่เพื่อเลี่ยงน้ำออกจากตัวเมืองได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การใช้งบประมาณที่ลดลง
เราจึงเสนอให้ทบทวนรูปแบบการดำเนินโครงการที่เพิ่งเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2564 เพื่อศึกษาทางเลือกที่ดีกว่า โดยโครงการย่อยอื่นๆ ที่ได้ดำเนินไปแล้วโดยที่เป็นโครงการที่อนุมัติตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561-2563 ก็ให้เร่งรัดดำเนินการต่อเพราะหลายโครงการย่อยยังมีความคืบหน้าไปไม่มาก และอีกหลายโครงการย่อยยังไม่ได้เริ่มต้น ดังนั้นโครงการที่จะเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2564 จึงอยู่ในวิสัยที่จะชะลอได้ เพื่อให้มีการศึกษาทางหลักวิชาการให้ได้รูปแบบการจัดการน้ำที่เหมาะสมและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนมากกว่าที่ทำอยู่
น่าเสียดายที่สุดท้ายคณะกรรมาธิการงบมีมติไม่ชะลอโครงการด้วยคะแนนเสียง 32 ต่อ 16 งดออกเสียง 5 ท่าน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พรรคก้าวไกลอยากจะให้ดำเนินโครงการอย่างมีเหตุผลและมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมากกว่าการอธิบายด้วยการลงทุนด้วยงบมหาศาลแต่ประสิทธิภาพต้องลุ้น
เปิดใจหนุ่มโพสต์แกนนำม็อบพิษณุโลกถูกอุ้ม เจอข้อหาหนัก ติดคุกฟรี3เดือน สุดท้ายรอด!
https://www.matichon.co.th/politics/news_2475812
เปิดใจหนุ่มพิษณุโลก ตร.ระดมข้อหาหนักคดีการเมือง อัยการสั่งไม่ฟ้อง ติดคุกฟรี3เดือน
หากยังจำกันได้ กรณีการนัดชุมนุมชูสามนิ้วต้านรัฐบาลที่จังหวัดพิษณุโลก ช่วงต้นเดือนสิงหาคม ก่อนการจัดชุมนุม เกิดเหตุเยาวชน แกนนำกลุ่มพิษณุโลกคนกล้าฯ หายตัวลึกลับ ท่ามกลางคำถามว่าหายไปไหน
ต่อมาเพจ “
พิษณุโลกคนกล้า ไม่ก้มหน้าให้[เผล่ะจัง]” โพสต์ข้อความสรุปได้ว่า มีเหตุการณ์แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมถูกกลุ่มบุคคลซึ่งเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ นำตัวไปจากบริเวณลานจอดรถวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ ต.ในเมือง อ.เมือง เพื่อให้งานล่ม ไม่ให้เกิดการชุมนุมขึ้นในวันที่ 9 ส.ค. โดยระบุว่า มีการนำตัวแกนนำไปในค่าย ตชด.เจ้าพระยาจักรี (กก.ตชด.31) มีส.ส.และสื่อมวลชนนำเสนอข่าวดังกล่าว
ถัดมา เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมายืนยันไม่มีการควบคุมตัวแกนนำ และจะเอาผิดคนโพสต์ข้อความดังกล่าว ด้วยพรบ.คอมพิวเตอร์ จากนั้นไม่กี่วันถัดมาก ตำรวจพิษณุโลก ร่วมกันแถลงจับกุม นาย
เวหา หรือ
อาร์ท แสนชนชนะศึก อายุ 36 ปี ชาว อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ผู้ต้องหาตามหมายจับ ที่ 183/2563 ลงวันที่ 13 ส.ค.2563 ซึ่งกระทำความผิดฐาน
“นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน”
“
เวหา” ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว พร้อมยืนฝากขังในเรือนจำ ต่อเนื่องกันถึง 4 ครั้ง ตามกฎหมายจะครบกำหนดฝากขัง ราวต้นเดือนตุลาคม แต่เขาถูกขังอยู่นานถึงต้นเดือนพฤศจิกายน จากนั้นอัยการก็มีคำสั่งไม่ฟ้องในคดี พรบ.คอมพิวเตอร์ เพราะข้อกล่าวหาไม่เข้าความผิด
เรื่องยังไม่จบ ตำรวจพิษณุโลก เดินหน้าแจ้งเอาผิดตามมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา ข้อหา ยุยงปลุกปั่น อันก่อให้เกิดความกระด้าง กระเดื่อง ระหว่างที่เขาถูกฝากขังในเรือนจำ ซึ่ง อัยการก็สั่งไม่ฟ้องอีก
“สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ชุดจับกุมของตำรวจภูธรภาค 6 ได้นำกำลังกว่า 20 นายเข้าบุกค้นและจับกุมผมที่บ้าน ตามหมายจับของศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 183/2563 ข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยข้อความอันเป็นเท็จ อันจะทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ (พรบ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3)) ในกรณีที่ผมเผยแพร่ข้อความว่ามีนักเรียนและประชาชนในจังหวัดพิษณุโลกถูกคุกคามในระหว่างการชุมนุมทางการเมือง ระหว่างที่ผมถูกควบคุมตัวที่ สภ. เมืองพิษณุโลก เจ้าหน้าที่ได้แถลงข่าวการจับกุมต่อสื่อมวลชน โดยที่ผมไม่สามารถให้การหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับสื่อมวลชนได้” เวหา เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟัง
เขาเล่าต่อว่า
“หลังจากการแถลงข่าว ผมถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องขังของ สภ. เมืองพิษณุโลก เป็นเวลา 2 คืน เพื่อดำเนินการสอบปากคำ หลังจากนั้นได้นำตัวผมไปขอฝากขังต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก พร้อมทั้งคัดค้านการประกันตัว ทำให้ผมต้องเข้าเรือนจำตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2563 ในระหว่างนั้น พนักงานสอบสวนได้มาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมที่เรือนจำ ในข้อหาความมั่นคงตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 116 เพิ่มอีกข้อหาหนึ่ง และยังคงฝากขังต่อไปเรื่อยๆ” เวหากล่าว
เขาถูกขังในเรือนจำเป็นเวลานานจนผิดสังเกต ตำรวจไม่มายื่นฝากขังเพิ่ม เขาจึงให้ญาติ ไปสอบถามกลับศาล ในวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สุดท้ายได้คำตอบว่า อัยการสั่งไม่ฟ้องนานแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่ไม่มีใครมาแจ้ง ขณะที่เขาอยู่เรือนจำ ไม่รับทราบข่าวใดๆ มีเพียงเพื่อนผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่เรือนจำที่บอกให้ฟังว่าตร.มีอำนาจฝากขังได้สูงสุดได้ 7 ครั้ง วันเดียวกันนั้น จึงมีคำสั่งปล่อยตัว เวหา ออกจากเรือนจำ
เขาเล่าว่า
“ในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นวันที่ครบกำหนดการฝากขัง แต่ไม่มีการเรียกตัวผมไปฝากขังเพิ่มเติม แต่ผมก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ โดยที่ผมเองก็ไม่ทราบถึงความคืบหน้าและขั้นตอนใดๆของคดี เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่มีการแจ้งให้ทราบ และการถูกคุมขังในเรือนจำทำให้ผมสิ้นอิสรภาพและเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก”
“จนเวลาล่วงเลยไปเป็นเดือน ญาติของผมจึงได้ไปสอบถามความคืบหน้าที่ศาลในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 ปรากฏว่า คดีนี้อัยการไม่สั่งฟ้อง เนื่องจากผมไม่ได้กระทำความผิดครบองค์ประกอบความผิดของข้อกล่าวหา และข้อความที่เผยแพร่นั้นไม่ได้เป็นความเท็จแต่อย่างใด อีกทั้งไม่ได้กระทำการอันเป็นการยุยงปลุกปั่นใดๆ ญาติของผมจึงดำเนินการขอปล่อยตัว ทำให้ผมได้รับการปล่อยตัวในช่วงค่ำของวันนั้น รวมระยะเวลาที่ผมถูกคุมขังในเรือนจำ 2 เดือน 25 วัน” เวหาเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟัง
คดียังไม่จบ ล่าสุดตำรวจยังแจ้งข้อหา ทำผิดพรบ.ชุมนุมสาธารณะ ซึ่งอัยการกำลังนัดฟังคำสั่งว่า จะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
“ในวันนี้ (7 ธันวาคม 2563) พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก ได้นำตัวผมเข้ามาพบอัยการคดีศาลแขวงพิษณุโลก เพื่อรายงานตัวและส่งสำนวนฟ้องใหม่ โดยตั้งข้อกล่าวหากระทำผิด พรบ. ชุมนุม ฐานไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เบื้องต้นผมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาเนื่องจากไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุมและไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุม โดยพนักงานอัยการคดีศาลแขวงพิษณุโลก ได้นัดฟังคำสั่งในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564” เวหา กล่าวยืนยัน
วันนี้
เวหา ไม่ต้องถูกขังในเรือนจำอีก เขาหลุดพ้นจาก 2 ข้อกล่าวหาใหญ่ ทั้ง พรบ.คอมพิวเตอร์ และ มาตรา 116 ฐานะปลุกระดมก่อเกิดความไม่สงบ เหลือแค่คดี ชุมนุมสาธารณะ หากผิดจริงโทษก็ไม่หนัก แต่เขาก็ยืนยัน ว่า เขาไม่เกี่ยว ไม่ได้ไป ไม่ได้นัดใคร และ ไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุม
เวหา เล่าให้ฟังว่า แม้เขาจะดีใจที่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้ทำผิดตามข้อกล่าวหา แต่ตลอดเวลาเกือบสามเดือน เขาต้องทุกข์ทน จากการถูกจำกัดอิสรภาพ เสียเวลาและโอกาสต่างๆ ระหว่างเขาถูกดำเนินคดี แม้หลายคนจะให้กำลังใจ แต่ ในช่วงแรก ญาติพี่น้องคนรอบข้างเขาหลายคน ถึงกลับอันเฟรนด์เขาจากโลกสังคมออนไลน์
เมื่อถามว่า ความรู้สึกในวันนี้เป็นอย่างไร
เวหา กล่าวสวนกลับทันทีว่า “
ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม” เพราะเขาเองเป็นคนถูกกระทำเสียเอง ชีวิตเขาประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ที่ผ่านมาไม่เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกลับใคร แค่สนใจปัญหาและประเด็นทางการเมือง วันนี้ เมื่อถูกกระทำเสียเอง นอกจากความรู้สึกอยุติธรรมจะไม่ลดลงแล้ว เขากลับยิ่งโกรธแค้นมากกว่าเดิมเสียอีก
JJNY : ก.ก.แจงปมธนาธรถูกบิดเบือน/หนุ่มโพสต์แกนนำถูกอุ้มติดคุกฟรี3ด./เศรษฐาแนะเร่งเปิดปท./72.85%เห็นด้วยใส่ไปรเวตทุกศุกร์
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_5481728
“ก้าวไกล” แจงปม “ธนาธร”ถูกบิดเบือน ชงลดงบนครศรีฯ ชี้ต้องปรับแผนป้องน้ำท่วม หวั่นรัฐเอาไปละลายน้ำ ไม่เกิดประโยชน์ ยกงานวิชาการเสนอทางแก้
กรณี น้ำท่วม จ.นครศรีธรรมราช มีการนำข้อความและคลิปในช่วงที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งขณะนั้นทำหน้าที่เป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สัดส่วนพรรคก้าวไกล อภิปรายไว้มาบิดเบือน และเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ในสื่อออนไลน์ โดยพยายามชี้นำว่า เป็นการเสนอลดงบประมาณดูแลพี่น้องนครศรีธรรมราชลงโดยไม่สนใจความเดือดร้อน ทั้งที่เหตุอุทกภัยเป็นความจำเป็นนั้น
วันที่ 7 ธ.ค. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวในเรื่องนี้ว่า มีข้อเท็จจริงที่ต้องอธิบายคือ การอภิปรายดังกล่าวเป็นเรื่องความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ เพื่อหาแนวทางป้องกันน้ำท่วมได้อย่างยั่งยืนสำหรับชาวนครศรีธรรมราช
ซึ่งข้อถกเถียงสำคัญคืองบประมาณที่รัฐบาลลงทุนนั้นมีศักยภาพป้องกันอุทกภัยได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของการเสนอลดงบประมาณโดยไม่ใส่ใจปัญหาสำคัญของชาวนครศรีธรรมราช และรายละเอียดของการอภิปรายดังกล่าวไม่ได้แตะต้องงบประมาณที่มีการดำเนินการไปแล้ว ดังนั้น อุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จึงยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอปรับลดงบประมาณดังกล่าว แต่เป็นเรื่องของการวางแผนงบประมาณที่คุ้มค่าต่อชาวนครศรีธรรมราชจริงๆในอนาคต
นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า หากจำกันได้ ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณปี 64 พรรคก้าวไกลได้มีการหยิบยกเอาโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ จ.นครศรีธรรมราช (คลองผันน้ำ) มาอภิปราย โครงการนี้มีมูลค่าสูงถึง 9,580 ล้านบาท เป็นการขุดคลองสาขาเพื่อเพิ่มช่องทางการระบายน้ำที่จะไหลจากภูเขาลงสู่ทะเล ผันน้ำออกไม่ให้ท่วมตัวเมือง โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2561 แต่แทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ หลังจากดำเนินโครงการมาแล้ว 3 ปี
พรรคก้าวไกล เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ และเข้าใจหัวอกคนนครที่ต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากปีแล้วปีเล่า แต่สิ่งที่เราท้วงติง คือ แผนงานที่จะไม่เกิดผลในการป้องกันน้ำท่วมได้จริง เพราะไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) ที่เป็นปัจจุบัน และไม่มีการทำ EIA สุดท้ายงบประมาณที่ลงไปเกือบหมื่นล้านก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ สิ้นเปลืองงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์
ซึ่งการทักท้วงนี้ ทุกอย่างมาจากการศึกษาตามหลักวิชาการ มีการทำแบบจำลองคาดการณ์การไหลของน้ำในสถานการณ์น้ำท่วมในอดีต เราพบว่าแม้ว่าจะมีคลองผันน้ำกว้างถึง 80 เมตร แต่แทบเป็นได้ยากมากที่จะควบคุมมวลน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลบ่าจากเทือกเขาหลวงให้ไหลลงสู่คลองระบายน้ำได้ ผลก็คือแม้จะลงเงินงบประมาณเป็นหมื่นล้าน น้ำจะยังคงท่วมตัวเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ดี
สิ่งที่กรรมาธิการสัดส่วนพรรคก้าวไกลนำเสนออีกทางเลือกหนึ่ง คือ การตัดยอดน้ำ โดยการสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อรับน้ำบางส่วนตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อลดปริมาณน้ำที่ต้องไหลลงสู่คลองผันน้ำก่อนลงสู่ทะเล และปรับปรุงคันคลองเดิม ด้วยวิธีการนี้เราจะสามารถลดขนาดคลองขุดใหม่เพื่อเลี่ยงน้ำออกจากตัวเมืองได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การใช้งบประมาณที่ลดลง
เราจึงเสนอให้ทบทวนรูปแบบการดำเนินโครงการที่เพิ่งเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2564 เพื่อศึกษาทางเลือกที่ดีกว่า โดยโครงการย่อยอื่นๆ ที่ได้ดำเนินไปแล้วโดยที่เป็นโครงการที่อนุมัติตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561-2563 ก็ให้เร่งรัดดำเนินการต่อเพราะหลายโครงการย่อยยังมีความคืบหน้าไปไม่มาก และอีกหลายโครงการย่อยยังไม่ได้เริ่มต้น ดังนั้นโครงการที่จะเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2564 จึงอยู่ในวิสัยที่จะชะลอได้ เพื่อให้มีการศึกษาทางหลักวิชาการให้ได้รูปแบบการจัดการน้ำที่เหมาะสมและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนมากกว่าที่ทำอยู่
น่าเสียดายที่สุดท้ายคณะกรรมาธิการงบมีมติไม่ชะลอโครงการด้วยคะแนนเสียง 32 ต่อ 16 งดออกเสียง 5 ท่าน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พรรคก้าวไกลอยากจะให้ดำเนินโครงการอย่างมีเหตุผลและมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมากกว่าการอธิบายด้วยการลงทุนด้วยงบมหาศาลแต่ประสิทธิภาพต้องลุ้น
เปิดใจหนุ่มโพสต์แกนนำม็อบพิษณุโลกถูกอุ้ม เจอข้อหาหนัก ติดคุกฟรี3เดือน สุดท้ายรอด!
https://www.matichon.co.th/politics/news_2475812
เปิดใจหนุ่มพิษณุโลก ตร.ระดมข้อหาหนักคดีการเมือง อัยการสั่งไม่ฟ้อง ติดคุกฟรี3เดือน
หากยังจำกันได้ กรณีการนัดชุมนุมชูสามนิ้วต้านรัฐบาลที่จังหวัดพิษณุโลก ช่วงต้นเดือนสิงหาคม ก่อนการจัดชุมนุม เกิดเหตุเยาวชน แกนนำกลุ่มพิษณุโลกคนกล้าฯ หายตัวลึกลับ ท่ามกลางคำถามว่าหายไปไหน
ต่อมาเพจ “พิษณุโลกคนกล้า ไม่ก้มหน้าให้[เผล่ะจัง]” โพสต์ข้อความสรุปได้ว่า มีเหตุการณ์แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมถูกกลุ่มบุคคลซึ่งเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ นำตัวไปจากบริเวณลานจอดรถวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ ต.ในเมือง อ.เมือง เพื่อให้งานล่ม ไม่ให้เกิดการชุมนุมขึ้นในวันที่ 9 ส.ค. โดยระบุว่า มีการนำตัวแกนนำไปในค่าย ตชด.เจ้าพระยาจักรี (กก.ตชด.31) มีส.ส.และสื่อมวลชนนำเสนอข่าวดังกล่าว
ถัดมา เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมายืนยันไม่มีการควบคุมตัวแกนนำ และจะเอาผิดคนโพสต์ข้อความดังกล่าว ด้วยพรบ.คอมพิวเตอร์ จากนั้นไม่กี่วันถัดมาก ตำรวจพิษณุโลก ร่วมกันแถลงจับกุม นายเวหา หรืออาร์ท แสนชนชนะศึก อายุ 36 ปี ชาว อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ผู้ต้องหาตามหมายจับ ที่ 183/2563 ลงวันที่ 13 ส.ค.2563 ซึ่งกระทำความผิดฐาน
“นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน”
“เวหา” ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว พร้อมยืนฝากขังในเรือนจำ ต่อเนื่องกันถึง 4 ครั้ง ตามกฎหมายจะครบกำหนดฝากขัง ราวต้นเดือนตุลาคม แต่เขาถูกขังอยู่นานถึงต้นเดือนพฤศจิกายน จากนั้นอัยการก็มีคำสั่งไม่ฟ้องในคดี พรบ.คอมพิวเตอร์ เพราะข้อกล่าวหาไม่เข้าความผิด
เรื่องยังไม่จบ ตำรวจพิษณุโลก เดินหน้าแจ้งเอาผิดตามมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา ข้อหา ยุยงปลุกปั่น อันก่อให้เกิดความกระด้าง กระเดื่อง ระหว่างที่เขาถูกฝากขังในเรือนจำ ซึ่ง อัยการก็สั่งไม่ฟ้องอีก
“สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ชุดจับกุมของตำรวจภูธรภาค 6 ได้นำกำลังกว่า 20 นายเข้าบุกค้นและจับกุมผมที่บ้าน ตามหมายจับของศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 183/2563 ข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยข้อความอันเป็นเท็จ อันจะทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ (พรบ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3)) ในกรณีที่ผมเผยแพร่ข้อความว่ามีนักเรียนและประชาชนในจังหวัดพิษณุโลกถูกคุกคามในระหว่างการชุมนุมทางการเมือง ระหว่างที่ผมถูกควบคุมตัวที่ สภ. เมืองพิษณุโลก เจ้าหน้าที่ได้แถลงข่าวการจับกุมต่อสื่อมวลชน โดยที่ผมไม่สามารถให้การหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับสื่อมวลชนได้” เวหา เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟัง
เขาเล่าต่อว่า “หลังจากการแถลงข่าว ผมถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องขังของ สภ. เมืองพิษณุโลก เป็นเวลา 2 คืน เพื่อดำเนินการสอบปากคำ หลังจากนั้นได้นำตัวผมไปขอฝากขังต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก พร้อมทั้งคัดค้านการประกันตัว ทำให้ผมต้องเข้าเรือนจำตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2563 ในระหว่างนั้น พนักงานสอบสวนได้มาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมที่เรือนจำ ในข้อหาความมั่นคงตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 116 เพิ่มอีกข้อหาหนึ่ง และยังคงฝากขังต่อไปเรื่อยๆ” เวหากล่าว
เขาถูกขังในเรือนจำเป็นเวลานานจนผิดสังเกต ตำรวจไม่มายื่นฝากขังเพิ่ม เขาจึงให้ญาติ ไปสอบถามกลับศาล ในวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สุดท้ายได้คำตอบว่า อัยการสั่งไม่ฟ้องนานแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่ไม่มีใครมาแจ้ง ขณะที่เขาอยู่เรือนจำ ไม่รับทราบข่าวใดๆ มีเพียงเพื่อนผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่เรือนจำที่บอกให้ฟังว่าตร.มีอำนาจฝากขังได้สูงสุดได้ 7 ครั้ง วันเดียวกันนั้น จึงมีคำสั่งปล่อยตัว เวหา ออกจากเรือนจำ
เขาเล่าว่า “ในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นวันที่ครบกำหนดการฝากขัง แต่ไม่มีการเรียกตัวผมไปฝากขังเพิ่มเติม แต่ผมก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ โดยที่ผมเองก็ไม่ทราบถึงความคืบหน้าและขั้นตอนใดๆของคดี เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่มีการแจ้งให้ทราบ และการถูกคุมขังในเรือนจำทำให้ผมสิ้นอิสรภาพและเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก”
“จนเวลาล่วงเลยไปเป็นเดือน ญาติของผมจึงได้ไปสอบถามความคืบหน้าที่ศาลในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 ปรากฏว่า คดีนี้อัยการไม่สั่งฟ้อง เนื่องจากผมไม่ได้กระทำความผิดครบองค์ประกอบความผิดของข้อกล่าวหา และข้อความที่เผยแพร่นั้นไม่ได้เป็นความเท็จแต่อย่างใด อีกทั้งไม่ได้กระทำการอันเป็นการยุยงปลุกปั่นใดๆ ญาติของผมจึงดำเนินการขอปล่อยตัว ทำให้ผมได้รับการปล่อยตัวในช่วงค่ำของวันนั้น รวมระยะเวลาที่ผมถูกคุมขังในเรือนจำ 2 เดือน 25 วัน” เวหาเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟัง
คดียังไม่จบ ล่าสุดตำรวจยังแจ้งข้อหา ทำผิดพรบ.ชุมนุมสาธารณะ ซึ่งอัยการกำลังนัดฟังคำสั่งว่า จะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
“ในวันนี้ (7 ธันวาคม 2563) พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก ได้นำตัวผมเข้ามาพบอัยการคดีศาลแขวงพิษณุโลก เพื่อรายงานตัวและส่งสำนวนฟ้องใหม่ โดยตั้งข้อกล่าวหากระทำผิด พรบ. ชุมนุม ฐานไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เบื้องต้นผมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาเนื่องจากไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุมและไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุม โดยพนักงานอัยการคดีศาลแขวงพิษณุโลก ได้นัดฟังคำสั่งในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564” เวหา กล่าวยืนยัน
วันนี้ เวหา ไม่ต้องถูกขังในเรือนจำอีก เขาหลุดพ้นจาก 2 ข้อกล่าวหาใหญ่ ทั้ง พรบ.คอมพิวเตอร์ และ มาตรา 116 ฐานะปลุกระดมก่อเกิดความไม่สงบ เหลือแค่คดี ชุมนุมสาธารณะ หากผิดจริงโทษก็ไม่หนัก แต่เขาก็ยืนยัน ว่า เขาไม่เกี่ยว ไม่ได้ไป ไม่ได้นัดใคร และ ไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุม
เวหา เล่าให้ฟังว่า แม้เขาจะดีใจที่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้ทำผิดตามข้อกล่าวหา แต่ตลอดเวลาเกือบสามเดือน เขาต้องทุกข์ทน จากการถูกจำกัดอิสรภาพ เสียเวลาและโอกาสต่างๆ ระหว่างเขาถูกดำเนินคดี แม้หลายคนจะให้กำลังใจ แต่ ในช่วงแรก ญาติพี่น้องคนรอบข้างเขาหลายคน ถึงกลับอันเฟรนด์เขาจากโลกสังคมออนไลน์
เมื่อถามว่า ความรู้สึกในวันนี้เป็นอย่างไร เวหา กล่าวสวนกลับทันทีว่า “ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม” เพราะเขาเองเป็นคนถูกกระทำเสียเอง ชีวิตเขาประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ที่ผ่านมาไม่เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกลับใคร แค่สนใจปัญหาและประเด็นทางการเมือง วันนี้ เมื่อถูกกระทำเสียเอง นอกจากความรู้สึกอยุติธรรมจะไม่ลดลงแล้ว เขากลับยิ่งโกรธแค้นมากกว่าเดิมเสียอีก