คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
อืมสสสสส์
จะว่าไป ผมตั้งใจมาหาคนที่ใช้กาลามสูตรเป็นไม้บันทัดวัดความจริงที่ควรเชื่อ เพื่อคบหาเป็นเพื่อนศึกษาธรรมนะครับนี่ แต่กลับกลายเป็นมีคนที่ไม่เห็นด้วยมาตอบอะไรเยอะแยะเลยแฮะ 555
คือ เอาจริงๆนะ มันเป็นแค่ความเชื่อต่างกันน่ะครับ ผมมาหาคนที่เรียนธรรมด้วยวิธีเดียวกันกับผม อาจจะเป็นวิธีที่ผิดหรือถูกก็รับผลไปตามนั้น เหมือนกับคนที่เค้าเชื่อมั่นในอักขระยึดตามคัมภีร์เค้าก็ได้ผลตามนั้นไปน่ะครับ มันเป็นแค่ทางเลือกส่วนบุคคลน่ะครับ
ผมรบกวนท่านที่ไม่เห็นด้วยกะวิธีของผม ได้โปรดปล่อยผมไปตามทางของผมนะครับ โปรดอย่าแสดงความเห็นในลักษณะที่ไม่สร้างสรรกันเลย แบบมีคนมาลงสั้นๆว่า "โมฆะบุรุษ" อะไรงี้ ไม่ร็จะลงมาเพื่ออะไร เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว การออกความเห็นในลักษณะนี้มันก็ไม่ได้ทำให้ผมทรงปัญญาขึ้นหรือเขลาน้อยลงแต่อย่างใด เพราะไม่มี solution มาให้ เหมือนคุณบอกเด็กว่าเค้าผิด แต่ไม่สอนเค้าว่าอย่างไรถูก
และ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อถามคนที่ยึดติดในคัมภีร์ว่าอะไรคูกอ่ะครับ ผมมาเพื่อหาเพื่อนที่เอาหลักกาลามสูตรมากำกับการศึกษาธรรมและอักขระคำภีร์หรือคำสอนที่ผมได้พบเจอจากแหล่งต่างๆตะหาก
*** คืออันนี้ไม่ใด้ตั้งใจจะเปิดกะทู้มาเพื่อถามความเห็นทางธรรม หรือมาถกธรรมน่ะครับ ผมมาถามว่าใครคิดแบบผมบ้างว่ากาลามสูตรเป็นไม้บันทัดวัดความจริงชั้นดีเลิศ มันสำคัญเพราะจะทำให้เราไม่เดินผิดทาง และผมขอความกรุณาต่อคนแบบนั้นให้เค้ายอมมาเป็นเพื่อนร่วมศึกษาธรรมกับผมน่ะครับ คือบรรดาความรู้ทางธรรมที่ท่านแสดงกันมาน่ะ ผมก็หาอ่านได้ทั่วไปเต็มเน็ทเลยครับ ไม่มีอะไรใหม่ แต่ insights จากคนที่ลึกล้ำและทดสอบด้วยประสบการณ์ตรงก่อนจะเชื่อนี่ หายาก โคตรยากอ่ะครับ (อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นกะทู้) ***
จะว่าไป ผมตั้งใจมาหาคนที่ใช้กาลามสูตรเป็นไม้บันทัดวัดความจริงที่ควรเชื่อ เพื่อคบหาเป็นเพื่อนศึกษาธรรมนะครับนี่ แต่กลับกลายเป็นมีคนที่ไม่เห็นด้วยมาตอบอะไรเยอะแยะเลยแฮะ 555
คือ เอาจริงๆนะ มันเป็นแค่ความเชื่อต่างกันน่ะครับ ผมมาหาคนที่เรียนธรรมด้วยวิธีเดียวกันกับผม อาจจะเป็นวิธีที่ผิดหรือถูกก็รับผลไปตามนั้น เหมือนกับคนที่เค้าเชื่อมั่นในอักขระยึดตามคัมภีร์เค้าก็ได้ผลตามนั้นไปน่ะครับ มันเป็นแค่ทางเลือกส่วนบุคคลน่ะครับ
ผมรบกวนท่านที่ไม่เห็นด้วยกะวิธีของผม ได้โปรดปล่อยผมไปตามทางของผมนะครับ โปรดอย่าแสดงความเห็นในลักษณะที่ไม่สร้างสรรกันเลย แบบมีคนมาลงสั้นๆว่า "โมฆะบุรุษ" อะไรงี้ ไม่ร็จะลงมาเพื่ออะไร เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว การออกความเห็นในลักษณะนี้มันก็ไม่ได้ทำให้ผมทรงปัญญาขึ้นหรือเขลาน้อยลงแต่อย่างใด เพราะไม่มี solution มาให้ เหมือนคุณบอกเด็กว่าเค้าผิด แต่ไม่สอนเค้าว่าอย่างไรถูก
และ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อถามคนที่ยึดติดในคัมภีร์ว่าอะไรคูกอ่ะครับ ผมมาเพื่อหาเพื่อนที่เอาหลักกาลามสูตรมากำกับการศึกษาธรรมและอักขระคำภีร์หรือคำสอนที่ผมได้พบเจอจากแหล่งต่างๆตะหาก
*** คืออันนี้ไม่ใด้ตั้งใจจะเปิดกะทู้มาเพื่อถามความเห็นทางธรรม หรือมาถกธรรมน่ะครับ ผมมาถามว่าใครคิดแบบผมบ้างว่ากาลามสูตรเป็นไม้บันทัดวัดความจริงชั้นดีเลิศ มันสำคัญเพราะจะทำให้เราไม่เดินผิดทาง และผมขอความกรุณาต่อคนแบบนั้นให้เค้ายอมมาเป็นเพื่อนร่วมศึกษาธรรมกับผมน่ะครับ คือบรรดาความรู้ทางธรรมที่ท่านแสดงกันมาน่ะ ผมก็หาอ่านได้ทั่วไปเต็มเน็ทเลยครับ ไม่มีอะไรใหม่ แต่ insights จากคนที่ลึกล้ำและทดสอบด้วยประสบการณ์ตรงก่อนจะเชื่อนี่ หายาก โคตรยากอ่ะครับ (อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นกะทู้) ***
แสดงความคิดเห็น
อยากมีเพื่อนทางธรรมที่ไม่งมงายครับ
*** ประการแรกสุด โปรดทราบว่ากะทู้นี้ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาถามหัวข้อทางธรรม หรือมาถกธรรมนะครับ และไม่ได้เปิดรับความเห็นทางธรรม กะทู้นี้เปิดมาเพื่อมาหาคนที่มีลักษณะพิเศษบางประการ ตามหัวข้อเลยครับ เรื่องลักษณะพิเศษที่ว่านี้เป็นอย่างไร โปรดอ่านในกะทู้ได้เลยครับ และถ้าคุณ 1) อยู่ในข่ายนี้ และ 2) สนใจอยากเป็นเพื่อนร่วมกันพัฒนาทาจิตวิญญาณ ก็ขอได้โปรดเมตตาส่งข้อความมาหลังไมค์ได้เลยครับ ***
เข้าเรื่องเลยนะครับ >>>
ผมอยากมีเพื่อนที่ศึกษาธรรมแบบไม่งมงาย ไม่ยึดติดตัวอักษรที่จารึกไว้ (ไม่บ้าท่องหรือ quote พระไตรปิฎก) ยุคนี้หาคนแบบที่ว่านี่ยากจังเลยครับ
พุทธะเคยไปสอนธรรมที่เมืองกาลามะ ชาวเมืองบอกกะท่านว่า เมืองของพวกเค้ามีกูรูแวะเวียนมาสอนเรื่องจิตวิญญาณตรึม และกูรูทุกท่านก็ล้วนอ้างว่าตัวเองบรรลุธรรมกันหมด แต่พวกเค้าก็ดันสอนกันไปคนละทาง พวกเค้าเลยงงๆว่าจะรู้ได้ไงว่าของใครถูกแท้แน่นอน
พุทธะเลยบอกว่ามีสิ่งไม่ควรด่วนปักใจเชื่อ 10 ประการ จนกว่าจะได้ตรึกตรองด้วยเหตุผล "อย่างมีสติ" และ พิสูจน์ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองแล้วซะก่อน ที่เราเรียกกันว่า "กาลามสูตร" น่ะครับ หนึ่งในสิบประการนั้นคือ เรื่องที่จารึกไว้ (พระบาลี และพระไตรปิฎก คำภีร์พระเวทย์, etc. จัดอยู่ในหมวดนี้) และข้อที่น่าทึ่งมาก (และสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นยอดครูของพุทธะ) คือข้อ 10 ซึ่งบอกว่า อย่าเชื่อเพียงเพราะสมณะเป็นผู้กล่าว ซึ่งสมณะนี่ก็รวมถึงตัวพุทธะด้วยนะครับ
เป็นที่น่าสังเกตุด้วยว่าพุทธะเองก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นที่จะบันทึกคำสอนไว้ตามที่บรรดาเถระเคยเสนอ ในเวลาต่อมาพระสารีบุตรได้ไปรวบรวมธรรมที่พุทธะเคยเทศนามาจัดไว้เป็น 10 หมู่ แล้วก็ท่องให้พุทธะฟัง พุทธะก็สรรเสริญว่าดี แต่ไม่ได้ออกอาการสนับสนุนให้ทำต่อ พระสารีบุตรก็เลยไม่ได้ทำต่อครับ
การสังคายนาธรรมเริ่มมีครั้งแรกหลังจากพุทธะสิ้นแล้ว (ด้วยเหตุผลที่ท้าทายอย่างยิ่ง) และจัดทำเป็นคำท่องคำสวด คือไม่ได้จารึกลงเป็นอักขระ การจารึกเกิดมีขึ้นหลังจากนั้นนานเลยครับ ที่แปลกคือในยุคหลังๆดันมีอรรถกถาซึ่งเป็นการตีความของเถระในรุ่นหลังๆงอกมาแปะไว้ด้วย ซึ่งเป็นเถระที่ไม่ได้เกิดในพุทธกาลหรือไม่เคยเจอพุทธะเลย อย่างไรก็ดี ถึงตอนนี้มีคนยึดพระไตรปิฎกเอามาอ้างนั่นอ้างนี่เต็มไปหมด ยึดตามตัวอักขระกันไปอย่างเหนียวแน่น (ซึ่งก็เป็นสิทธิของเค้านะครับ)
ผมอยากได้เพื่อนที่เห็นคุณค่าของกาลามสูตร และใช้มันเป็นไม้บรรทัดวัดความจริงก่อนจะเชื่อน่ะครับ เรื่องทางจิตวิญญาณนี่หลงกันง่ายถ้าไม่ระมัดระวังหรือขาดสติและไม่ใช้โยนิโสมนสิการน่ะครับ เพราะจะกลายเป็นว่าเรามีความจริงตามแบบของตัวเองเป็นการส่วนตัว (คือตามชอบ ตามถูกโฉลก ตามเชื่อ ตามสบายใจ) และหลุดจากความจริงแท้ไปน่ะครับ อย่างที่ Astrophysicist Neil deGrasse Tyson เคยบอกไว้ว่า โลกเรามี personal truth (จริงส่วนตัว), political truth (จริงตามชาวบ้าน) และ objective truth (จริงแท้ในทุกอวกาศและกาลเวลา)
https://youtu.be/0kPINNhHGNw
*** ผม "คิดว่า" สิ่งที่พุทธะคงอยากให้เราชาวโลกได้เจอคือ objective truth ล้วนๆ เราจึงจำเป็นต้องแยกแยะให้ออกเนอะครับว่าอันไหนคือ objective truth ***
ใครมองแบบเดียวกันนี้ มาเป็นเพื่อนธรรมกันหน่อยเร้วววว