รีวิว “Leap” หนังปลุกพลังฮึกเหิม คุ้มค่ามากที่จะดูในโรงภาพยนตร์

Leap (ตบให้สนั่น) (ปีเตอร์ ชาน)
9/10
“หนังให้พลังฮึกเหิมมาก คุ้มค่าที่สุดที่จะดูบนจอใหญ่ในโรงภาพยนตร์”
...
น้อยเรื่องนะที่หนังจบแล้ว คนดูอย่างผมกลับไม่ยอมจบ ...นี่สารภาพตรงๆ นั่งดูหนังเรื่อง Leap นี้จนจบครบทุกเครดิตท้าย ขนาดเป็นคนดูกีฬาวอลเลย์บอลแบบงูๆ ปลาๆ (ส่วนใหญ่จะดูแมทช์ที่ทีมหญิงไทยแข่ง) แถมยังรู้จักกับโค้ช “หลางผิง” น้อยมากจริงๆ จนมาได้ยินชื่อโค้ชหลางผิงอีกครั้งเมื่อรู้ข่าวว่า “กงลี่” จะมาสวมบทเป็นโค้ชหลางผิงในหนังเรื่องนี้ แถมยังเป็นการกลับมากำกับหนังอีกครั้งของผู้กำกับเชื้อสายไทย ฮ่องกง “ปีเตอร์ ชาน” แสดงว่าเรื่องราวของโค้ชหลางผิงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ ..จนได้มาอ่านประวัติคร่าวๆ และมาดูหนัง Leap เรื่องนี้ ถึงได้รู้ว่าเธอไม่ธรรมดาจริงๆ

จะว่าไปแล้ว Leap แม้จะมีแกนกลางของเรื่องคือเรื่องราวของโค้ช “หลางผิง” (กงลี่) แต่จริงๆ แล้วตัวหนังเล่าผ่านสามเส้นเรื่องสำคัญที่เคียงคู่กันไปอย่างกลมกลืม ...เส้นเรื่องแรกคือชีวิตการเป็นนักวอลเลย์บอลทีมชาติจนมาเป็นโค้ชของหลางผิง ...เส้นเรื่องที่สองคือ มิตรภาพระหว่างสองเพื่อนสนิท หลางผิง และ เฉินจงเหอ (ฮวงปอ) ที่เจอกันสมัยที่เฉินจงเหอมาเป็นคู่ซ้อมให้ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนในยุคหลังจีนเปิดประเทศ (ปี 1978) และเส้นเรื่องที่สามคือประเด็นความรักชาติในชนชาติจีนผ่านการต่อสู้ในกีฬาวอลเลย์บอลหญิง เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ ความรัก ความสามัคคีของคนจีนผ่านกีฬาไปยังทุกคนบนโลกอย่างชัดเจน

ผู้กำกับปีเตอร์ ชาน แบ่งหนังเรื่องนี้เป็นสององก์อย่างชัดเจนมาก ...องก์แรก ว่าด้วยเรื่องราวหลังจีนเปิดประเทศตั้งแต่ปี 1978 และวอลเลย์บอลก็เป็นหนึ่งในกีฬาที่ทางการจีนหมายมั่นที่จะประกาศศักดาให้ชาวโลกได้รู้จักสปิริต ทีมเวิร์คของความเป็นคนจีน ..ในยุคนั้นเฉินจงเหอ ได้เดินทางเข้ามาเป็นคู่ซ้อมให้กับทีมชาติวอลเลย์บอลหญิง และนั่นทำให้เขาได้รู้จักกับหลางผิง (ในหนังเอา ไป่หลาง ลูกสาวตัวจริงของหลางผิง มารับบทเป็นคุณแม่ของเธอเองในวัยสาว) สมัยยังเป็นนักกีฬาฝึกหัด ที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ทั้งยกน้ำหนักให้ได้ถึงร้อยโล ฝึกตบลูกเป็นหมื่นๆ ลูก ...เฉินจงเหอ เป็นเสมือนคู่ซ้อม คู่หู เพื่อนสนิททั้งของหลางผิงและสาวๆ ทีมชาติวอลเลย์บอลในยุคนั้น  ก่อนที่หลางผิงจะติดเข้าทีมชาติเป็นตัวจริง และเป็นทีมที่สร้างประวัติศาสตร์การเป็นแชมป์โลกวอลเลย์บอลหญิงในปี 1981 และคว้ามาได้อีกหลายครั้งหลังจากนั้น ..ก่อนจะเข้าสู่องก์สอง ที่เปิดเรื่องที่การแข่งขันโอลิมปิกที่ปักกิ่งในปี 2008  ในนัดชิงชนะเลิศวอลเลย์บอลหญิงระหว่างทีมชาติจีนที่มีเฉินจงเหอเป็นโค้ช และสหรัฐอเมริกาที่มีโค้ชหลางผิงเป็นโค้ชคนสำคัญที่ทำให้ทีมอเมริกาคว้าเหรียญทองในบ้านเกิดของโค้ชได้สำเร็จ ...ก่อนที่หลังจากนั้น โค้ชเฉินจงเหอจะผลักดันให้หลางผิงได้เป็นโค้ชคุมทีมชาติวอลเลย์บอลหญิงจีน ที่มีพร้อมกับการปฏิรูปทีมเสียใหม่เพื่อสร้างชื่อให้ทีมวอลเลย์บอลหญิงจีนที่อยู่ในช่วงขาลงให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ด้วยความที่หนังสร้างจากเรื่องจริงของบุคคลที่มีอยู่จริง ผู้กำกับปีเตอร์ ชาน เลือกเล่าเรื่องหนังด้วยอารมณ์ของความเป็นหนังสารคดี ...แม้หนังจะมีแกนกลางว่าด้วยเรื่องราวของโค้ชหลางผิง แต่การเล่าเรื่องหนังกลับแตกต่างจากหนังชีวประวัติทั่วไป เหมือนหนังจะขับเน้นที่ความเป็นทีมวอลเลย์บอลหญิงในสองยุค สองสมัย โดยมีตัวโค้ชหลางผิง เป็นแกนกลางในการเชื่อมเรื่องราวมากกว่าที่จะเจาะโฟกัสไปที่โค้ชหลางผิงคนเดียว ...และนั่นทำให้เรารู้จักกับโค้ชหลางผิงในหนังในมุมมองของการเป็นอดีตนักกีฬาและมุมมองของความเป็นโค้ช มุมมองการทำทีม มุมมองแทคติกการสร้างทีม มุมมองความสัมพันธ์ของโค้ชกับนักกีฬา (ที่หนังยังได้นักกีฬาทีมชาติตัวจริงมาแสดง) มากกว่าเรื่องราวส่วนตัวของเธอ ที่หนังชีวประวัติหลายเรื่องชอบใช้ ...แม้เราจะไม่รู้จักหลางผิงในมุมที่มากกว่าความเป็นโค้ช แต่หนังก็ถ่ายทอดมุมมองความคิดของโค้ชหลางผิงออกมาได้อย่างหมดเปลือก ดูแล้วถึงเข้าใจว่าทำไมทีมชาติวอลเลย์บอลหญิงของจีนถึงได้กลับมาผงาดอย่างยิ่งใหญ่นับตั้งแต่การแข่งขันโอลิมปิกครั้งล่าสุดที่บราซิล

จุดเด่นของหนังอีกหนึ่งจุดคือการลำดับเรื่องราว การตัดต่อ โดยเฉพาะทุกแมทช์การแข่งขันที่ใส่ในหนัง ที่ทำมาได้อย่างสนุก เร้าใจ โดยเฉพาะแมทช์ไคลแมกซ์สำคัญ ที่หนังฉลาดเลือกมากๆ ที่นำแมทช์ระหว่างทีมชาติจีนและทีมชาติบราซิล (ถ้าใครตามวอลเลย์บอลหญิง จะรู้ว่า บราซิล คือทีมมือหนึ่งของโลก) ในกีฬาโอลิมปิกครั้งล่าสุดที่บราซิล (ที่ญี่ปุ่นปีนี้ยังไม่ได้จัดเลยเนอะ) ...แม้หลายคนที่เป็นคอกีฬาวอลเลย์บอลจะรู้ผลล่วงหน้ามาแล้ว แต่เชื่อมั้ยว่าเรายังลุ้น สนุก ระทึกใจไปกับหนัง ราวกับดูหนังแอ็กชั่นดีๆ มันตื่นเต้น เร้าใจ ไปหมดราวกับไปนั่งอยู่ข้างสนามแข่ง บวกบรรยากาศภาพและเสียงในโรงหนังมันยังช่วยบิลด์อารมณ์คนดูเหมือนไปนั่งอยู่ขอบสนามจริงๆ  แถมยังได้นักกีฬาทีมชาติตัวจริงมาเล่น ยิ่งช่วยให้หนังสมจริงมากยิ่งขึ้น

ในแง่ของการกำกับของปีเตอร์ ชาน เรื่องอารมณ์ดรามาแทบจะไม่ห่วง แต่ในเรื่องความเป็นแอ็กชั่นการแข่งขัน ที่ตอนแรกแอบห่วงจะสนุกมั้ยว่ะ แต่เอาเข้าจริงๆ หนังสนุกมาก แถมยังสร้างพลังฮึกเหิมให้กับคนดูอย่างผมได้เป็นเต็มร้อย จำไม่ได้จริงๆ ว่าตอนดูนั่งปาดน้ำตาแห่งความสุขไปกี่ครั้ง มันทรงพลัง ทัชอารมณ์ ทัชหัวใจเรามากๆ แถมกงลี่ ก็ถ่ายทอดความเป็นโค้ชหลางผิงแบบเรียบง่าย เข้าใจแต่มีพลังมากๆ คือตอนดู Mulan ว่ากงลี่เล่นดีแล้ว มาดู Leap นี่คือการแสดงชั้นเลิศของกงลี่ชัดๆ ...คือไม่ต้องเล่นเยอะ แค่ยืนนิ่งๆ ใช้พลังความเป็นโค้ชผ่านสีหน้า สายตา แค่นี้ก็ยกหัวใจให้กับการแสดงของกงลี่ไปแล้วอย่างเต็มร้อยจริงๆ

Leap คืองานที่ตอบโจทย์ความฝัน ตอบโจทย์พลังของการเป็นนักสู้ เป็นอีกหนึ่งหนังที่ให้พลังใจที่ไม่ควรพลาด ...แม้ว่าหลายคนบอกหนังจะออกแนวชาตินิยม โปรจีน แต่ส่วนตัวยอมรับได้นะ เพราะสิ่งที่มากกว่าการโปรจีน การเป็นกึ่งๆ Propaganda ของหนัง นั่นคือการเห็นความพยายาม การฝึกฝน การไม่ยอมแพ้ในการเป็นผู้ชนะ ที่ไม่ว่าจะเป็นทีมวอลเลย์บอล หรือ ทีมไหนๆ นี่คือหัวใจสำคัญของการเป็นนักสู้ตัวจริง ...หนังเล็กๆ เรื่องนี้ปลุกพลังในตัวผมและเชื่อว่าคนดูอีกหลายคนได้สำเร็จแล้ว

#Leap
#ตบให้สนั่น
#เอ้อระเหยลอยลม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่