จากวันนั้นที่ซื้อรถ 1.749 ล้านบาท และผ่านมา 2 ปีล่ะ ตอนนี้เห็นราคาแล้วตกใจมาก อิอิ เหลือแค่ 1.111 ล้านเอง เอาจริงๆ ว่า เหมือนโดนตบหน้า ซื้อมาแพง แปปเดียวศูนย์ลดราคาลงฮวบเลย ถ้าศูนย์ไม่อยากให้ลูกค้าเก่าเสียใจ วิธีการง่ายนิดเดียว เอาของขวัญ เช่น ตุ๊กตาหมี หรือบัตรลดส่วนเข้าเช็คระยะให้ฟรี 10 ปี แต่จริงๆ แล้วเช็คระยะก็ถูกมาก 10 ปี หมดไปแค่ 1.2 หมื่น เท่านั้น รถ 1.74 ล้าน อย่างต่ำ น่าจะสมนาคุณ 50,000.- เลยฟรี อิอิ อันนี้คืออย่างต่ำนะ โทรไล่ไปเลยจากฐานข้อมูล คนซื้อมี 10 กว่าคันเอง ที่ซื้อราคา 1.74 ล้าน
และจริงๆ แล้วการที่ศูนย์ลดราคาก็ไม่ใช่ความผิดใดๆ เพราะสามารถทำได้ และในตอนที่ซื้อ เราได้พอใจกับราคานั้นแล้ว อันนี้ก็แค่แนะนำเฉยๆ นะ
แพมซื้อ Hyundai มาคันนี้ ก็คันที่ 4 แล้ว คันแรก Elantra GLE คันที่ 2 ก็ Elantra GLS Navi คันที่ 3 Veloster Turbo และคันนี้ Ioniq Electric และแนะนำเพื่อนอีกใช้ Veloster Turbo และอีกคน Elantra GLS Navi
แต่ส่วนต่างนั้นก็ซื้อ city ได้คันนึงเลย ตบหน้าลูกค้ามากๆ รู้สึกโดนเอาเปรียบ การตลาดแบบนี้ทำให้ลูกค้าเก่ารู้สึกเสียใจ บ้ายๆ รถคันสุดท้ายจาก Hyundai ซื้อยี่ห้ออื่นดีกว่าครับ เพราะตอนนี้อยากเปลี่ยนคัน เป็นคนเบื่อง่าย จากที่ขายยากอยู่แล้ว ทังแบรนด์ + รถไฟฟ้า ตอนนี้ ขายยากกกกกกก ไปกันใหญ่ ต้องขายต่อแบบว่ายกให้ถูกๆ ไปเลย
มาถึงตอนนี้ผ่านไป 2 ปีแล้ว มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างกับรถไฟฟ้า สิ่งหนึ่งคือระยะทางที่ใช้ได้ลดลง จากปกติออกศูนย์ใหม่ๆ ประมาณ 220 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง แต่สเปกจริง คือ 280 นะ เป็นปกติ เพราะมันจะจำการขับขี่ของเราว่าขับแบบไหน มาในตอนนี้เหลือเพียง 195 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ลดลงมาหน่อย รถแพมไม่เคยโดนแดดเลย รักษาดีมาก กลัวแบตเสื่อม อิอิ แต่มันก็เป็นปกติของมัน เช็คระยะล่าสุดด้วยคอมพิวเตอร์ แบตปกติดี
ทีนี้จะมีรีวิวว่า รถไฟฟ้า ไม่ต้องเติมน้ำมัน ชีวิตง่ายขึ้น จริงอ๋อ ทุกวันเราต้องมาถอดเงียบชารจ์เอง มันถึงยุคที่เด็กปั๊มไม่ต้องทำงานแล้ว แย่งงานเด็กปั้ม แต่ก็คงอีกนานเลย เพราะไม่มีใครซื้อรถไฟฟ้ากันง่ายเห็นมีข่าวบอกว่า MG ZS EV คนจองเต็ม 1000 คัน ที่แถมแท่นชาร์จ ตั้งแต่เปิดตัว นี้ก็ผ่านมาสักระยะล่ะ ยังไม่เห็นใครขับในถนนเลยนะ คาดว่า รถไฟฟ้าคงต้องรออีกนาน บ้านเราถึงจะเริ่มนิยมใช้กัน ด้วยค่านิยมและราคาด้วย88kwแบตหมด ขับเบาๆ ปิดแอร์
ตอนนั้นแพมทำไมถึงเลือก hyundai ioniq เพราะด้วยแบตเตอรี่ li ion polymer ที่มีความปลอดภัยกว่า li ion
ตัวนี้จะแบตน้อยกว่า Kona เพราะมันไม่ได้ยกสูง เลยไม่มีที่วางแบตใต้ท้องรถเหมือน Kona ครับ
ทำไมไม่ซื้อ MG
เพราะมีประสบการณ์ไม่ดี กับเซลล์แถวบ้านเป็นทั้งกลุ่มเลยครับ เขาดูว่าประมาณเราเหมือนเด็ก แล้วเราจะขอลองขับ ตอนนั้นไฟฟ้ายังไม่ออก เขาก็เหมือนไม่อยากให้ลอง พูดจาดูถูกเยอะมาก เขาถามว่าจะขับคันไหน ผมก็บอกว่ามีรุ่นไหนบ้าง เขาบอกว่ามีทุกรุ่น งั้นผมขอ MG6 เขาบอกว่าไม่มี แล้วผมก็เลยถามอีกมีรุ่นไหนบ้าง เขาบอกมา GS และ ZS ผมขอ GS กลุ่มเซลล์ทำหน้าไม่รับแขก จะขับคันใหญ่เลยหรอ มันแพงนะ เขาขอเอกสารเยอะมากตอนให้ขับ และให้ขับในโชว์รูม เราก็เลยถามคันนั้นทำไมออกได้ เขาบอกเพราะคนนั้นเขาจองรถแล้ว และพอขับเสด ก็บอกทางให้ผมเดินกลับเลย โดยไม่ขอข้อมูลอะไร โชวร์รูม MG กรุงเทพ สาขาลำลูกกา เซลล์ทั้ง 3 คน นิสัยเหมือนกันเลย
ตอนนั้นอยากได้รถใหม่ เลยศึกษาข้อมูลหลายๆ ค่าย และด้วยเป็นคนชอบเทคโนโลยีของรถไฟฟ้าที่มีความไม่เหมือนใคร ก็เลยมองหารถไฟฟ้าของหลายๆ ค่าย จนได้มาเจอ Hyundai Ioniq ซึ่งเปิดตัวอยู่นานพอสมควรก่อนจะเข้ามาที่ไทย ซึ่งคิดว่าแพมเป็นคนแรกที่ได้เห็นรถโชว์ Ioniq สีน้ำเงิน ที่ขนผ่านตุ้คอนเทนเนอร์เมื่อวันที่ไปเช็ครถ ซึ่งตอนนั้นใช้ Hyundai Elantra อยู่ ด้วยรถมีความสวยงามและเหมาะกับบุคลิคของเรา จึงศึกษาสเปกและรัวิวในเนตทั้งหมด ตั้งแต่มีตัวโชว์เข้ามา กว่าจะวางขายจริงก็ใช้เวลานับปี ด้วยราคาขาย 1.74 ล้านบาท ก็ถือว่าไม่แพงเลยนะ
โดยส่วนตัวแพมชอบรถที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะสามารถขับได้ง่าย เข้าซอยแคบๆได้ โดยไม่อึดอัด ซึ่งคันนี้ก็คือใช่เลย
สิ่งที่ได้จากรถไฟฟ้าที่แน่นอนก็คือ ความมั่นใจในการขับขี่ สามารถควบคุมได้ดั่งใจ จะเร่งก็เร่งได้ทันที จะหยุดก็หยุดได้เลยแค่ปล่อยคันเร่ง มันง่ายๆ มากๆ เลยครับ แตกต่างจากรถน้ำมันที่เราเคยขับกันไปเลย แต่สำหรับใครที่เพิ่งขับช่วงแรกๆ ก็ต้องฝึกๆ หน่อย จะยังไม่ค่อยชิน โดยเฉพาะตอนถอนคันเร่ง เพื่อนมาขับรถแพมเขาจะบอกว่างงๆ มันดูแปลกๆ ที่เราต้องเหยียบคันเร่งอยู่ตลอดเวลา แต่แพมว่ามันดีมาก คือเวลาเราฉุกเฉิน เช่นมีรถคันหน้ามาปาดเรา เราก็แค่ปล่อยคันเร่ง ไม่ต้องสลับไปเหยียบเบรกให้เสียเวลาเลย มันช่วยมากเลยนะครับ ระยะเวลาในการเบรกจะเร็วมากๆ
อีกอย่างที่เริดก็คือ ได้ที่จอดรถง่าย เพราะเข้าห้างขับไปที่ชาร์จเลย ไม่มีใครมาจอด เฉพาะตอนแรกๆ นะ ตอนนี้เข้าไม่ได้ล่ะ มีแต่รถไฮบริดเสียบปลั๊กมาจอด บางทีแบตเราใกล้หมด ก็เข้าจอดไม่ได้ล่ะ ตั้งแต่ซื้อมาได้จอดที่ชาร์จได้ ประมาณ 5 ครั้ง ที่เหลือชาร์จที่บ้าน
มีวันนึ่ง เริดอ่ะ รถพรีเมี่ยม ที่จอดมี แต่ รปภ. เรียกให้มาจอดตรงนี้เลยจ้า เอากรวยมาตั้งไว้ให้เลย เดินเข้า HomePro เลย สวยๆ
ล้อแม็ก 16 นิ้ว เป็นลายแบบของรถไฟฟ้าที่ใช้กัน เพื่อลดแรงเสียดทาน ตอนใช้แรกๆ ไม่ค่อยชอบเพราะดูไม่ค่อยหรูเนื่องจากล้อเล้กแต่พอใช้ไปมา รุ้สึกชอบมาก เพราะเวลาล้อหมุนจะดูเหมือนกังหันลม และดูล้ำสมัยมาก
ยางขนาด 205 16 ที่มากับตัวรถ เป็นยางฤดูหนาวที่เมื่อใช้ในบ้านเราที่อากาศร้อน จะไม่ค่อยเกาะถนน และเป็นยางรุ่นประหยัดพลังงานอีก จึงต้องใช้ระยะเวลาเบรกมากหน่อย ผมเลยเอาไปเปลี่ยนพบว่ายางมีให้เลือกน้อย เพราะเป็นขนาดที่ไม่เป็นที่นิยม
ตอนแรกๆ กลัว ล้างรถแบบอัดฉีด มันจะไม่ซ๊อตใช่ไหม ใช้รถไฟฟ้า กลัวอยู่ 2 อย่าง
1. กลัวน้ำโดนจุดที่สำคัญแล้วรถมีปัญหา
2. ตอนฝนตก ฟ้าผ่า ไม่กล้าออกจากบ้านเลยครับ
การออกตัวสามารถออกจากจุดหยุดนิ่งได้อย่างทันใจ แต่ไม่สามารถเหยียบคันเร่งจนสุดได้ เพราะน้ำหนักรถที่มากถึง 1.5 ตัน ไม่สามารถเคลื่อนตัวได้ทันที จะทำให้ล้อหน้าหมุนฟรี ซึ่งเราจะสังเกตุเห็นเมือระบบรักษาเสถียรภาพทำงาน ซึ่งพยายามเบรกล้อคู่หน้าไว้ให้ล้อทั้ง 4 ล้อเคลื่อนที่พร้อมกัน
ความเร็วสูงสุด 165 กม/ชม. ซึ่งเท่านี้ก็ถือว่าเร็วแล้ว ถ้าเราขับรถเร็วขนาดนี้ ก็อันตราย เราไม่ควรเอาชีวิตเราไปเสี่ยง ขับพอดีๆ 100 กม./ชม. พอดีกว่า
ขับรถไฟฟ้าแล้วมีความสุขครับ เพราะเรารู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้โลกน่าอยู่ขึ้น ไม่มีมลพิษ ดูสะอาดมากขึ้น รถก็คันไม่ใหญ่มาก ไม่กินพื้นที่ถนน ให้เกะกะ
ถ้าน้ำมันเฉลี่ย กิโล ละ 2.3 บาท แต่อันนี้ก็ประมาณ กิโลละ 1 บาท ครับ ถ้าจะขับให้ได้เหมือนรถน้ำมัน ขับความเร็วแบบรถน้ำมันใช่ครับ จุดหมายแรกที่ใช้รถไฟฟ้า คือ ต้องการใส่ใจธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด แต่แพมอยากให้มันออกมาเป็นผลจริงๆ หลังจากใช้ก็มีความสุขที่ได้ช่วยโลกครับ
ใครที่ต้องการรถไฟฟ้าเพื่อให้ลดค่าใช้จ่ายลง แพมว่าเป็นทางเลือกที่ผิด เพราะด้วยราคาที่สูงกว่ารถน้ำมัน 2 เท่า และการชาร์จแต่ละครั้งก็ไม่ใช่ว่าถูก เพราะรถกินไฟเยอะ ในการชาร์จเข้าแบตเตอรี่ก็มีการสูญเสียไฟฟ้าไปส่วนหนึ่ง กว่าจะเต็มใช่เวลานานถึง 12 ชั่วโมงในการใช้ไฟบ้าน
ระหว่างชาร์จ เต้าเสียบจะร้อนจี๋ เพราะมีกระแสไฟไหลผ่านเยอะ ซึ่งต้องใช้สายไฟเบอร์ใหญ่หน่อย และไม่ควรต่อกับปลั๊กพ่วง
รถไฟฟ้าไม่ได้กินไฟเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านนะครับ แค่มอเตอร์ หากเหยียบจนมิดในช่วงออกตัว หรือใช้ความเร็วสูง ก็กินไฟถึง 88 kW หรือ 88,000 วัตต์ ถ้านึกไม่ออกว่าเยอะขนาดไหน ลองนึกถึงเตารีดไฟฟ้าที่บ้าน สมมุติกินไฟ 880 วัตต์ ก็เท่ากับการเปิดเตารีด 100 ตัวพร้อมกัน ที่ความร้อนสูงสุด เยอะมากเลยใช่ไหมครับ นี่ยังไม่นับรวมระบบแอร์ และระบบไฟฟ้าอื่นๆ
แอร์ก็กินไฟจากแบตเตอรี่ ดังนั้นเราจะเปิดแอร์แรงไม่ได้ เพราะแบตเตอรี่จะหมดเร็ว หรือหากเปิดแรงๆ ก็ยังไม่รู้สึกเย็นฉ่ำเหมือนรถน้ำมัน จะรู้สึกแค่เย็นเฉยๆ แต่ไม่แนะนำให้เปิดฮีตเตอร์นะ เพราะน่าจะกินไฟเยอะ เพราะปกติรถน้ำมันฮีตเตอร์จะเอาความร้อน โดยให้อากาศไหลผ่านเครื่องยนต์ซึ่งร้อนจัด แต่รถไฟฟ้าฮีตเตอร์น่าจะเป็นระบบไฟฟ้าซึ่งคงเปลืองมากๆ
ระบบไฟหน้าเป็น LED เน้นความประหยัดพลังงาน ในขณะที่ Ioniq Hybrid จะใช้ HID ซึ่งไม่เหมาะกับรถไฟฟ้าเพราะกินไฟเยอะ
อยากให้แบตอยู่นานๆ ก็ต้องไม่โดนแดด เลยออกใช้รถแต่ตอนกลางคืนครับ
แผงด้านหน้า วัสดุภายใน ใช้ส่วนผสมจากพลาสติกรีไซเคิลและวัสดุจากธรรมชาติ ทำให้จับดูแล้วแข็ง แต่ก็นุ่ม แต่ไม่มาก ซึ่งเราขับรถเราก็ไม่ได้ไปจับมันอยู่แล้ว ทำไมบางคนชอบบุนุ่มก็ไม่รู้นะ
ระบบอัจฉริยะต่างๆ ก็มาทั้งหมด จริงๆ ถ้าไม่มีระบบพวกนี้ก็ขับได้นะ สิ่งที่ใส่ใจคือ เราควรเลือกรถที่เราชอบในดีไซน์ ชอบในรูปทรงของรถ ขับแล้วมีความสุขทุกครั้งที่ได้จับ ส่วนพวกเรื่องอื่นๆ ก็เป็นทางเล้อกรองในการตัดสินใจ ถ้าชอบก็ซื้อเลย ส่วน Ioniq ก็มาครบแทบจะทั้งหมดของที่มีในตอนนี้ และอาจล้ำกว่าด้วย ยกเว้นจอทัชสกรีนที่มาเล้กหน่อยในรุ่นที่มาขายในไทย และไม่ใช่ตัวที่มีระบบนำทาง
หลายคน คิดว่า ซื้อรถไฟฟ้าจะประหยัดเงินในกระเป๋า แพมบอกเลยไม่จริง ซื้อรถน้ำมันดีกว่าครับ ถึงแม้ ค่าเช็คระยะถูก ค่าไฟถูกกว่าน้ำมัน แต่รถไฟฟ้าราคาก็แพงกว่าอย่างน้อย 2 เท่า ลืมบอกว่าประกันรถ ปีละ 40000 นะครับ จ่ายทีนี่แทบสลบเลย ขนาดไม่มีเคลมอะไร แต่สิ่งที่เราได้คือ การได้สนองความต้องการของตัวเอง ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี และของไอทีต่างๆ และได้ขับก่อนใครเพื่อน
หลังจากที่มีรถไฟฟ้า ก็คิดหาคอนเทนต์ว่าทำยังไงดีจะให้คนรู้จักรถไฟฟ้ามากขึ้น ก็เลยไปรวมกับเพจเที่ยวเลยออกมาอย่างที่เห็นครับ
https://pixbotanic.com/trip/hyundai-ioniq-electric
และท้ายที่สุดฝากเพจเที่ยวของแพมด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/PIXBotanicTrip
ซื้อเอง รีวิวเอง รถไฟฟ้า Hyundai Ioniq Electric [PIX Trip]
และจริงๆ แล้วการที่ศูนย์ลดราคาก็ไม่ใช่ความผิดใดๆ เพราะสามารถทำได้ และในตอนที่ซื้อ เราได้พอใจกับราคานั้นแล้ว อันนี้ก็แค่แนะนำเฉยๆ นะ
แพมซื้อ Hyundai มาคันนี้ ก็คันที่ 4 แล้ว คันแรก Elantra GLE คันที่ 2 ก็ Elantra GLS Navi คันที่ 3 Veloster Turbo และคันนี้ Ioniq Electric และแนะนำเพื่อนอีกใช้ Veloster Turbo และอีกคน Elantra GLS Navi
แต่ส่วนต่างนั้นก็ซื้อ city ได้คันนึงเลย ตบหน้าลูกค้ามากๆ รู้สึกโดนเอาเปรียบ การตลาดแบบนี้ทำให้ลูกค้าเก่ารู้สึกเสียใจ บ้ายๆ รถคันสุดท้ายจาก Hyundai ซื้อยี่ห้ออื่นดีกว่าครับ เพราะตอนนี้อยากเปลี่ยนคัน เป็นคนเบื่อง่าย จากที่ขายยากอยู่แล้ว ทังแบรนด์ + รถไฟฟ้า ตอนนี้ ขายยากกกกกกก ไปกันใหญ่ ต้องขายต่อแบบว่ายกให้ถูกๆ ไปเลย
มาถึงตอนนี้ผ่านไป 2 ปีแล้ว มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างกับรถไฟฟ้า สิ่งหนึ่งคือระยะทางที่ใช้ได้ลดลง จากปกติออกศูนย์ใหม่ๆ ประมาณ 220 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง แต่สเปกจริง คือ 280 นะ เป็นปกติ เพราะมันจะจำการขับขี่ของเราว่าขับแบบไหน มาในตอนนี้เหลือเพียง 195 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ลดลงมาหน่อย รถแพมไม่เคยโดนแดดเลย รักษาดีมาก กลัวแบตเสื่อม อิอิ แต่มันก็เป็นปกติของมัน เช็คระยะล่าสุดด้วยคอมพิวเตอร์ แบตปกติดี
ทีนี้จะมีรีวิวว่า รถไฟฟ้า ไม่ต้องเติมน้ำมัน ชีวิตง่ายขึ้น จริงอ๋อ ทุกวันเราต้องมาถอดเงียบชารจ์เอง มันถึงยุคที่เด็กปั๊มไม่ต้องทำงานแล้ว แย่งงานเด็กปั้ม แต่ก็คงอีกนานเลย เพราะไม่มีใครซื้อรถไฟฟ้ากันง่ายเห็นมีข่าวบอกว่า MG ZS EV คนจองเต็ม 1000 คัน ที่แถมแท่นชาร์จ ตั้งแต่เปิดตัว นี้ก็ผ่านมาสักระยะล่ะ ยังไม่เห็นใครขับในถนนเลยนะ คาดว่า รถไฟฟ้าคงต้องรออีกนาน บ้านเราถึงจะเริ่มนิยมใช้กัน ด้วยค่านิยมและราคาด้วย88kwแบตหมด ขับเบาๆ ปิดแอร์
ตอนนั้นแพมทำไมถึงเลือก hyundai ioniq เพราะด้วยแบตเตอรี่ li ion polymer ที่มีความปลอดภัยกว่า li ion
ตัวนี้จะแบตน้อยกว่า Kona เพราะมันไม่ได้ยกสูง เลยไม่มีที่วางแบตใต้ท้องรถเหมือน Kona ครับ
ทำไมไม่ซื้อ MG
เพราะมีประสบการณ์ไม่ดี กับเซลล์แถวบ้านเป็นทั้งกลุ่มเลยครับ เขาดูว่าประมาณเราเหมือนเด็ก แล้วเราจะขอลองขับ ตอนนั้นไฟฟ้ายังไม่ออก เขาก็เหมือนไม่อยากให้ลอง พูดจาดูถูกเยอะมาก เขาถามว่าจะขับคันไหน ผมก็บอกว่ามีรุ่นไหนบ้าง เขาบอกว่ามีทุกรุ่น งั้นผมขอ MG6 เขาบอกว่าไม่มี แล้วผมก็เลยถามอีกมีรุ่นไหนบ้าง เขาบอกมา GS และ ZS ผมขอ GS กลุ่มเซลล์ทำหน้าไม่รับแขก จะขับคันใหญ่เลยหรอ มันแพงนะ เขาขอเอกสารเยอะมากตอนให้ขับ และให้ขับในโชว์รูม เราก็เลยถามคันนั้นทำไมออกได้ เขาบอกเพราะคนนั้นเขาจองรถแล้ว และพอขับเสด ก็บอกทางให้ผมเดินกลับเลย โดยไม่ขอข้อมูลอะไร โชวร์รูม MG กรุงเทพ สาขาลำลูกกา เซลล์ทั้ง 3 คน นิสัยเหมือนกันเลย
ตอนนั้นอยากได้รถใหม่ เลยศึกษาข้อมูลหลายๆ ค่าย และด้วยเป็นคนชอบเทคโนโลยีของรถไฟฟ้าที่มีความไม่เหมือนใคร ก็เลยมองหารถไฟฟ้าของหลายๆ ค่าย จนได้มาเจอ Hyundai Ioniq ซึ่งเปิดตัวอยู่นานพอสมควรก่อนจะเข้ามาที่ไทย ซึ่งคิดว่าแพมเป็นคนแรกที่ได้เห็นรถโชว์ Ioniq สีน้ำเงิน ที่ขนผ่านตุ้คอนเทนเนอร์เมื่อวันที่ไปเช็ครถ ซึ่งตอนนั้นใช้ Hyundai Elantra อยู่ ด้วยรถมีความสวยงามและเหมาะกับบุคลิคของเรา จึงศึกษาสเปกและรัวิวในเนตทั้งหมด ตั้งแต่มีตัวโชว์เข้ามา กว่าจะวางขายจริงก็ใช้เวลานับปี ด้วยราคาขาย 1.74 ล้านบาท ก็ถือว่าไม่แพงเลยนะ
โดยส่วนตัวแพมชอบรถที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะสามารถขับได้ง่าย เข้าซอยแคบๆได้ โดยไม่อึดอัด ซึ่งคันนี้ก็คือใช่เลย
สิ่งที่ได้จากรถไฟฟ้าที่แน่นอนก็คือ ความมั่นใจในการขับขี่ สามารถควบคุมได้ดั่งใจ จะเร่งก็เร่งได้ทันที จะหยุดก็หยุดได้เลยแค่ปล่อยคันเร่ง มันง่ายๆ มากๆ เลยครับ แตกต่างจากรถน้ำมันที่เราเคยขับกันไปเลย แต่สำหรับใครที่เพิ่งขับช่วงแรกๆ ก็ต้องฝึกๆ หน่อย จะยังไม่ค่อยชิน โดยเฉพาะตอนถอนคันเร่ง เพื่อนมาขับรถแพมเขาจะบอกว่างงๆ มันดูแปลกๆ ที่เราต้องเหยียบคันเร่งอยู่ตลอดเวลา แต่แพมว่ามันดีมาก คือเวลาเราฉุกเฉิน เช่นมีรถคันหน้ามาปาดเรา เราก็แค่ปล่อยคันเร่ง ไม่ต้องสลับไปเหยียบเบรกให้เสียเวลาเลย มันช่วยมากเลยนะครับ ระยะเวลาในการเบรกจะเร็วมากๆ
อีกอย่างที่เริดก็คือ ได้ที่จอดรถง่าย เพราะเข้าห้างขับไปที่ชาร์จเลย ไม่มีใครมาจอด เฉพาะตอนแรกๆ นะ ตอนนี้เข้าไม่ได้ล่ะ มีแต่รถไฮบริดเสียบปลั๊กมาจอด บางทีแบตเราใกล้หมด ก็เข้าจอดไม่ได้ล่ะ ตั้งแต่ซื้อมาได้จอดที่ชาร์จได้ ประมาณ 5 ครั้ง ที่เหลือชาร์จที่บ้าน
มีวันนึ่ง เริดอ่ะ รถพรีเมี่ยม ที่จอดมี แต่ รปภ. เรียกให้มาจอดตรงนี้เลยจ้า เอากรวยมาตั้งไว้ให้เลย เดินเข้า HomePro เลย สวยๆ
ล้อแม็ก 16 นิ้ว เป็นลายแบบของรถไฟฟ้าที่ใช้กัน เพื่อลดแรงเสียดทาน ตอนใช้แรกๆ ไม่ค่อยชอบเพราะดูไม่ค่อยหรูเนื่องจากล้อเล้กแต่พอใช้ไปมา รุ้สึกชอบมาก เพราะเวลาล้อหมุนจะดูเหมือนกังหันลม และดูล้ำสมัยมาก
ยางขนาด 205 16 ที่มากับตัวรถ เป็นยางฤดูหนาวที่เมื่อใช้ในบ้านเราที่อากาศร้อน จะไม่ค่อยเกาะถนน และเป็นยางรุ่นประหยัดพลังงานอีก จึงต้องใช้ระยะเวลาเบรกมากหน่อย ผมเลยเอาไปเปลี่ยนพบว่ายางมีให้เลือกน้อย เพราะเป็นขนาดที่ไม่เป็นที่นิยม
ตอนแรกๆ กลัว ล้างรถแบบอัดฉีด มันจะไม่ซ๊อตใช่ไหม ใช้รถไฟฟ้า กลัวอยู่ 2 อย่าง
1. กลัวน้ำโดนจุดที่สำคัญแล้วรถมีปัญหา
2. ตอนฝนตก ฟ้าผ่า ไม่กล้าออกจากบ้านเลยครับ
การออกตัวสามารถออกจากจุดหยุดนิ่งได้อย่างทันใจ แต่ไม่สามารถเหยียบคันเร่งจนสุดได้ เพราะน้ำหนักรถที่มากถึง 1.5 ตัน ไม่สามารถเคลื่อนตัวได้ทันที จะทำให้ล้อหน้าหมุนฟรี ซึ่งเราจะสังเกตุเห็นเมือระบบรักษาเสถียรภาพทำงาน ซึ่งพยายามเบรกล้อคู่หน้าไว้ให้ล้อทั้ง 4 ล้อเคลื่อนที่พร้อมกัน
ความเร็วสูงสุด 165 กม/ชม. ซึ่งเท่านี้ก็ถือว่าเร็วแล้ว ถ้าเราขับรถเร็วขนาดนี้ ก็อันตราย เราไม่ควรเอาชีวิตเราไปเสี่ยง ขับพอดีๆ 100 กม./ชม. พอดีกว่า
ขับรถไฟฟ้าแล้วมีความสุขครับ เพราะเรารู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้โลกน่าอยู่ขึ้น ไม่มีมลพิษ ดูสะอาดมากขึ้น รถก็คันไม่ใหญ่มาก ไม่กินพื้นที่ถนน ให้เกะกะ
ถ้าน้ำมันเฉลี่ย กิโล ละ 2.3 บาท แต่อันนี้ก็ประมาณ กิโลละ 1 บาท ครับ ถ้าจะขับให้ได้เหมือนรถน้ำมัน ขับความเร็วแบบรถน้ำมันใช่ครับ จุดหมายแรกที่ใช้รถไฟฟ้า คือ ต้องการใส่ใจธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด แต่แพมอยากให้มันออกมาเป็นผลจริงๆ หลังจากใช้ก็มีความสุขที่ได้ช่วยโลกครับ
ใครที่ต้องการรถไฟฟ้าเพื่อให้ลดค่าใช้จ่ายลง แพมว่าเป็นทางเลือกที่ผิด เพราะด้วยราคาที่สูงกว่ารถน้ำมัน 2 เท่า และการชาร์จแต่ละครั้งก็ไม่ใช่ว่าถูก เพราะรถกินไฟเยอะ ในการชาร์จเข้าแบตเตอรี่ก็มีการสูญเสียไฟฟ้าไปส่วนหนึ่ง กว่าจะเต็มใช่เวลานานถึง 12 ชั่วโมงในการใช้ไฟบ้าน
ระหว่างชาร์จ เต้าเสียบจะร้อนจี๋ เพราะมีกระแสไฟไหลผ่านเยอะ ซึ่งต้องใช้สายไฟเบอร์ใหญ่หน่อย และไม่ควรต่อกับปลั๊กพ่วง
รถไฟฟ้าไม่ได้กินไฟเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านนะครับ แค่มอเตอร์ หากเหยียบจนมิดในช่วงออกตัว หรือใช้ความเร็วสูง ก็กินไฟถึง 88 kW หรือ 88,000 วัตต์ ถ้านึกไม่ออกว่าเยอะขนาดไหน ลองนึกถึงเตารีดไฟฟ้าที่บ้าน สมมุติกินไฟ 880 วัตต์ ก็เท่ากับการเปิดเตารีด 100 ตัวพร้อมกัน ที่ความร้อนสูงสุด เยอะมากเลยใช่ไหมครับ นี่ยังไม่นับรวมระบบแอร์ และระบบไฟฟ้าอื่นๆ
แอร์ก็กินไฟจากแบตเตอรี่ ดังนั้นเราจะเปิดแอร์แรงไม่ได้ เพราะแบตเตอรี่จะหมดเร็ว หรือหากเปิดแรงๆ ก็ยังไม่รู้สึกเย็นฉ่ำเหมือนรถน้ำมัน จะรู้สึกแค่เย็นเฉยๆ แต่ไม่แนะนำให้เปิดฮีตเตอร์นะ เพราะน่าจะกินไฟเยอะ เพราะปกติรถน้ำมันฮีตเตอร์จะเอาความร้อน โดยให้อากาศไหลผ่านเครื่องยนต์ซึ่งร้อนจัด แต่รถไฟฟ้าฮีตเตอร์น่าจะเป็นระบบไฟฟ้าซึ่งคงเปลืองมากๆ
ระบบไฟหน้าเป็น LED เน้นความประหยัดพลังงาน ในขณะที่ Ioniq Hybrid จะใช้ HID ซึ่งไม่เหมาะกับรถไฟฟ้าเพราะกินไฟเยอะ
อยากให้แบตอยู่นานๆ ก็ต้องไม่โดนแดด เลยออกใช้รถแต่ตอนกลางคืนครับ
แผงด้านหน้า วัสดุภายใน ใช้ส่วนผสมจากพลาสติกรีไซเคิลและวัสดุจากธรรมชาติ ทำให้จับดูแล้วแข็ง แต่ก็นุ่ม แต่ไม่มาก ซึ่งเราขับรถเราก็ไม่ได้ไปจับมันอยู่แล้ว ทำไมบางคนชอบบุนุ่มก็ไม่รู้นะ
ระบบอัจฉริยะต่างๆ ก็มาทั้งหมด จริงๆ ถ้าไม่มีระบบพวกนี้ก็ขับได้นะ สิ่งที่ใส่ใจคือ เราควรเลือกรถที่เราชอบในดีไซน์ ชอบในรูปทรงของรถ ขับแล้วมีความสุขทุกครั้งที่ได้จับ ส่วนพวกเรื่องอื่นๆ ก็เป็นทางเล้อกรองในการตัดสินใจ ถ้าชอบก็ซื้อเลย ส่วน Ioniq ก็มาครบแทบจะทั้งหมดของที่มีในตอนนี้ และอาจล้ำกว่าด้วย ยกเว้นจอทัชสกรีนที่มาเล้กหน่อยในรุ่นที่มาขายในไทย และไม่ใช่ตัวที่มีระบบนำทาง
หลายคน คิดว่า ซื้อรถไฟฟ้าจะประหยัดเงินในกระเป๋า แพมบอกเลยไม่จริง ซื้อรถน้ำมันดีกว่าครับ ถึงแม้ ค่าเช็คระยะถูก ค่าไฟถูกกว่าน้ำมัน แต่รถไฟฟ้าราคาก็แพงกว่าอย่างน้อย 2 เท่า ลืมบอกว่าประกันรถ ปีละ 40000 นะครับ จ่ายทีนี่แทบสลบเลย ขนาดไม่มีเคลมอะไร แต่สิ่งที่เราได้คือ การได้สนองความต้องการของตัวเอง ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี และของไอทีต่างๆ และได้ขับก่อนใครเพื่อน
หลังจากที่มีรถไฟฟ้า ก็คิดหาคอนเทนต์ว่าทำยังไงดีจะให้คนรู้จักรถไฟฟ้ามากขึ้น ก็เลยไปรวมกับเพจเที่ยวเลยออกมาอย่างที่เห็นครับ
https://pixbotanic.com/trip/hyundai-ioniq-electric
และท้ายที่สุดฝากเพจเที่ยวของแพมด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/PIXBotanicTrip