Xiaopeng หรือ Xpeng ถูกก่อตั้งในปี 2014 โดยนาย Henry Xia และ He Tao
ในช่วงแรกได้รับการสนับสนุนจากนาย He Xiaopeng ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารของ Alibaba รวมทั้งนาย Lei Jun ผู้ก่อตั้ง Xiaomi
หลังจากนั้นในปี 2019 -2020 ก็ได้ทำการเพิ่มทุนทั้งหมด 3 ครั้งเป็นเงิน $1,300 ล้านจากกลุ่มบริษัทลงทุนชื่อดังทั้ง Alibaba Xiaomi และ Sequoia Capital China
ผู้บริหารประกาศวิชั่นอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องผลิตรถ EV ที่แรงกว่า ขับได้นานกว่าและถูกกว่าคู่แข่งในตลาด
ปัจจุบันผลิตรถออกมาจำหน่ายแล้ว 2 รุ่น ก็คือรุ่น XpengG3 SUV และ Xpeng P7 Sedan
ยอดขายของบริษัทในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขายได้ถึง 3,478 คัน เติบโต 145% YoY
ยอดขายของ Xpeng ในไตรมาสที่สามปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 266% YoY ขายได้ทั้งหมด 8,578 คัน
ถ้าเทียบกับ Tesla ขายได้ 11,811 คันในเดือนกันยายน
แม้ว่าตัวเลขยังดูน้อยกว่า แต่อัตราการเติบโตก็แรงไม่เบาเลยทีเดียว
โดยตลาดรถอีวีในประเทศจีนยังมีโอกาสอีกมากเพราะปัจจุบันมีส่วนแบ่งเพียงแค่ 5% ของจำนวนรถทั้งหมด 22 ล้านคันที่ขายต่อปี
ทางรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2025 รถที่จำหน่าย 100 คันจะต้องมี 20 คันเป็นรถอีวี
ดังนั้นจำนวนรถ EV ในปี 2025 จะมีทั้งหมดประมาณ 4.4 ล้านคัน
ถ้า Xpeng ได้ส่วนแบ่งซัก 10% ก็น่าจะขายรถได้ประมาณ 440,000 คัน จากในปีนี้ที่ประมาณ 50,000 คัน ติดเป็นการเติบโตปีละ 54% แบบทบต้น
จะเห็นได้ว่าโอกาสการเติบโตของรถ EV ในประเทศจีนยังมีอีกมาก
ปัจจุบันมีโรงงานเป็นของตัวเอง 1 แห่ง และอีกหนึ่งโรงงานเป็นของบริษัทรับจ้างผลิต
รวมกันสองที่ผลิตได้ถึง 250,000 คันต่อปี และมีแท่นชาร์จของตัวเองกว่า 200,000 จุด
บริษัทกำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่ใน Guangzhou ด้วยงบลงทุน $600 ล้าน คาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นปี 2022
ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Xpeng โดยเฉพาะโมเดลซีดาน P7 ที่ชนกับ Tesla Model 3
ศักยภาพของ P7 สามารถฆ่ายักษ์ใหญ่อย่าง Tesla ได้เลยด้วยราคาที่ถูกกว่าแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
P7 ชาร์จเต็มแล้ววิ่งได้ 562-706 กิโลเมตร ในขณะที่ Model 3 ได้แค่ 445-668 กิโลเมตร
ราคาของ P7 อยู่ที่ $34,133- $56,434 ส่วน Model 3 อยู่ที่ $44,298-$63,716
ในส่วนของฟังก์ชั่นการใช้งาน และความสวยของรถยนต์
ผมว่าไม่เป็นรอง Tesla เลย แถมยังมีการใช้เทคโนโลยีเอไอมาช่วยยืนยันตัวตนคนขับอีกด้วยเพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้ยังเร่งพัฒนาระบบขับขี่แบบไร้คนขับได้อย่างน่าสนใจเช่นกัน
Xpeng จะมีระบบขับขี่ด้วยตัวเอง โดยใช้เทคโนโลยี Lidar ที่ใช้แสงในการประมวลผลและวัดระยะของทางที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งจะให้ความแม่นยำที่สูงกว่าและเก็บรายละเอียดมากกว่าของระบเรดาร์และกล้องของ Tesla
แม้ว่า Elon Musk จะออกมาบอกว่า Lidar เป็นระบบที่แพงเวอร์ แต่บริษัทอย่าง Google ที่มีรถ Waymo ก็ใช้ระบบ Lidar อยู่เช่นกัน
ระบบการขับขี่ด้วยตัวเองจะเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้แน่นอน
ในส่วนของงบการเงิน ผมเข้าไปดูตัวเลขงบการเงินใน Jitta.com พบว่ารายได้ในไตรมาสที่สามของปี 2020 อยู่ที่ $293.1 ล้าน เพิ่มขึ้นถึง 342.5% YoY
แต่ยังขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก $117 ล้านในไตรมาสที่สามของปี 2019 เป็น $169 ล้านในปี 2020
ในส่วนของกระแสเงินสด ยังมีอยู่ $2,729 ล้านหลังจากเพิ่งทำไอพีโอไปเมื่อช่วงกลางปี 2020
ผมย้อนไปดูกระแสเงินสดสุทธิในช่วงเดือนมิถุนายน พบว่าติดลบในไตรมาสนั้นไป $38 ล้าน
บริษัทยังน่าจะมีเงินเพียงพอในการเร่งยอดขายให้ทำกำไรได้เหมือน Tesla โดยที่ยังมีเงินสดพอเพียง
มาดูในส่วนของราคาหุ้น Xpeng มีค่า Price per Sales (P/S) อยู่ที่ 54.6 เท่า ของ Tesla อยู่ที่ 20.47 เท่า
ถ้าเทียบกับคู่แข่งจากจีนอีกรายอย่าง NIO ก็อยู่ที่เพียง 32.96 เท่า
แม้ว่า Xpeng จะมีโอกาสในการเติบโตอีกมากในตลาดจีนและต่างประเทศ แต่นักลงทุนอาจจะต้องประเมินความคุ้มค่าความเสี่ยงกับผลตอบแทนให้ดีๆกันด้วยครับ
Xiaopeng รถ EV จีนที่กำลังฆ่า Tesla - Billionaire VI
ในช่วงแรกได้รับการสนับสนุนจากนาย He Xiaopeng ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารของ Alibaba รวมทั้งนาย Lei Jun ผู้ก่อตั้ง Xiaomi
หลังจากนั้นในปี 2019 -2020 ก็ได้ทำการเพิ่มทุนทั้งหมด 3 ครั้งเป็นเงิน $1,300 ล้านจากกลุ่มบริษัทลงทุนชื่อดังทั้ง Alibaba Xiaomi และ Sequoia Capital China
ผู้บริหารประกาศวิชั่นอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องผลิตรถ EV ที่แรงกว่า ขับได้นานกว่าและถูกกว่าคู่แข่งในตลาด
ปัจจุบันผลิตรถออกมาจำหน่ายแล้ว 2 รุ่น ก็คือรุ่น XpengG3 SUV และ Xpeng P7 Sedan
ยอดขายของบริษัทในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขายได้ถึง 3,478 คัน เติบโต 145% YoY
ยอดขายของ Xpeng ในไตรมาสที่สามปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 266% YoY ขายได้ทั้งหมด 8,578 คัน
ถ้าเทียบกับ Tesla ขายได้ 11,811 คันในเดือนกันยายน
แม้ว่าตัวเลขยังดูน้อยกว่า แต่อัตราการเติบโตก็แรงไม่เบาเลยทีเดียว
โดยตลาดรถอีวีในประเทศจีนยังมีโอกาสอีกมากเพราะปัจจุบันมีส่วนแบ่งเพียงแค่ 5% ของจำนวนรถทั้งหมด 22 ล้านคันที่ขายต่อปี
ทางรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2025 รถที่จำหน่าย 100 คันจะต้องมี 20 คันเป็นรถอีวี
ดังนั้นจำนวนรถ EV ในปี 2025 จะมีทั้งหมดประมาณ 4.4 ล้านคัน
ถ้า Xpeng ได้ส่วนแบ่งซัก 10% ก็น่าจะขายรถได้ประมาณ 440,000 คัน จากในปีนี้ที่ประมาณ 50,000 คัน ติดเป็นการเติบโตปีละ 54% แบบทบต้น
จะเห็นได้ว่าโอกาสการเติบโตของรถ EV ในประเทศจีนยังมีอีกมาก
ปัจจุบันมีโรงงานเป็นของตัวเอง 1 แห่ง และอีกหนึ่งโรงงานเป็นของบริษัทรับจ้างผลิต
รวมกันสองที่ผลิตได้ถึง 250,000 คันต่อปี และมีแท่นชาร์จของตัวเองกว่า 200,000 จุด
บริษัทกำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่ใน Guangzhou ด้วยงบลงทุน $600 ล้าน คาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นปี 2022
ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Xpeng โดยเฉพาะโมเดลซีดาน P7 ที่ชนกับ Tesla Model 3
ศักยภาพของ P7 สามารถฆ่ายักษ์ใหญ่อย่าง Tesla ได้เลยด้วยราคาที่ถูกกว่าแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
P7 ชาร์จเต็มแล้ววิ่งได้ 562-706 กิโลเมตร ในขณะที่ Model 3 ได้แค่ 445-668 กิโลเมตร
ราคาของ P7 อยู่ที่ $34,133- $56,434 ส่วน Model 3 อยู่ที่ $44,298-$63,716
ในส่วนของฟังก์ชั่นการใช้งาน และความสวยของรถยนต์
ผมว่าไม่เป็นรอง Tesla เลย แถมยังมีการใช้เทคโนโลยีเอไอมาช่วยยืนยันตัวตนคนขับอีกด้วยเพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้ยังเร่งพัฒนาระบบขับขี่แบบไร้คนขับได้อย่างน่าสนใจเช่นกัน
Xpeng จะมีระบบขับขี่ด้วยตัวเอง โดยใช้เทคโนโลยี Lidar ที่ใช้แสงในการประมวลผลและวัดระยะของทางที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งจะให้ความแม่นยำที่สูงกว่าและเก็บรายละเอียดมากกว่าของระบเรดาร์และกล้องของ Tesla
แม้ว่า Elon Musk จะออกมาบอกว่า Lidar เป็นระบบที่แพงเวอร์ แต่บริษัทอย่าง Google ที่มีรถ Waymo ก็ใช้ระบบ Lidar อยู่เช่นกัน
ระบบการขับขี่ด้วยตัวเองจะเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้แน่นอน
ในส่วนของงบการเงิน ผมเข้าไปดูตัวเลขงบการเงินใน Jitta.com พบว่ารายได้ในไตรมาสที่สามของปี 2020 อยู่ที่ $293.1 ล้าน เพิ่มขึ้นถึง 342.5% YoY
แต่ยังขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก $117 ล้านในไตรมาสที่สามของปี 2019 เป็น $169 ล้านในปี 2020
ในส่วนของกระแสเงินสด ยังมีอยู่ $2,729 ล้านหลังจากเพิ่งทำไอพีโอไปเมื่อช่วงกลางปี 2020
ผมย้อนไปดูกระแสเงินสดสุทธิในช่วงเดือนมิถุนายน พบว่าติดลบในไตรมาสนั้นไป $38 ล้าน
บริษัทยังน่าจะมีเงินเพียงพอในการเร่งยอดขายให้ทำกำไรได้เหมือน Tesla โดยที่ยังมีเงินสดพอเพียง
มาดูในส่วนของราคาหุ้น Xpeng มีค่า Price per Sales (P/S) อยู่ที่ 54.6 เท่า ของ Tesla อยู่ที่ 20.47 เท่า
ถ้าเทียบกับคู่แข่งจากจีนอีกรายอย่าง NIO ก็อยู่ที่เพียง 32.96 เท่า
แม้ว่า Xpeng จะมีโอกาสในการเติบโตอีกมากในตลาดจีนและต่างประเทศ แต่นักลงทุนอาจจะต้องประเมินความคุ้มค่าความเสี่ยงกับผลตอบแทนให้ดีๆกันด้วยครับ