'ทะเลสาบบังเอิญ' (accidental lake) ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบังเอิญ



Salton ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนียถูกสร้างขึ้นโดยบังเอิญ ด้วยพื้นที่ผิวโดยเฉลี่ย 1,360 ตร.กม.อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล 226 ฟุต ซึ่งอยู่ในระดับความสูงต่ำสุดของอ่าง Salton Sink ในทะเลทรายโคโลราโดของเขต Imperial และ Riverside ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ และเป็นทะเลสาบมีความเค็มมากกว่ามหาสมุทรแปซิฟิกถึง 50 %  แต่เมื่อหนึ่งศตวรรษที่แล้วทะเลสาบยังไม่มีอยู่จริง

ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของแคลิฟอร์เนียในสเปน ทะเล Salton เป็นที่ลุ่มทางธรณีวิทยาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นพื้นที่แห้งแล้งที่เรียกกันว่า “ ทะเลทรายโคโลราโด” ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างเทือกเขา  โดยน้ำที่ท่วมในปี 1905 ได้พาแม่น้ำโคโลราโดไหลลงมาจนเต็มพื้นที่ ซึ่งกว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถหยุดน้ำท่วมได้ในอีกสองปีต่อมา บริเวณนี้ได้กลายเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนียไปแล้ว 

ในปี1900 บริษัท พัฒนาแห่งแคลิฟอร์เนีย (the California Development Company) ได้เริ่มก่อสร้างคลองชลประทานเพื่อเปลี่ยนเส้นทางน้ำ จากแม่น้ำโคโลราโดไปยัง Salton Sink ซึ่งเป็นทะเลสาบที่แห้งแล้ง หลังจากการสร้างคลองชลประทานเหล่านี้ Salton Sink ก็อุดมสมบูรณ์ขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
ทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้


ทะเล Salton เป็นที่รู้จักกันในชื่อ 'ทะเลสาบบังเอิญ' ในตอนต้นของศตวรรษที่ 19
ต่อมา ในปี1905 มีฝนตกหนักและหิมะละลาย ทำให้แม่น้ำโคโลราโดพองตัวไหลทะลักลงคลองและลงสู่ Salton Sink น้ำได้ท่วมทะลุเขื่อนสองแห่งทำให้เกิดแม่น้ำใหม่ซึ่งไหลท่วมหุบเขาอย่างรวดเร็ว  มีแม่น้ำทั้งสองสายที่สร้างขึ้นใหม่ในช่วงเวลาประมาณสองปีนี้ ได้แก่ New River และ Alamo River
โดยแม่น้ำทั้งสองสายได้พัดพาน้ำปริมาณทั้งหมดของแม่น้ำโคโลราโดเข้าสู่อ่าง Salton เป็นระยะ ๆ ในขณะที่รอบบริเวณ Salton Sink เต็มไปด้วยเมือง Salton ทางรถไฟแปซิฟิกตอนใต้ และดินแดนของชาวอเมริกันพื้นเมือง Torres-Martinez ซึ่งจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด

แม่น้ำโคโลราโดยังคงทำให้หุบเขา Imperial Valley มีน้ำท่วมเป็นระยะ ๆต่อไป  ในที่สุดก็นำไปสู่การสร้างเขื่อน Hoover Dam ในช่วงทศวรรษที่ 1930 และสุดท้าย น้ำท่วมก็หยุดลง ปัจจุบัน Salton Sea ถูกป้อนโดยแม่น้ำ New, Whitewater และ Alamo เพื่อน้ำทางการเกษตร,ระบบระบายน้ำ และลำห้วย โดยปริมาณน้ำไหลเข้าเฉลี่ยต่อปี 1.68 ลูกบาศก์กม.เพียงพอที่จะรักษาระดับความลึกสูงสุด 52 ฟุตและปริมาตรรวมประมาณ 9.3 ลูกบาศก์กม.
 

ทะเล SaltonSalton Sea ในทะเลทรายโคโลราโดทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย
Daniel Mayer (mav)
โปสการ์ดภาพวาดของรีสอร์ท Salton Sea ในช่วงที่รุ่งเรือง
ในปี 1950 California Department of Fish and Game (กรมปลาและสัตว์ป่าแคลิฟอร์เนีย /CDFG) ได้ปล่อยปลาหลายพันตัวลงสู่ทะเล Salton แต่มีเพียงไม่กี่ชนิดที่รอดชีวิต และ Salton Sea ได้กลายเป็นสวรรค์ของชาวประมงอย่างรวดเร็ว เมื่อทะเลมีปลาใหม่จึงกลายเป็นจุดแวะพักใหม่สำหรับนกอพยพซึ่งมากกว่า 400 ชนิดที่ได้รับการบันทึกไว้ที่ Salton Sea  โดยประมาณ 30% ของประชากรที่เหลืออยู่ของนกกระทุงขาวอเมริกัน ( American white pelican) อาศัยอยู่ในชายฝั่งนี้ และทะเลสาบยังเป็นจุดพักที่สำคัญบน Pacific Flyway (เส้นทางบินในทิศตะวันตกเฉียงใต้สำหรับนกอพยพในอเมริกา)

ในปี 1960 Salton Sea ได้พัฒนาเป็นรีสอร์ทโดยมี Salton City, Salton Sea Beach และ Desert Shores บนชายฝั่งตะวันตก และ Desert Beach, North Shore และ Bombay Beach ที่สร้างขึ้นบนชายฝั่งตะวันออก มีท่าจอดเรือและคลับเรือยอทช์มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ผุดขึ้นรอบชายฝั่ง สนามกอล์ฟเริ่มปรากฏขึ้นทุกที่ ผู้คนหลายพันคนมาร่วมชม Salton Sea 500 ซึ่งเป็นการแข่งเรือยนต์ในระยะทาง 500 ไมล์

อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจของ Salton Sea อยู่ไม่นานนัก เนื่องจากทะเล Salton ไม่มีทางออก ทำให้เกลือและสารเคมีที่ถูกทิ้งจากท่าเรือและอุตสาหกรรมทางการเกษตรเริ่มมีมากขึ้นในขณะที่ระดับน้ำยังคงเท่าเดิม  ส่งผลให้สารเคมีที่เป็นพิษมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีปลาเริ่มตายเป็นฝูงใหญ่และนกที่ตายแล้วหลายหมื่นตัว ถูกพัดพาขึ้นมาที่ชายฝั่งของทะเล Salton เป็นประจำ

โดยเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 1999 ปลานิล 7.6 ล้านตัวเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนที่เกิดจากสาหร่ายที่มีมากเกินไป และซากศพที่เน่าเปื่อยของพวกมันติดขอบทะเลมานานกว่าสิบปี เมื่อรวมกับสาหร่ายที่สลายตัวแล้วทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเน่าทั่วไป ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้ว่ามันเริ่มเป็นสถานการณ์ที่เลวร้าย

ปลานิลตายเน่าบนโคลนชายฝั่งทะเล Salton ในปี 1999
ปลานิล 8 ล้านตัวตายในวันเดียวในทะเลสาบซึ่งมีปลาตายจำนวนมากเป็นประจำทุกปี
รูปภาพของ DAVID MCNEW / GETTY
ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 หน่วยงาน Salton Sea Authority ซึ่งเป็นหน่วยงานร่วมในท้องถิ่นและสำนักงานการถมทะเลของสหรัฐฯ ได้เริ่มพยายามประเมินและพัฒนาทางเลือกอื่นเพื่อช่วยทะเล Salton  โดยได้มีการเสนอแนวคิดมากมาย บางคนสนับสนุนการส่งน้ำจากทะเลไปยังพื้นที่ชุ่มน้ำในเม็กซิโกเพื่อขจัดเกลือส่วนเกินที่มี  อีกส่วนหนึ่งเห็นชอบให้นำน้ำจากอ่าวแคลิฟอร์เนียเข้ามามากขึ้นเพื่อเจือจางเกลือ ส่วนคนอื่น ๆ ยังเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะช่วยทะเลได้คือการทำความสะอาด และทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งที่มีค่าของ Pacific Flyway โดยสร้างบ่อระเหยทางเหนือครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทะเลสาบเพื่อเป็นวิธีแยกเกลือออกจากน้ำ

บางทีทะเล Salton อาจถูกกำหนดให้เหือดแห้งเช่นเดียวกับแอ่งน้ำใหญ่บนทางเท้า นักธรณีวิทยาพบหลักฐานที่พิสูจน์ว่าอ่าง Salton Sink มีการสลับระหว่างน้ำจืดเป็นน้ำเค็มและแอ่งทะเลทรายที่แห้งแล้ง ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงกระแสของน้ำจากแม่น้ำโคโลราโดอยู่บริเวณใกล้เคียง ในวัฏจักรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายแสนปี การสร้างทะเลสาบในปี 1905 เป็นเพียงวัฏจักรธรรมชาติล่าสุด อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มนุษย์เข้ามาแทรกแซงและระบบนิเวศก็เปลี่ยนไปบางทีอาจจะเป็นตลอดไป




ปัจจุบัน Salton Sea เป็นฝันร้ายของระบบนิเวศ เป็นเวลาหลายสิบปีที่ทะเลสาบได้หดตัวลงส่งผลให้ระดับความเค็มสูงเป็นประวัติการณ์ มีปลาตายและนกอพยพน้อยลง แต่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าซึ่งเป็นปัญหาด้านระบบนิเวศคือ ฝุ่นพิษที่คาดการณ์ว่าจะกลายเป็น 'ภัยพิบัติคุณภาพอากาศ' ในภาพเป็นมุมมองทางอากาศของทะเลสาบที่แสดงให้เห็นว่าน้ำระเหยออกจากชายฝั่งอย่างมีนัยสำคัญ

ชายฝั่งที่กำลังถอยกลับทำให้เหลือพื้นที่ทะเลสาบแห้งประมาณ 20,000 เอเคอร์ ซึ่งเป็นพื้นผิวที่พ่นฝุ่นพิษเข้าสู่ชุมชนที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ โดยเด็กหนึ่งในห้าคนใน อิมพีเรียลเคาน์ตี้ (Imperial County) ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคหอบหืดและมีอาการป่วยเกี่ยวกับปอด,โรคทางเดินหายใจ และแม้แต่มะเร็ง  Tim Krantz ผู้มีอำนาจที่ได้รับการยอมรับด้านภูมิศาสตร์ของทะเล Salton กล่าวว่านี่เป็นการสร้าง 'ภัยพิบัติด้านสาธารณสุข' และหลายล้านคนอาจได้รับผลกระทบจากฝุ่นพิษเมื่อลมพัดแรง

นอกจากนี้ The Pacific Institute ยังคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายของฝุ่นละอองที่พัดมาในสายลมจากปัญหาด้านสาธารณสุขเช่น โรคหอบหืด มะเร็งปอดและโรคหัวใจ อาจสูงถึง 37 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2590  ซึ่งในปี 2018 มีอนุมัติเงินทุนผ่านมาตรการพันธบัตร 200 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยควบคุมฝุ่นในพื้นที่ด้วยการสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำในส่วนต่างๆ แต่ผู้อยู่อาศัยจำนวนมากไม่คิดว่าเพียงพอเพราะไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด
 

ยากที่จะจินตนาการได้ว่าทะเล Salton เคยเป็นสถานที่เฟื่องฟู ผู้คนจะนำเรือที่ดีที่สุดออกไปแข่งในน้ำทะเลสาบขนาดใหญ่
ในภาพคือเรือบรรทุกสินค้าที่เรียกว่า 'Hot Rod' ในระหว่างการแข่งขันเรือ Salton Sea 500 ในปี 1950  



ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 60 คนดังต่างแห่กันมาที่บริเวณนี้เพื่อพักผ่อนและผ่อนคลายด้วยความสนุกสนานภายใต้แสงแดดสำหรับวันหยุดพักผ่อน
ภาพขวาคือนักแสดงฮอลลีวูดที่มีชื่อเสียง Frank Sinatra และทางซ้ายคือนักแสดงตลก Jerry Lewis - Rock Hudson ที่มาเที่ยว Salton Sea


และในเดือนสิงหาคม 2020 ที่ผ่านมา ได้เกิดแผ่นดินไหวจำนวนมากใกล้ทะเล Salton ของแคลิฟอร์เนียทำให้การสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯออกมาคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

ทะเล Salton อยู่ในแนวรอยเลื่อน San Andreas Fault System แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่ทะเลอยู่ในเขตแผ่นดินไหว Brawley (Brawley Seismic Zone) ซึ่งมีทั้งการเคลื่อนที่แบบเคียงข้างกัน (side-by-side) ซึ่งแบบคลาสสิกของ San Andreas Fault รวมถึงการเคลื่อนที่แบบดึงออกจากกัน (pull-apart) ที่ทำให้เกิดแอ่งน้ำ  ในความเป็นจริงเขตแผ่นดินไหว Brawley เป็นส่วนที่อยู่เหนือสุดของมหาสมุทรแปซิฟิกที่แผ่ขยายไปยังซีกโลกใต้

โดยทางตอนเหนือของทะเล Salton เป็นแนวเลื่อนแบบเคียงข้างกันของอเมริกาเหนือและแผ่นแปซิฟิก  หมายความว่าอาจเกิดแผ่นดินไหวได้หลายชนิดและบางส่วนอาจมีขนาดใหญ่  นอกจากนี้ พื้นที่ Salton Sea ยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่อาจเกิดการปะทุของ Salton Buttes (กลุ่มภูเขาไฟในแคลิฟอร์เนีย) 



แผ่นดินไหวปัจจุบันเกิดขึ้นในทะเล Salton ของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2020 Cr. USGS



     โดย REGINA F.GRAHAM 


(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่