เนื่องจากเราได้เขียนกระทู้เกี่ยวกับการเป็นแผลที่กระจกตาแล้ว ใครยังไม่ได้อ่าน ย้อนไปอ่านได้ที่
https://ppantip.com/topic/39044192
***ยาวหน่อยนะคะ*** เข้าเรื่องเลยนะคะ หลังจากมีการระบากโควิด เรากลับมาทำงานที่ไทย โดยทำงานอยู่ต่างจังหวัด โดยวันนั้นเราเลิกงาน กำลังซื้อข้าวกับข้าวมานั่งที่ห้อง จำได้เลยว่า วันที่ 11 ตุลาคม 2563 เวลา 21.30 น. พ่อโทรมาหาเรา เราแปลกใจมากว่าเวลานี้พ่อโทรมาทำไม พอบอกเราว่า "หมอโรงพยาบาลโทรมาว่าให้ไปโรงบาล วันที่ 14 นี้ ได้คิวผ่าตัดตาแล้ว"
ตอนนั้นความรู้สึกคือแบบ นี้แหล่ะที่รอคอย ฉันจะต้องไปให้ได้ ไม่ว่าอะไรมาขวางฉันก็จะต้องไปผ่าตัดให้ได้ เหมือนความหวัง การรอคอยที่เรารอมา 5 ปีกว่า ถึงที่สิ้นสุด
เราจึงเก็บเสื้อผ้าจากที่ห้องพัก และเดินทางกลับไปยังโรงพยาบาลที่จะทำการผ่าตัด โดยที่แรก หมอบอกพ่อว่าได้คิวผ่าตัดวันที่ 19 แต่ให้ไปนอนรอที่โรงบาลวันที่ 14 เลย เรามานอนใกล้ๆโรงพยาบาลเพราะเราเดินทางมาถึงวันที่ 12
เราให้พ่อเราไปขอใบส่งตัวจากโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์อยู่ และให้พ่อส่งมาให้เรา
วันที่ 13
ตอนสายๆหมอโทรมาเบอร์เรา (ตอนแรกเมื่อวันที่ 11 หมอโทรมาหาเบอร์เรา แต่เราไม่มีสัญญาณ หมอเลยโทรไปเบอร์พ่อ เพราะเราให้เบอร์ไว้ 2 เบอร์ โชคดีที่หมอตามให้) โดยหมอโทรมาถามย้ำว่าทราบหรือยังว่าเราได้ดวงตา ใช้สิทธิ์อะไร และแนะนำให้เตรียมเอกสารให้พร้อม
วันที่ 14
เราตืนมาโรงบาลที่จะผ่าตัด(โรงพยาบาลรัฐ) มาถึง 06.00 น. มานั่งรอคิว โดยเราไปที่ห้องรวจเลย และนั่งรอจนเจ้าหน้าที่มา เวลาประมาณ 7 โมงกว่าๆ ถามเจ้าหน้าที่ว่า "หมอโทรตามให้มาผ่าตัดกระจกตาต้องทำยังไงบ้าง" เจ้าหน้าที่แนะนำให้กลับไปจุดคัดกรอง ซึ่งขอบอกว่าเวลานั้น คนเยอะมากก แถวยาวมาก เราก็ยื่นเรื่องคัดกรอง ประสานสิทธิ์ที่ใช้รักษา และขึ้นมาตรวจตอนนั้นเป็นเวลา เกือบ 9 โมง โดยเราวัดสายตา ทำเรื่องนอนโรงบาล และรอหมอตรวจ ซึ่งตอนนั้นการรอคอยเหมือนผ่านไปไวมาก หมอเรียกเข้าห้องไป ตรวจเสร็จหมอถามว่า ต้องใช้มีดในการผ่าตัด 2 อัน โดยมีดมี 2 แบบ แบบใหม่เลย 6000 บาท และแบบเก่าผ่านการใช้งานแล้วแต่นำไปฆ่าเชื้ออะไรหมด (วิธีนี้หมอจะแนะนำสำหรับคนไม่ค่อยมีเงิน) ราคา 2000 - 2500 มั้งเราก็จำไม่ได้ แต่หมอจะบังคับต้องซื้อมีดใหม่เพื่อเฉือนกระจกตาเรา 1 อัน ส่วนอันที่ใช้ตัดตาผู้บริจาคจะใช้แบบใหม่หรือเก่าก็ได้ เราได้ถามความต่างระหว่างแบบเก่า กับใหม่ว่ามีความต่างกันตรงไหน หมอบอกว่า แบบใหม่จะตัดได้ง่ายกว่าแบบเก่า ในตอนนั้นเราคิดในหัวว่า จะเอาแบบไหนดี แต่เพื่อสิ่งที่รอคอยเราก็อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด เราเลือกมีดใหม่ทั้ง 2 อัน รวมราคามีดผ่าตัด 12000 บาท พอทำอะไรเสร็จแล้วประมาณ 11.30 น. ตรวจเสร็จแล้ว หมอให้เราลงไปตรวจเลือด ตรวจฉี่ เอ็กซเรย์ปอด วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไปยังห้องผู้ป่วยใน กว่าจะตรวจต่างๆ เสร็จประมาณ บ่ายสามกว่าๆ
พอมาถึงห้องผู้ป่วยใน พยาบาลทำการซักประวัติ ให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และให้ไปดูวีธีปฏิบัติตัวก่อน และหลังผ่าตัด เสร็จแล้วหมอเรียกเราไปตัดขนตา เราสงสัยเลยถามพยาบาลผ่าตัดวันไหนค่ะ พยาบาลบอกว่าพรุ่งนี้เช้าคิวแรกค่ะ ตอนนั้นเราคืออึ้งมาก พ่อกับญาติเข้าใจว่าจะผ่าตัดวันที่ 19 เลยจะขึ้นมาวันที่ 18 แต่หมอบอกว่าตัดพรุ่งนี้ ซึ่งก็คือวันที่ 15 เราคิดในใจจะดูแลตัวเองได้ไหมหลังผ่าตัด จึงโทรไปหาทางบ้านปรากฏว่าทางบ้านติดงาน ไม่ได้ลางาน มาไม่ได้ (ความรู้สึกตอนนั้นคือเคว้งมาก ทำไมไม่มีใครมา ฉันจะผ่าตัดนะเว้ย แต่ก็ทำใจว่าอย่างน้อยก็มีพี่ๆพยาบาลและผู้ช่วย) เราก็นอนรอบนเตียง หมอมาหยอดตาให้ เสร็จ และบอกว่าหลังเที่ยงคืนงดน้ำงดอาหารนะ
วันที่ 15 (วันที่ผ่าตัด) ช่วงเช้าๆ พยาบาลมาบอกว่าให้ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และถอดชุดชั้นในออกเพื่อเตรียมผ่าตัด (มันก็จะโล่งๆหน่อย) ในตอนนั้นไม่มีเวลามาคิดอายอะไรเลยค่ะ ทำตามทุกอย่าง เสร็จแล้วมานอนบนเตียงใส่น้ำเกลือ และรอเจ้าหน้าที่มาลากไปผ่าตัด
หน้าห้องผ่าตัด หมอมาวัดค่าออกซิเจน นอนรอ และเขนเข้าห้องผ่าตัด
ในห้องผ่าตัด หมอให้ดมยาสลบ และหลับยาวไปเลย.....
หลังผ่าตัดเสร็จตื่นมาบนเตียง พร้อมกับเสียงเรียกชื่อ เราขานตอบไป หมอก็เข็นเรากลับห้องผู้ป่วย ซึ่งตอนนั้นตาข้างที่ผ่าตัดมีสำลี และที่ครอบตาปิดอยู่ ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดเลย แต่น้ำตาไหลนะ น่าจะบวมแหละ
พอถึงห้องผู้ป่วย สิ่งแรกที่ทำคือ ขอกินน้ำ คือแบบ คอแห้งมากกกก กินน้ำเสร็จนอนเลยจ้า หลับแบบไม่รู้ตัวเลย รู้ตัวอีกทีพยาบาลเรียกกินข้าว กินข้าวเสร็จกินยา หยอดยา และก็นอน
วันที่ 16 หมอเรียกให้ไปตรวจ โดยหมอบอกว่า แผลผ่าตัดสวยดี กระจกตาใส (ในมุมมองของเราตอนเปิดตาออกมานั้นเห็นแสง เห็นโครงรางวัตถุแต่ไม่สามารถโฟกัสได้ ภาพเบลอ) กลับห้องนอน
วันที่ 17 หมอบอกว่าตาที่บวมเริ่มยุบ แผลและอะไรต่างๆดี กลับห้องได้.. (การมองเห็นของเรายังเหมือนเดิม)
วันที่ 18 หมอบอกว่าทุกอย่างดีแล้ว ถ้าอาการทรงตัวหมอจะให้กลับบ้าน (การมองเห็นของเรายังเท่าเดิม)
วันที่ 19 หมอบอกว่าอาการดีขึ้น ให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน โดยให้เราไปฟังการปฏิบัติตัวตอนกลับบ้าน และมีการพาไปวัดสายตาแล้ว โดยอ่านตัวเลขจากข้างที่ผ่าตัดแบบทั้งดวงตายังไม่ได้ แต่ดูผ่านช่องเล็กๆ หลายๆช่อง อ่านตัวใหญ่สุดเลขบนได้ คือ เลข 85 ตัวใหญ่สุดนั่นเอง (ในภาพรวมสำหรับเราการมองเห็นเหมือนเดิม)
- ค่าใช้จ่าย เราคิดว่าต้องหมดไปหลักหมื่นแน่ๆ เพราะเราเลือกมีดใหม่ไปทั้ง 2 อัน สรุปตอนออกจ่ากโรงบาล ตรวจสอบสิทธิ์แล้ว เราได้จ่ายแค่ส่วนเกิน 1070 บาท. ค่ะ (แต่มียาลดอักเสบมั้งที่ต้องซื้อทุกครั้งที่หมอนัดเป็นยาที่ต้องซื้อต่างหาก ขวดละ 300 กว่ามั้งจำไม่ได้)
** ตอนอยู่โรงพยาบาล เราได้กินยาฆ่าเชื้อ วันละ 5 เวลา หยอดตา 2 ตัว 4 เวลา
วันที่ 19 หลังจากกลับมาที่บ้าน เราก็ทำตามที่หมอแนะนำอย่างเคร่งครัด ทำตามทุกอย่าง โดยยาต้องกิน 5 เวลาทุกวัน หยอดตา 4 เวลาทุกวัน หมอนัดอีกครั้ง 9 วัน
วันที่ 28 หมอนัด เราไปตามนัด วัดสายตาได้ มองจากแว่นวัดสายตา รูใหญ่หรือทั้งตา อ่านตัวเลขไม่ได้ แต่ส่องผ่านช่องเล็กๆ ได้ 3 บรรทัด โดยเรียงจากใหญ่ลงมา (การมองเห็นของเรา เราว่ามันก็เท่ากับตอนผ่าตัดใหม่ๆนะ มันก็ไม่ชัดเหมือนเดิม แต่มองเห็นรูปร่างวัตถุ เห็นเค้าโครง แต่ไม่สามารถโฟกัสหรือดูวัติถุให้มันชัดเจนได้ ยังเบลอขอบวัถุแตกเหมือนเดิม) พอมาถึง หมอบอกว่า มีอาการตาบวม เลยปรับเวลาหยอดตา โดยยาฆ่าเวื้อหยอด 4 เวลาเหมือนเดิม และ ยาลดการอักเสบ ให้หยอดทุก 2 ชม. และนัดอีกครั้ง 2 อาทิตย์ ยากินให้กินเหมือนเดิม (กลับบ้านได้)
วันที่ 11 พฤศจิกายน (อีก 4 วันครบ เดือน หลังผ่าตัด) หมอตรวจแล้วหมอบอกว่าอาการบวมลดลงแล้ว เหลือแต่ขอบๆที่เย็บแผล และตรวจค่าตับแล้ว ให้กินยาเหมือนเดิม และลดยาหยอดจากทุก 2 ชม. เป็นหยอดยาทั้ง 2 ตัว 4 เวลาเหมือนเดิม (การมองเห็นในความรู้สึกของเรายังไม่ชัดเจนเหมือนเดิม เหมือนมีแผ่นโมเสก หรือเลนเบลอ มาบังไว้ในดวงตาข้างที่ผ่าตัด) และหมอนัดอีกครั้ง 1 เดือน (รอติดตามอีกยาวๆ)
************* (ความรู้สึก ความหวัง และความอดทน การปล่อยวาง ******************
ความรู้สึก
ในส่วนของเรา เรามีความรู้สึกวิตกกังวล กลัวจะแย่กว่าเดิม กลัวจะรักษาไม่หาย กลัวร่างกายปฏิเสธเนื้อเยื้อ กลัวต่างๆนาๆ
ความหวัง
ในส่วนของเรานั้น เราอาจจะคาดหวังมากเกินไปหรือป่าว ไม่รู้นะ แต่เราหวังว่าตาข้างที่ผ่าตัดจะกลับมาเป็นปกติ อ่านหนังสือได้ด้วยตาข้างที่ผ่าตัด(ซึ่งตอนนี้ยังอ่านไม่ได้)
ความอดทน
เราศึกษา หาความรู้อ่านบทความ สอบถามแพทย์ ผู้เกี่ยวของในโซเซี่ยลต่างๆ ถึงการมองเห็นของเรา (หมอที่รักษาบอกว่า 3 เดือนตาจะกลับมามองเห็นได้ชัด โดยหลังจาก 3 เดือนต้องวัดค่าตาและตัดแว่นในกรณีสายตาเอียง) ซึ่งเราจะมาพูดในเรื่องของที่เราถามคนในโซเซี่ยล หรือที่เราหาข้อมูลมาเอง
1. ใน google เราอ่านทุกบทความเกี่ยวกับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา แต่มีให้อ่านน้อยมาก และในที่มีไม่ค่อยมีใครบอกเลยว่าจะมองเห็นกี่เดือน ใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ที่เราไปหามา - 3 เดือนขึ้นไป - 6 เดือนขึ้นไป และ 1 ปีถึงจะมองเห็นชัด (เราไม่รู้จะเชื่ออันไหน)
2. Facebook เพจหมอทางโรคตาต่างๆ ทักไปแล้ว เพจแรกบอกว่า 6 เดือนอย่างต่ำ เพจที่ 2 บอกว่าไม่สามารถระบุได้แล้วแต่ปัจจัยต่างๆ และเพจสุดท้าย บอกให้เข้าไปตรวจกับเขาถึงจะบอกได้ (เครียดยิ่งกว่าเดิม)
3. twitter ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคตาต่างๆ 3 - 4 ผู้ใช้ - ไม่มีคนตอบ
สุดท้ายมี 2 คน ที่คุยกับเราจนถึงทุกวันนี้ คนที่ 1 เป็นพยาบาล บอกเราว่าจะกลับมามองเห็นเป็นปกติ แต่ต้องใช้เวลาแต่หายแน่ๆ คนที่ 2 เป็นผู้ที่ผ่าตัดกระจกตาเหมือนกัน ก็บอกอาการจะดีขึ้นกว่านี้ พูดคุยและให้กำลังใจกัน ให้คำแนะนำที่ดี และแอด facebook คุยกันให้กำลังใจกัน (ขอบคุณทั้ง 2 ด้วยที่ทำให้เรามีกำลังใจและอดทน)
การปล่อยวาง
หลังจากเราได้ศึกษา พูดคุย ต่างๆแล้ว ทำให้เราไม่ได้เป็นทุกษ์หรือโฟกัสกับการมองเห็นของเราแล้ว เราปล่อยให้เป็นไปตามอาการของมัน และเราจะไปตามนัดหมอทุกครั้ง เพราะถ้าแย่ลงหรือไม่ดีขึ้นหมอที่นัดน่าจะดูแลและรักษาอาการของเราได้
ตอนนี้อยากกลับไปทำงานมาก เราออกจากงานมาเพื่อมาพักฟื้นรักษาตัว (งานเราต้องอยู๋หน้าคอม 12 ชม.) เราเลยเลือกที่จะขอพักยาวๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้นเลย เราแจ้งที่ทำงานไว้แล้ว ที่ทำงานก็บอกว่าถ้าหายดีเป็นปกติแล้วค่อยกลับมาทำงานกับเขา ช่วงนี้อยู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร นอนกลางวัน กลางคืนก็ไม่ง่วงอีก (เวรกรรม( เราเลยอยู๋บ้านปลูกต้นไม้ เช่นกุหลาบ ตีนตุ๊กแก สตอเบอร่ และอื่นๆที่เบาๆไม่ได้หนักมาก
*** สุดท้ายนี้ อยากฝากขอบคุณผู้ที่บริจาคดวงตาทุกท่าน เพราะสิ่งที่ท่านบริจาคเป็นความหวัง เป็นแสงสว่างให้กับบุคคลอื่น และขอขอบคุณผู้ที่บริจาคดวงตาให้กับเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเป็นใครก็ตาม
*** สำหรับใครที่รอผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาอยู่ เราก็ขอเป็นส่วน 1 ในกำลังใจให้ท่าน อดทน ดูแลตัวเอง ให้ท่านเชื่อว่าปฏิหารและความหวังมีจริง ถึงแม้จะรอนาน แต่มันคุ้มค่าที่ต้องรอแน่นอนค่ะ
หากต้องการพูดคุย หลังไมค์มาหาเราได้นะคะ เราพร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาสำหรับทุกท่าน ตามความรู้ที่เราไปสัมผัส ศึกษาอ่านและสอบถามมา
.....F.......
รีวิวหลังจากรอคอยมานาน (ได้ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาแล้ว)
https://ppantip.com/topic/39044192
***ยาวหน่อยนะคะ*** เข้าเรื่องเลยนะคะ หลังจากมีการระบากโควิด เรากลับมาทำงานที่ไทย โดยทำงานอยู่ต่างจังหวัด โดยวันนั้นเราเลิกงาน กำลังซื้อข้าวกับข้าวมานั่งที่ห้อง จำได้เลยว่า วันที่ 11 ตุลาคม 2563 เวลา 21.30 น. พ่อโทรมาหาเรา เราแปลกใจมากว่าเวลานี้พ่อโทรมาทำไม พอบอกเราว่า "หมอโรงพยาบาลโทรมาว่าให้ไปโรงบาล วันที่ 14 นี้ ได้คิวผ่าตัดตาแล้ว"
ตอนนั้นความรู้สึกคือแบบ นี้แหล่ะที่รอคอย ฉันจะต้องไปให้ได้ ไม่ว่าอะไรมาขวางฉันก็จะต้องไปผ่าตัดให้ได้ เหมือนความหวัง การรอคอยที่เรารอมา 5 ปีกว่า ถึงที่สิ้นสุด
เราจึงเก็บเสื้อผ้าจากที่ห้องพัก และเดินทางกลับไปยังโรงพยาบาลที่จะทำการผ่าตัด โดยที่แรก หมอบอกพ่อว่าได้คิวผ่าตัดวันที่ 19 แต่ให้ไปนอนรอที่โรงบาลวันที่ 14 เลย เรามานอนใกล้ๆโรงพยาบาลเพราะเราเดินทางมาถึงวันที่ 12
เราให้พ่อเราไปขอใบส่งตัวจากโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์อยู่ และให้พ่อส่งมาให้เรา
วันที่ 13
ตอนสายๆหมอโทรมาเบอร์เรา (ตอนแรกเมื่อวันที่ 11 หมอโทรมาหาเบอร์เรา แต่เราไม่มีสัญญาณ หมอเลยโทรไปเบอร์พ่อ เพราะเราให้เบอร์ไว้ 2 เบอร์ โชคดีที่หมอตามให้) โดยหมอโทรมาถามย้ำว่าทราบหรือยังว่าเราได้ดวงตา ใช้สิทธิ์อะไร และแนะนำให้เตรียมเอกสารให้พร้อม
วันที่ 14
เราตืนมาโรงบาลที่จะผ่าตัด(โรงพยาบาลรัฐ) มาถึง 06.00 น. มานั่งรอคิว โดยเราไปที่ห้องรวจเลย และนั่งรอจนเจ้าหน้าที่มา เวลาประมาณ 7 โมงกว่าๆ ถามเจ้าหน้าที่ว่า "หมอโทรตามให้มาผ่าตัดกระจกตาต้องทำยังไงบ้าง" เจ้าหน้าที่แนะนำให้กลับไปจุดคัดกรอง ซึ่งขอบอกว่าเวลานั้น คนเยอะมากก แถวยาวมาก เราก็ยื่นเรื่องคัดกรอง ประสานสิทธิ์ที่ใช้รักษา และขึ้นมาตรวจตอนนั้นเป็นเวลา เกือบ 9 โมง โดยเราวัดสายตา ทำเรื่องนอนโรงบาล และรอหมอตรวจ ซึ่งตอนนั้นการรอคอยเหมือนผ่านไปไวมาก หมอเรียกเข้าห้องไป ตรวจเสร็จหมอถามว่า ต้องใช้มีดในการผ่าตัด 2 อัน โดยมีดมี 2 แบบ แบบใหม่เลย 6000 บาท และแบบเก่าผ่านการใช้งานแล้วแต่นำไปฆ่าเชื้ออะไรหมด (วิธีนี้หมอจะแนะนำสำหรับคนไม่ค่อยมีเงิน) ราคา 2000 - 2500 มั้งเราก็จำไม่ได้ แต่หมอจะบังคับต้องซื้อมีดใหม่เพื่อเฉือนกระจกตาเรา 1 อัน ส่วนอันที่ใช้ตัดตาผู้บริจาคจะใช้แบบใหม่หรือเก่าก็ได้ เราได้ถามความต่างระหว่างแบบเก่า กับใหม่ว่ามีความต่างกันตรงไหน หมอบอกว่า แบบใหม่จะตัดได้ง่ายกว่าแบบเก่า ในตอนนั้นเราคิดในหัวว่า จะเอาแบบไหนดี แต่เพื่อสิ่งที่รอคอยเราก็อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด เราเลือกมีดใหม่ทั้ง 2 อัน รวมราคามีดผ่าตัด 12000 บาท พอทำอะไรเสร็จแล้วประมาณ 11.30 น. ตรวจเสร็จแล้ว หมอให้เราลงไปตรวจเลือด ตรวจฉี่ เอ็กซเรย์ปอด วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไปยังห้องผู้ป่วยใน กว่าจะตรวจต่างๆ เสร็จประมาณ บ่ายสามกว่าๆ
พอมาถึงห้องผู้ป่วยใน พยาบาลทำการซักประวัติ ให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และให้ไปดูวีธีปฏิบัติตัวก่อน และหลังผ่าตัด เสร็จแล้วหมอเรียกเราไปตัดขนตา เราสงสัยเลยถามพยาบาลผ่าตัดวันไหนค่ะ พยาบาลบอกว่าพรุ่งนี้เช้าคิวแรกค่ะ ตอนนั้นเราคืออึ้งมาก พ่อกับญาติเข้าใจว่าจะผ่าตัดวันที่ 19 เลยจะขึ้นมาวันที่ 18 แต่หมอบอกว่าตัดพรุ่งนี้ ซึ่งก็คือวันที่ 15 เราคิดในใจจะดูแลตัวเองได้ไหมหลังผ่าตัด จึงโทรไปหาทางบ้านปรากฏว่าทางบ้านติดงาน ไม่ได้ลางาน มาไม่ได้ (ความรู้สึกตอนนั้นคือเคว้งมาก ทำไมไม่มีใครมา ฉันจะผ่าตัดนะเว้ย แต่ก็ทำใจว่าอย่างน้อยก็มีพี่ๆพยาบาลและผู้ช่วย) เราก็นอนรอบนเตียง หมอมาหยอดตาให้ เสร็จ และบอกว่าหลังเที่ยงคืนงดน้ำงดอาหารนะ
วันที่ 15 (วันที่ผ่าตัด) ช่วงเช้าๆ พยาบาลมาบอกว่าให้ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และถอดชุดชั้นในออกเพื่อเตรียมผ่าตัด (มันก็จะโล่งๆหน่อย) ในตอนนั้นไม่มีเวลามาคิดอายอะไรเลยค่ะ ทำตามทุกอย่าง เสร็จแล้วมานอนบนเตียงใส่น้ำเกลือ และรอเจ้าหน้าที่มาลากไปผ่าตัด
หน้าห้องผ่าตัด หมอมาวัดค่าออกซิเจน นอนรอ และเขนเข้าห้องผ่าตัด
ในห้องผ่าตัด หมอให้ดมยาสลบ และหลับยาวไปเลย.....
หลังผ่าตัดเสร็จตื่นมาบนเตียง พร้อมกับเสียงเรียกชื่อ เราขานตอบไป หมอก็เข็นเรากลับห้องผู้ป่วย ซึ่งตอนนั้นตาข้างที่ผ่าตัดมีสำลี และที่ครอบตาปิดอยู่ ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดเลย แต่น้ำตาไหลนะ น่าจะบวมแหละ
พอถึงห้องผู้ป่วย สิ่งแรกที่ทำคือ ขอกินน้ำ คือแบบ คอแห้งมากกกก กินน้ำเสร็จนอนเลยจ้า หลับแบบไม่รู้ตัวเลย รู้ตัวอีกทีพยาบาลเรียกกินข้าว กินข้าวเสร็จกินยา หยอดยา และก็นอน
วันที่ 16 หมอเรียกให้ไปตรวจ โดยหมอบอกว่า แผลผ่าตัดสวยดี กระจกตาใส (ในมุมมองของเราตอนเปิดตาออกมานั้นเห็นแสง เห็นโครงรางวัตถุแต่ไม่สามารถโฟกัสได้ ภาพเบลอ) กลับห้องนอน
วันที่ 17 หมอบอกว่าตาที่บวมเริ่มยุบ แผลและอะไรต่างๆดี กลับห้องได้.. (การมองเห็นของเรายังเหมือนเดิม)
วันที่ 18 หมอบอกว่าทุกอย่างดีแล้ว ถ้าอาการทรงตัวหมอจะให้กลับบ้าน (การมองเห็นของเรายังเท่าเดิม)
วันที่ 19 หมอบอกว่าอาการดีขึ้น ให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน โดยให้เราไปฟังการปฏิบัติตัวตอนกลับบ้าน และมีการพาไปวัดสายตาแล้ว โดยอ่านตัวเลขจากข้างที่ผ่าตัดแบบทั้งดวงตายังไม่ได้ แต่ดูผ่านช่องเล็กๆ หลายๆช่อง อ่านตัวใหญ่สุดเลขบนได้ คือ เลข 85 ตัวใหญ่สุดนั่นเอง (ในภาพรวมสำหรับเราการมองเห็นเหมือนเดิม)
- ค่าใช้จ่าย เราคิดว่าต้องหมดไปหลักหมื่นแน่ๆ เพราะเราเลือกมีดใหม่ไปทั้ง 2 อัน สรุปตอนออกจ่ากโรงบาล ตรวจสอบสิทธิ์แล้ว เราได้จ่ายแค่ส่วนเกิน 1070 บาท. ค่ะ (แต่มียาลดอักเสบมั้งที่ต้องซื้อทุกครั้งที่หมอนัดเป็นยาที่ต้องซื้อต่างหาก ขวดละ 300 กว่ามั้งจำไม่ได้)
** ตอนอยู่โรงพยาบาล เราได้กินยาฆ่าเชื้อ วันละ 5 เวลา หยอดตา 2 ตัว 4 เวลา
วันที่ 19 หลังจากกลับมาที่บ้าน เราก็ทำตามที่หมอแนะนำอย่างเคร่งครัด ทำตามทุกอย่าง โดยยาต้องกิน 5 เวลาทุกวัน หยอดตา 4 เวลาทุกวัน หมอนัดอีกครั้ง 9 วัน
วันที่ 28 หมอนัด เราไปตามนัด วัดสายตาได้ มองจากแว่นวัดสายตา รูใหญ่หรือทั้งตา อ่านตัวเลขไม่ได้ แต่ส่องผ่านช่องเล็กๆ ได้ 3 บรรทัด โดยเรียงจากใหญ่ลงมา (การมองเห็นของเรา เราว่ามันก็เท่ากับตอนผ่าตัดใหม่ๆนะ มันก็ไม่ชัดเหมือนเดิม แต่มองเห็นรูปร่างวัตถุ เห็นเค้าโครง แต่ไม่สามารถโฟกัสหรือดูวัติถุให้มันชัดเจนได้ ยังเบลอขอบวัถุแตกเหมือนเดิม) พอมาถึง หมอบอกว่า มีอาการตาบวม เลยปรับเวลาหยอดตา โดยยาฆ่าเวื้อหยอด 4 เวลาเหมือนเดิม และ ยาลดการอักเสบ ให้หยอดทุก 2 ชม. และนัดอีกครั้ง 2 อาทิตย์ ยากินให้กินเหมือนเดิม (กลับบ้านได้)
วันที่ 11 พฤศจิกายน (อีก 4 วันครบ เดือน หลังผ่าตัด) หมอตรวจแล้วหมอบอกว่าอาการบวมลดลงแล้ว เหลือแต่ขอบๆที่เย็บแผล และตรวจค่าตับแล้ว ให้กินยาเหมือนเดิม และลดยาหยอดจากทุก 2 ชม. เป็นหยอดยาทั้ง 2 ตัว 4 เวลาเหมือนเดิม (การมองเห็นในความรู้สึกของเรายังไม่ชัดเจนเหมือนเดิม เหมือนมีแผ่นโมเสก หรือเลนเบลอ มาบังไว้ในดวงตาข้างที่ผ่าตัด) และหมอนัดอีกครั้ง 1 เดือน (รอติดตามอีกยาวๆ)
************* (ความรู้สึก ความหวัง และความอดทน การปล่อยวาง ******************
ความรู้สึก
ในส่วนของเรา เรามีความรู้สึกวิตกกังวล กลัวจะแย่กว่าเดิม กลัวจะรักษาไม่หาย กลัวร่างกายปฏิเสธเนื้อเยื้อ กลัวต่างๆนาๆ
ความหวัง
ในส่วนของเรานั้น เราอาจจะคาดหวังมากเกินไปหรือป่าว ไม่รู้นะ แต่เราหวังว่าตาข้างที่ผ่าตัดจะกลับมาเป็นปกติ อ่านหนังสือได้ด้วยตาข้างที่ผ่าตัด(ซึ่งตอนนี้ยังอ่านไม่ได้)
ความอดทน
เราศึกษา หาความรู้อ่านบทความ สอบถามแพทย์ ผู้เกี่ยวของในโซเซี่ยลต่างๆ ถึงการมองเห็นของเรา (หมอที่รักษาบอกว่า 3 เดือนตาจะกลับมามองเห็นได้ชัด โดยหลังจาก 3 เดือนต้องวัดค่าตาและตัดแว่นในกรณีสายตาเอียง) ซึ่งเราจะมาพูดในเรื่องของที่เราถามคนในโซเซี่ยล หรือที่เราหาข้อมูลมาเอง
1. ใน google เราอ่านทุกบทความเกี่ยวกับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา แต่มีให้อ่านน้อยมาก และในที่มีไม่ค่อยมีใครบอกเลยว่าจะมองเห็นกี่เดือน ใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ที่เราไปหามา - 3 เดือนขึ้นไป - 6 เดือนขึ้นไป และ 1 ปีถึงจะมองเห็นชัด (เราไม่รู้จะเชื่ออันไหน)
2. Facebook เพจหมอทางโรคตาต่างๆ ทักไปแล้ว เพจแรกบอกว่า 6 เดือนอย่างต่ำ เพจที่ 2 บอกว่าไม่สามารถระบุได้แล้วแต่ปัจจัยต่างๆ และเพจสุดท้าย บอกให้เข้าไปตรวจกับเขาถึงจะบอกได้ (เครียดยิ่งกว่าเดิม)
3. twitter ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคตาต่างๆ 3 - 4 ผู้ใช้ - ไม่มีคนตอบ
สุดท้ายมี 2 คน ที่คุยกับเราจนถึงทุกวันนี้ คนที่ 1 เป็นพยาบาล บอกเราว่าจะกลับมามองเห็นเป็นปกติ แต่ต้องใช้เวลาแต่หายแน่ๆ คนที่ 2 เป็นผู้ที่ผ่าตัดกระจกตาเหมือนกัน ก็บอกอาการจะดีขึ้นกว่านี้ พูดคุยและให้กำลังใจกัน ให้คำแนะนำที่ดี และแอด facebook คุยกันให้กำลังใจกัน (ขอบคุณทั้ง 2 ด้วยที่ทำให้เรามีกำลังใจและอดทน)
การปล่อยวาง
หลังจากเราได้ศึกษา พูดคุย ต่างๆแล้ว ทำให้เราไม่ได้เป็นทุกษ์หรือโฟกัสกับการมองเห็นของเราแล้ว เราปล่อยให้เป็นไปตามอาการของมัน และเราจะไปตามนัดหมอทุกครั้ง เพราะถ้าแย่ลงหรือไม่ดีขึ้นหมอที่นัดน่าจะดูแลและรักษาอาการของเราได้
ตอนนี้อยากกลับไปทำงานมาก เราออกจากงานมาเพื่อมาพักฟื้นรักษาตัว (งานเราต้องอยู๋หน้าคอม 12 ชม.) เราเลยเลือกที่จะขอพักยาวๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้นเลย เราแจ้งที่ทำงานไว้แล้ว ที่ทำงานก็บอกว่าถ้าหายดีเป็นปกติแล้วค่อยกลับมาทำงานกับเขา ช่วงนี้อยู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร นอนกลางวัน กลางคืนก็ไม่ง่วงอีก (เวรกรรม( เราเลยอยู๋บ้านปลูกต้นไม้ เช่นกุหลาบ ตีนตุ๊กแก สตอเบอร่ และอื่นๆที่เบาๆไม่ได้หนักมาก
*** สุดท้ายนี้ อยากฝากขอบคุณผู้ที่บริจาคดวงตาทุกท่าน เพราะสิ่งที่ท่านบริจาคเป็นความหวัง เป็นแสงสว่างให้กับบุคคลอื่น และขอขอบคุณผู้ที่บริจาคดวงตาให้กับเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเป็นใครก็ตาม
*** สำหรับใครที่รอผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาอยู่ เราก็ขอเป็นส่วน 1 ในกำลังใจให้ท่าน อดทน ดูแลตัวเอง ให้ท่านเชื่อว่าปฏิหารและความหวังมีจริง ถึงแม้จะรอนาน แต่มันคุ้มค่าที่ต้องรอแน่นอนค่ะ
หากต้องการพูดคุย หลังไมค์มาหาเราได้นะคะ เราพร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาสำหรับทุกท่าน ตามความรู้ที่เราไปสัมผัส ศึกษาอ่านและสอบถามมา
.....F.......