[SR] ขับ Mercedes-Benz C300e จอยทริป Charge To Change พร้อมลองแอป Mercede-Me ที่สามารถสั่งงานรถได้จากทั่วทุกมุมโลก

สวัสดีครับ เพื่อนๆ ชาว Pantip 
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาทางผมในนามของ Pantip Garage ได้รับเกียรติจากทาง Mercedes-Benz Thailand เชิญเราไปร่วมทริป #ChargeToChange ซึ่งที่จริง มันเป็นโครงการ ที่ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) มีความเชื่อที่ว่า “การชาร์จรถยนต์ ช่วยให้โลกใบนี้ดีขึ้น” โดยเป้าหมายหลักของโครงการ คือ การเชิญชวนให้ผู้ใช้งานรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในทุกๆแบรนด์ ได้เป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอากาศ ผ่านการชาร์จและใช้งานรถยนต์อย่างสม่ำเสมอในทุกๆวัน รวมไปถึงการผลักดันให้กรุงเทพฯ และประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยสร้างอนาคตที่ดีให้กับโลกใบนี้ได้อย่างยั่งยืน


ซึ่งในครั้งนี้ ทางผมก็ได้รับรถ C300e มาขับในทริปนี้ โดยรถรุ่นนี้ อาจจะไม่ใช่รถที่ใหม่ อะไรเพราะเป็นรถที่เปิดตัวมาก็ร่วม 2 ปี แล้ว
และเนื่องจากทริปนี้ไม่ใช่เป็นการรีวิวรถ ผมจะขอพูดแบบรวดรัดแล้วกันนะครับ 


C300e เป็นรถ EQ Power ขุมพลัง Plugin Hybrid ซึ่งต้องเรียกได้ว่า แรงมากๆ และดูแรงกว่าเพื่อน เยอรมัน ในคลาสเดียวกัน (แต่อาจจะยังแรงน้อยกว่า ฝั่งสวีเดน สักหน่อย) 
ด้วยกำลังรวมทั้งระบบ 320 แรงม้า แรงบิดรวม 700 Nm อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5 วิ กว่าๆ อัตราเร่งแบบนี้ ไม่แพ้รถซิ่ง หรือ รถสปอร์ตทั้งหลายเลย เรียกได้ว่า ดึงหลังติดเบาะ เอาได้ง่ายๆ เมื่อกระแทกคันเร่ง 


ขณะที่ตัวรถสามารถวิ่งด้วย EV 100% ทาง Mercedes-Benz เคลมวิ่งได้ 50 กม. จากแบตเตอรี่เต็ม 100% ซึ่งในความเป็นจริงผมคาดว่าน่าจะไม่ถึง อาจจะได้ช่วง 30 กม.+ 


จากที่ผมรับรถ C300e คันนี้ จาก โรงแรม Mode สาธร และวิ่งไปทางเส้นราชพฤกษ์ ไปออกนครอินทร์ และวนกลับมาที่บ้านผมแถวเทพศิรินทร์ แบตเตอรี่จาก 90% นิดๆ เหลืออยู่ไม่ถึง 20% ซึ่งผมวิ่งในโหมด Hybrid ตลอดทางกับระยะทาง เกือบ 50 กม.
แต่ทั้งนี้ ก็ต้องเรียนตามตรงว่า ผมขับแบบปกติ แต่ก็มีช่วง เร่งแซงทดสอบสมรรถนะ รถด้วยบ้าง


คือถ้า เพื่อนๆ ใช้รถในเมืองแบบวิ่งวันๆนึงระยะทางไม่ไกลมากๆ และที่สามารถชาร์จที่บ้าน หรือ ที่ทำงานที่มี Wallbox ก็เรียกได้ว่า รถแทบจะไม่ต้องใช้น้ำมันเลย ถ้าวิ่งใน E-Mode และใช้ความเร็วในช่วงไม่เกิน 150 กม.


เนื่องจาก Trend เทคโนโลยียานยนต์ ในอนาคต ก็คงจะหันมาทาง Zero Emission กันมากขึ้น แต่สำหรับในเมืองไทย เรื่องระบบสาธารณูปโภค ยังไม่เพียบพร้อมในเรื่องของ Station ชาร์จ ตามปั๊ม ในทุกปั๊ม หรือ ในอาคารสำนักงาน โรงแรมสถานที่ต่างๆ ก็ยังไม่ได้ รองรับเหมือนอย่าง ยุโรป 
ผมจึงมองว่า สำหรับในประเทศไทยเรา ณ ปัจจุบันนี้ Plugin Hybrid เป็นอะไรที่เหมาะสม ทั้งในเรื่องของสมรรถนะ และการใช้งานที่ครอบคลุมตอบโจทย์ ทุก Lifestyle 
คือ ถ้าจะเดินทางไกล และกลัวว่าจะหาที่ชาร์จไม่ได้ ก็ยังสามารถเติมน้ำมัน และวิ่งด้วยเครื่องยนต์อย่างเดียวก็ได้ ซึ่ง C300e คันนี้ ก็มีถังน้ำมันความจุ ถึง 50 ลิตร 


ขอมาต่อกันที่เรื่องถัดมา ก็คือ ทาง Mercedes-Benz อยากจะให้สื่อที่มาร่วมทริปนี้ ช่วยโปรโมท นำเสนอ นั่นก็คือ เรื่องของการ รีวิว Mercede-Me Application การเชื่อมต่อกับรถผ่าน Smartphone ซึ่งจะมีมาให้กับรถ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ  ให้ใช้ฟรี ในช่วง 3 ปีแรก หลังจากนั้น ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ ปีละ 2,000 บาท

เนื่องจากทางผมไม่ใช่ลูกค้าโดยตรงของ Mercdes-Benz ทางทีม PR จึงให้ใช้ Login รวมของทางทีม MKC ซึ่ง Login นึงนี้ก็จะสามารถใช้ร่วมกันได้ถึง 10 กว่าเครื่อง ร่วมกับรถอีกหลายรุ่น 


ในช่วงแรก ผมจึงอาจจะมึนๆ นิด เนื่องจาก มันเชื่อมกับรถหลายคัน เราจะต้องดูว่าเชื่อมกับรถคันที่เราขับถูกต้องหรือไม่ ซึ่งมันจะบอกในแอปเลยว่า เรากำลัง Connect กับรถรุ่นไหน สีอะไร 

หลักการเชื่อมต่อ คือ ในรถจะมี e-SIM เอาไว้ ซึ่งการสั่งงานนี้จะสั่งได้ จากทั่วโลก ขอแค่เพียงมีอินเตอร์เน็ตในการเชื่อมต่อสัญญาณ ซึ่งการสั่งงานต่างๆ จะเร็ว หรือ ช้าก็ขึ้นกับ สัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วย


จุดที่ผมคิดว่ามันใช้งานได้จริงเลย ก็คือ การแสดงสถานะชาร์จไฟ แบตเตอรี่เวลา เราไปเดินห้าง หรือ ไปจอดปั๊มน้ำมันแล้วชาร์จ ที่แท่น Wallbox เราสามารถจิ้มดูผ่านมือถือได้เลยว่า แบตใกล้เต็ม หรือ ยัง จะได้เตรียมออกเดินทางต่อได้ หรือ จะเดินเล่นต่อ หาอะไรทานต่อไปเพื่อรอเวลาชาร์จ

นอกจากนี้ หากเราลืมล็อกรถ ก็สามารถกดล็อก ผ่านมือถือได้ทันทีไม่ว่าจะอยู่ที่ใด บนโลกนี้ รวมถึงเปิดหน้าต่าง และ Sunroof 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถสั่งเปิดระบบปรับอากาศได้อีก  เป็นเวลา 10 นาที และดีเลย์อีก 5 นาที หาก ครบ 15 นาที แล้วยังไม่มีการออกรถ ระบบก็จะสั่งปิดแอร์ให้อัตโนมัติ 


สามารถใช้หาตำแหน่งรถได้ เวลาเราจอดรถในพืนที่ๆ แออัด และเราหารถไม่เจอ และไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถลาก กรอบเป็นรัศมีวงกลมทำ Geofencing ได้ เมื่อรถออกนอกรัศมี พื้นที่ ที่เราตีล้อมกรอบไว้ก็จะ Alert ไปที่ มือถือที่ลงทะเบียนเอาไว้ 
ข้อดี สำหรับรถองค์กร ป้องกันเอารถไปขับเล่น หรือ คุณแฟน ที่จะคอยเช็คสามี ว่า ขับรถออกไปนอกพื้นที่ทำงาน หรือไม่ 


นอกจากนี้ ก็จะแสดงผลอื่นๆ เท่าที่บนหน้าจอแดชบอร์ดตัวรถ จะแสดงผลได้ พวก info ของรถต่างๆ รวมไปถึงระยะ Service ซึ่งถ้าจะเช็คเรื่อง Service ละเอียด จะต้องไปใช้ที่ Mercedes-Me Service App

และยังมีลูกเล่นที่จะสามารถปรับ Pre set การตั้งค่าของ User แต่ละคนที่ลงทะเบียนมือถือ แต่ละเครื่องไว้ เช่นถ้าเรา ปรับเซ็ทตำแหน่งค่าของเบาะนั่ง หรือ พวกเฉดสีไฟในห้องโดยสาร หรือ การตั้งค่าต่างๆ เฉพาะตัวต่างๆ 


แล้วข้อเสียมันมีไหม? ตอบเลยครับว่า ที่ผมลองเล่นดู ก็มีเจออยู่นะ เรื่องแรก มันเป็น Login รวมของทางทีม MKC ทำให้ มัน Alert เยอะแยะไปหมด เมื่อรถคันนู้นคันนี้ มีการเชื่อมต่อปลดล็อกรถ ขับออกนอก Geofencing ฯลฯ  

รวมไปถึงการ ที่มันเชื่อมต่อผ่าน อินเตอร์เน็ต บางทีเราอยู่ในตึก หรือ ลานจอดชั้นใต้ดิน หรือ ที่อับสัญญาณ ก็จะเชื่อมต่อ สั่งงานไม่สำเร็จก็มี 

และนอกจากนี้ เรื่องของค่าใช้จ่ายที่ จะต้องจ่ายเพิ่มหลังหมดช่วงใช้ฟรี ปีแรกๆ เพื่อนๆ ก็ต้อง ลองดูว่าได้ใช้พวกฟังก์ชั่น เทคโนโลยีเหล่านี้บ่อยหรือไม่

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
สุดท้าย ผมขอทิ้งคลิป การทดสอบใช้งาน Mercedes-Me ให้เพื่อนๆ รับชมกันครับ
ชื่อสินค้า:   Mercede-Me Application
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้ามาใช้รีวิวฟรี โดยต้องคืนสินค้าให้เจ้าของสินค้า
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

    ข้อมูลเพิ่มเติม

  • ทีม Pantip Garage เราได้รับเกียรติจากทาง Mercedes-Benz Thailand ร่วมทริป ChargeToChange
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่