ช่วงนี้ใครๆ ก็เข้าป่า มีรึ!!! ที่ผมจะพลาดเพราะเมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสได้ไปร่วมทริปขับขี่ Himalayan Adventure Press Trip กับทาง Royal Enfield Thailand มาแบบสดๆ ร้อน ผมก็เลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์ในการขับขี่ครั้งนี้ให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ว่าเมื่อเรานำเจ้า Royal Enfield Himalayan 2020 มาลุยกันในเส้นทางแอดเวนเจอร์สุดโหดบนเส้นทางธรรมชาติอันขึ้นชื่อสำหรับสายป่าแห่งเมืองชลบุรี นั่นก็คือ “เขาไผ่” นั่นเอง ถ้าพร้อมแล้วเราออกเดินทาง
กันเลย!!!
เช้าก่อนออกเดินทางกับชาวแก๊ง สดใสกันทุกคน
สำหรับทริปผจญภัยในครั้งนี้ผมได้ใช้รถ Royal Enfield Himalayan 2020 ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ที่มาตราฐานยูโร 4 เรียบร้อยแล้วกับขุมพลัง 411 ซี.ซี. 4 จังหวะ SOHC สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 24.5 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเลคทรอนิกส์ ส่วนระบบช่วงล่ามาพร้อมกับ โช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิค ขนาดแกน 41 มม. ด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยว และยังมาพร้อมยางกึ่งวิบากที่ให้การยึดเกาะที่มั่นใจ พร้อมระบบเบรค ABS แบบ Dual Channel โดยในล้อหน้าดิสก์เบรค มีขนาด 300 มม. คาลิปเปอร์เบรคลูกสูบคู่ ล้อหลังจานดิสก์เบรคมีขนา 240 มม. คาลิปเปอร์เบรคลูกสูบเดี่ยว
ในเมืองก็ได้เข้าป่าก็ไหว
ช่วงล่างที่ให้มาลุยได้เหลือๆ
ลุยกันเป็นแก๊ง
เอาหล่ะในเมื่อรู้จักกับรถที่เราจะไปลุยกันในวันนี้แล้วเราก็เริ่มเดินทางออกจากโชว์รูม Royal Enfield ทองหล่อเพื่อเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรีผ่านถนน บางนา – ตราด โดยเริ่มต้นเปิดทริปมาด้วยการฝ่าฟันการจราจรอันหนาแน่นของเช้าวันจันทร์แห่งเมืองหลวงกรุงเทพมหานครกันก่อนเลย ผ่านเส้นสุขุมวิทอันเลื่องชื่อซึ่งแน่นอนครับตรงจุดนี้เราได้ทดสอบถึงความคล่องตัวของเจ้า Royal Enfield Himalayan ในการลัดเลาะ มุด และหักเลี้ยวในวงเลี้ยวแคบๆ ระหว่างซอกรถถือว่าผ่านครับ เพราะด้วยมิติของตัวรถที่มีขนาดความกว้าง 84.00 ซม. ความยาว 219.00 ซม. ความสูง 136.00 ซม. ความสูงจากพื้นถึงเบาะ 80.00 ซม. ระยะห่างจากพื้นถึงเครื่องยนต์ 22.00 ซม. ความยาวช่วงล้อ 146.50 ซม. น้ำหนักตัวรถ 191 กิโลกรัม บวกกับแฮนด์บาร์ที่กว้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เจ้า Himalayan คันนี้สามารถใช้งานในเมืองลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่มีปัญหา
ทางดำชิวๆ
ขี่เป็นแก๊งหล่อๆ
เมื่อหลุดออกมาจากถนนสุขุมวิทได้แล้วเราก็เข้าสู่ถนนเส้น บางนา – ตราด ซึ่งตลอดช่วงนี้เราได้ใช้ความเร็วบนเจ้า Himalayan กันอย่างเต็มที่ โดยสามารถยืนพื้นที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ได้แบบสบายๆ จังหวะเร่งแซงชู๊ตขึ้นไปแตะที่ 120 กม./ชม. ก็สามารถทำได้ แต่หากจะยืนพื้นที่ความเร็ว 120 อาจจะต้องใช้แรงกดแฮนบร์ไว้หน่อยเพราะตัวรถจะมีอาการส่ายให้เห็นบ้าง เวลาที่ปะทะลม หรือขณะแซงรถบรรทุกคันใหญ่ เพราะเนื่องด้วยตัวยางที่ใช้เป็นยางกึ่งออฟโรด ประกอบกับบังโคลนหน้าของ Himalayan ที่เป็นบังโคลนแบบ 2 ชั้น ทำให้เมื่อประทะลมแรงๆ จะมีอาการส่ายเล็กๆ น้อยๆ ให้เห็นบ้าง และตลอดเส้นทาง บางนา- ตราด เราๆ ก็คงจะรู้กันอยู่ว่าไหนจะรถบรรทุกขนาดใหญ่ ไหนจะจุดยูเทิร์นตลอดเส้นทาง ทำให้เราได้ลองอัตราเร่ง และระบบเบรคของเจ้า Himalayan กันอย่างเต็มที่ ซึ่งระยะเบรคถือว่าทำได้ดีมาก ควบคุมได้ดั่งใจในทุกย่านความเร็ว กับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็สามารถหยุดรถได้อย่างทันท่วงที รวมไปถึงรอบเครื่องยนต์ที่ไม่ได้อืดอาดจนเกินไป สามารถเรื่องใช้ได้ดั่งใจในสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องพบเจอ ถือว่าใช้ขับขี่ทางดำเดินทางไกลได้สนุกเลยหล่ะครับ
พร้อมลุย
เริ่มเข้าทางฝุ่น
และแล้วในช่วงบ่ายเราก็พร้อมที่จะไปหรอยกันบนเขาไผ่แล้ว ซึ่งเมื่อเข้าสู่เส้นทางธรรมชาติเราก็โดนต้อนรับด้วยทางทรายร่วนๆ กันแบบยาวๆ เลย ซึ่งก็เรียกได้ว่าสำหรับคนที่ไม่เคยขี่ทรายมาก่อนก็อาจจะมีลงไปนอนเล่นบนกองทรายได้เลย เมื่อผ่านทางทรายมาได้เราก็มาเจอกับจุดที่ครูฝึกของเราบอกว่า Welcome Drink ซึ่งจริงๆ แล้วเลี้ยวไปทางสบายก็ได้นะ แต่มันจะไม่หรอยอ่าดิ มาแล้วก็ต้องลุยไป ซึ่งทางตรงหน้าเป็นร่องที่โดนน้ำฝนกัดเซาะจนลึกมาก เรียกว่าถาลงไปยืนก็มีประมาณหน้าอกคนเลย ซึ่งเมื่อขี่รถลงไปตามร่องก็แน่นอนครับติด เพราะร่องนี่เรียกได้ว่าเสมอตัวถังน้ำมันของเจ้า Himalayan กันเลย ก็นั่นละครับเมื่อตัดสินใจลุยกันแล้วก็ต้องร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งขุดขยายทางลง ช่วยกันยก ช่วยกันลาก จนทุกคน ทุกคันสามารถผ่านไปได้ ซึ่งเรียกว่าแค่เข้ามาเขาไผ่จุดแรกก็เล่นเอาทุกคนในทริปเหงื่อตกเหนื่อยหอบกันเป็นแถว 5555+
ทางเข้าเข่าไผ่ด้านแรกก็ต้อนรับเรากันด้วยทรายเลยจร้าาาาา
ด่านแรกเมื่อเข้ามาถึง ร่องลึกเท่าอก 555+
ทางอื่นก็มีนะแต่ครูฝึกเราบอกมันไม่มัน ผมนี่น้ำตาจะไหล
ฮุยเลฮุย
แค่จุดแรกก็เล่นเอาแทบหมดแรงกันเลย 555+
หลุดออกมาได้แล้ว สนุกจังโว้ยยยยยยย
เมื่อเลยจุดแรกมาได้ เราก็ขับขี่ผ่านถนนทราย ถนนดินมาเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าสู่บริเวณเส้นทางลาดชันทางขึ้นเขาไผ่ ที่ตลอดเส้นทาง เป็นดินทรายผสมปนเปไปกับหินลอยพร้อมความลาดชันของตัวเนิน ซึ่งเรียกว่ากว่าจะผ่านแต่ละจุด แต่ละเนิน เล่นกันเหนื่อย เพราะต้องใช้ทักษะในการขับขี่ และการคุมคันเร่งที่พอเหมาะเท่านั้นถึงจะผ่านไปได้โดยไม่เหนื่อยมากนัก แต่แน่นอนว่าทั้งกลิ้ง ทั้งล้มกันกระจาย แต่นี่ละคือความมันของเส้นทางแอดเวนเจอร์ที่เราต้องพบเจอ ซึ่งจุดนี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งกำลัง และความอึดถึกทนของเจ้า Royal Enfield Himalayan นั้นมีมาให้ครบจริงๆ เพราะตลอดเส้นทางเรียกว่าฉุดกระชากลากถูตัวรถกันมาตลอด แต่รอยไม่ว่าจนบนตัวถัง หรือบนตัวรถแทบจะไม่มีเลย เนื่องด้วยมาจากจุดยึดแคชบาร์ที่ Himalayan ติดตั้งมารอบคันนั่นเอง ทำให้เราได้เห้นประโยชน์ของมันก็ตอนนี้ ว่าแคชบาร์ที่ถูกติดตั้งมาช่วยปกป้องตัวรถได้เป็นอย่างดี
ทางลาดชันเป็นทรายผสมหินลอยตลอด มันหล่ะงานนี้
ไม่ไหวก็พักก่อน 555+
สีสันของความสนุก แนะนำว่าให้เอาเพื่อนไปด้วยหลายๆ คน
เรื่องปกติของสายฝุ่น
มีเพื่อนช่วยได้เยอะ
ซีนนี้ได้อารมณ์
ฮึบๆ ใกล้ถึงแล้ว
และแล้วเราก็ฉุดกระชากลากถูกันขึ้นมาจนถึงจุดชมวิวเขาไผ่กันจนได้ แน่นอนว่าเมื่อขึ้นมาถึงสภาพแต่ละคนเหงื่อท่วมตัว หมดแรง แต่ทุกคนก็ยังคงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และพูดถึงอุปสรรคระหว่างทางที่เจอกันอย่างสนุก ก่อนที่จะไม่พลาดร่วมกันเก็บภาพเป็นที่ระลึกที่สามารถพิชิตเขาไผ่กันได้แล้ว ซึ่งทุกคนก็หายเหนื่อยกันเป็นปริดทิ้งเมื่อได้เห็นวิวที่อยู่เบื้องหน้าของตัวเมืองชลบุรี และเมื่อเสพธรรมชาติและวิวตรงหน้ากันจนหายเหนื่อยแล้วภารกิจของเราก็ยังไม่จบ เพราะเรายังต้องใช้เส้นทางแอดเวนเจอร์ในการกลับลงไปที่พักให้ได้ก่อนที่แสงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป ซึ่งแน่นอนว่าหากแสงหมดลงคนที่เคยเข้าป่าจะเข้าใจดีว่ามันจะเป็นหนังคนละม้วนกับตอนที่ขึ้นมาเลยทันที
สภาพของผมตอนขึ้นมาถึงจุดชมวิวเขาไผ่
หน้าตาชาวแก๊งผู้ร่วมพิชิตเขาไผ่ในทริปนี้
ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน
วิวบนจุดชมวิวจะประมาณนี้
ได้เวลากลับก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
ตอนลงก็ไม่ง่าย 555+
ถ้าลงมาตอนแสงหมดนี่บอกเลยว่างานเข้า
แสงเย็นก็จะสวยแบบนี้
ตั้งแต่ขึ้นยันลง บอกแล้วเอาเพื่อนไปเยอะๆ
ลงมาได้อย่างปลอดภัยทุกคัน พร้อมสีหน้าของความสนุกสุดๆ
สุดท้ายผมคอนเฟิร์มเลยว่า Royal Enfield Himalayan คันนี้เป็นรถที่ใช้งานในชิวิตประวันได้ดี ขี่ทางดำเดินทางไกลท่องเที่ยวได้สบายๆ แถมเอามาลุยในเส้นทางแอดเวนเจอร์ก็ยังได้อีก เรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครบครันจริงๆ สำหรับเจ้า Royal Enfield Himalayan คันนี้คงต้องบอกว่านี่คือรถลุยสามัญประจำบ้านของจริง
[SR] เมื่อผมเอา Royal Enfield Himalayan ไปลุยเขาไผ่!!!
กันเลย!!!
เช้าก่อนออกเดินทางกับชาวแก๊ง สดใสกันทุกคน
สำหรับทริปผจญภัยในครั้งนี้ผมได้ใช้รถ Royal Enfield Himalayan 2020 ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ที่มาตราฐานยูโร 4 เรียบร้อยแล้วกับขุมพลัง 411 ซี.ซี. 4 จังหวะ SOHC สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 24.5 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเลคทรอนิกส์ ส่วนระบบช่วงล่ามาพร้อมกับ โช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิค ขนาดแกน 41 มม. ด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยว และยังมาพร้อมยางกึ่งวิบากที่ให้การยึดเกาะที่มั่นใจ พร้อมระบบเบรค ABS แบบ Dual Channel โดยในล้อหน้าดิสก์เบรค มีขนาด 300 มม. คาลิปเปอร์เบรคลูกสูบคู่ ล้อหลังจานดิสก์เบรคมีขนา 240 มม. คาลิปเปอร์เบรคลูกสูบเดี่ยว
ในเมืองก็ได้เข้าป่าก็ไหว
ช่วงล่างที่ให้มาลุยได้เหลือๆ
ลุยกันเป็นแก๊ง
เอาหล่ะในเมื่อรู้จักกับรถที่เราจะไปลุยกันในวันนี้แล้วเราก็เริ่มเดินทางออกจากโชว์รูม Royal Enfield ทองหล่อเพื่อเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรีผ่านถนน บางนา – ตราด โดยเริ่มต้นเปิดทริปมาด้วยการฝ่าฟันการจราจรอันหนาแน่นของเช้าวันจันทร์แห่งเมืองหลวงกรุงเทพมหานครกันก่อนเลย ผ่านเส้นสุขุมวิทอันเลื่องชื่อซึ่งแน่นอนครับตรงจุดนี้เราได้ทดสอบถึงความคล่องตัวของเจ้า Royal Enfield Himalayan ในการลัดเลาะ มุด และหักเลี้ยวในวงเลี้ยวแคบๆ ระหว่างซอกรถถือว่าผ่านครับ เพราะด้วยมิติของตัวรถที่มีขนาดความกว้าง 84.00 ซม. ความยาว 219.00 ซม. ความสูง 136.00 ซม. ความสูงจากพื้นถึงเบาะ 80.00 ซม. ระยะห่างจากพื้นถึงเครื่องยนต์ 22.00 ซม. ความยาวช่วงล้อ 146.50 ซม. น้ำหนักตัวรถ 191 กิโลกรัม บวกกับแฮนด์บาร์ที่กว้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เจ้า Himalayan คันนี้สามารถใช้งานในเมืองลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่มีปัญหา
ทางดำชิวๆ
ขี่เป็นแก๊งหล่อๆ
เมื่อหลุดออกมาจากถนนสุขุมวิทได้แล้วเราก็เข้าสู่ถนนเส้น บางนา – ตราด ซึ่งตลอดช่วงนี้เราได้ใช้ความเร็วบนเจ้า Himalayan กันอย่างเต็มที่ โดยสามารถยืนพื้นที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ได้แบบสบายๆ จังหวะเร่งแซงชู๊ตขึ้นไปแตะที่ 120 กม./ชม. ก็สามารถทำได้ แต่หากจะยืนพื้นที่ความเร็ว 120 อาจจะต้องใช้แรงกดแฮนบร์ไว้หน่อยเพราะตัวรถจะมีอาการส่ายให้เห็นบ้าง เวลาที่ปะทะลม หรือขณะแซงรถบรรทุกคันใหญ่ เพราะเนื่องด้วยตัวยางที่ใช้เป็นยางกึ่งออฟโรด ประกอบกับบังโคลนหน้าของ Himalayan ที่เป็นบังโคลนแบบ 2 ชั้น ทำให้เมื่อประทะลมแรงๆ จะมีอาการส่ายเล็กๆ น้อยๆ ให้เห็นบ้าง และตลอดเส้นทาง บางนา- ตราด เราๆ ก็คงจะรู้กันอยู่ว่าไหนจะรถบรรทุกขนาดใหญ่ ไหนจะจุดยูเทิร์นตลอดเส้นทาง ทำให้เราได้ลองอัตราเร่ง และระบบเบรคของเจ้า Himalayan กันอย่างเต็มที่ ซึ่งระยะเบรคถือว่าทำได้ดีมาก ควบคุมได้ดั่งใจในทุกย่านความเร็ว กับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็สามารถหยุดรถได้อย่างทันท่วงที รวมไปถึงรอบเครื่องยนต์ที่ไม่ได้อืดอาดจนเกินไป สามารถเรื่องใช้ได้ดั่งใจในสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องพบเจอ ถือว่าใช้ขับขี่ทางดำเดินทางไกลได้สนุกเลยหล่ะครับ
พร้อมลุย
เริ่มเข้าทางฝุ่น
และแล้วในช่วงบ่ายเราก็พร้อมที่จะไปหรอยกันบนเขาไผ่แล้ว ซึ่งเมื่อเข้าสู่เส้นทางธรรมชาติเราก็โดนต้อนรับด้วยทางทรายร่วนๆ กันแบบยาวๆ เลย ซึ่งก็เรียกได้ว่าสำหรับคนที่ไม่เคยขี่ทรายมาก่อนก็อาจจะมีลงไปนอนเล่นบนกองทรายได้เลย เมื่อผ่านทางทรายมาได้เราก็มาเจอกับจุดที่ครูฝึกของเราบอกว่า Welcome Drink ซึ่งจริงๆ แล้วเลี้ยวไปทางสบายก็ได้นะ แต่มันจะไม่หรอยอ่าดิ มาแล้วก็ต้องลุยไป ซึ่งทางตรงหน้าเป็นร่องที่โดนน้ำฝนกัดเซาะจนลึกมาก เรียกว่าถาลงไปยืนก็มีประมาณหน้าอกคนเลย ซึ่งเมื่อขี่รถลงไปตามร่องก็แน่นอนครับติด เพราะร่องนี่เรียกได้ว่าเสมอตัวถังน้ำมันของเจ้า Himalayan กันเลย ก็นั่นละครับเมื่อตัดสินใจลุยกันแล้วก็ต้องร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งขุดขยายทางลง ช่วยกันยก ช่วยกันลาก จนทุกคน ทุกคันสามารถผ่านไปได้ ซึ่งเรียกว่าแค่เข้ามาเขาไผ่จุดแรกก็เล่นเอาทุกคนในทริปเหงื่อตกเหนื่อยหอบกันเป็นแถว 5555+
ทางเข้าเข่าไผ่ด้านแรกก็ต้อนรับเรากันด้วยทรายเลยจร้าาาาา
ด่านแรกเมื่อเข้ามาถึง ร่องลึกเท่าอก 555+
ทางอื่นก็มีนะแต่ครูฝึกเราบอกมันไม่มัน ผมนี่น้ำตาจะไหล
ฮุยเลฮุย
แค่จุดแรกก็เล่นเอาแทบหมดแรงกันเลย 555+
หลุดออกมาได้แล้ว สนุกจังโว้ยยยยยยย
เมื่อเลยจุดแรกมาได้ เราก็ขับขี่ผ่านถนนทราย ถนนดินมาเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าสู่บริเวณเส้นทางลาดชันทางขึ้นเขาไผ่ ที่ตลอดเส้นทาง เป็นดินทรายผสมปนเปไปกับหินลอยพร้อมความลาดชันของตัวเนิน ซึ่งเรียกว่ากว่าจะผ่านแต่ละจุด แต่ละเนิน เล่นกันเหนื่อย เพราะต้องใช้ทักษะในการขับขี่ และการคุมคันเร่งที่พอเหมาะเท่านั้นถึงจะผ่านไปได้โดยไม่เหนื่อยมากนัก แต่แน่นอนว่าทั้งกลิ้ง ทั้งล้มกันกระจาย แต่นี่ละคือความมันของเส้นทางแอดเวนเจอร์ที่เราต้องพบเจอ ซึ่งจุดนี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งกำลัง และความอึดถึกทนของเจ้า Royal Enfield Himalayan นั้นมีมาให้ครบจริงๆ เพราะตลอดเส้นทางเรียกว่าฉุดกระชากลากถูตัวรถกันมาตลอด แต่รอยไม่ว่าจนบนตัวถัง หรือบนตัวรถแทบจะไม่มีเลย เนื่องด้วยมาจากจุดยึดแคชบาร์ที่ Himalayan ติดตั้งมารอบคันนั่นเอง ทำให้เราได้เห้นประโยชน์ของมันก็ตอนนี้ ว่าแคชบาร์ที่ถูกติดตั้งมาช่วยปกป้องตัวรถได้เป็นอย่างดี
ทางลาดชันเป็นทรายผสมหินลอยตลอด มันหล่ะงานนี้
ไม่ไหวก็พักก่อน 555+
สีสันของความสนุก แนะนำว่าให้เอาเพื่อนไปด้วยหลายๆ คน
เรื่องปกติของสายฝุ่น
มีเพื่อนช่วยได้เยอะ
ซีนนี้ได้อารมณ์
ฮึบๆ ใกล้ถึงแล้ว
และแล้วเราก็ฉุดกระชากลากถูกันขึ้นมาจนถึงจุดชมวิวเขาไผ่กันจนได้ แน่นอนว่าเมื่อขึ้นมาถึงสภาพแต่ละคนเหงื่อท่วมตัว หมดแรง แต่ทุกคนก็ยังคงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และพูดถึงอุปสรรคระหว่างทางที่เจอกันอย่างสนุก ก่อนที่จะไม่พลาดร่วมกันเก็บภาพเป็นที่ระลึกที่สามารถพิชิตเขาไผ่กันได้แล้ว ซึ่งทุกคนก็หายเหนื่อยกันเป็นปริดทิ้งเมื่อได้เห็นวิวที่อยู่เบื้องหน้าของตัวเมืองชลบุรี และเมื่อเสพธรรมชาติและวิวตรงหน้ากันจนหายเหนื่อยแล้วภารกิจของเราก็ยังไม่จบ เพราะเรายังต้องใช้เส้นทางแอดเวนเจอร์ในการกลับลงไปที่พักให้ได้ก่อนที่แสงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป ซึ่งแน่นอนว่าหากแสงหมดลงคนที่เคยเข้าป่าจะเข้าใจดีว่ามันจะเป็นหนังคนละม้วนกับตอนที่ขึ้นมาเลยทันที
สภาพของผมตอนขึ้นมาถึงจุดชมวิวเขาไผ่
หน้าตาชาวแก๊งผู้ร่วมพิชิตเขาไผ่ในทริปนี้
ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน
วิวบนจุดชมวิวจะประมาณนี้
ได้เวลากลับก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
ตอนลงก็ไม่ง่าย 555+
ถ้าลงมาตอนแสงหมดนี่บอกเลยว่างานเข้า
แสงเย็นก็จะสวยแบบนี้
ตั้งแต่ขึ้นยันลง บอกแล้วเอาเพื่อนไปเยอะๆ
ลงมาได้อย่างปลอดภัยทุกคัน พร้อมสีหน้าของความสนุกสุดๆ
สุดท้ายผมคอนเฟิร์มเลยว่า Royal Enfield Himalayan คันนี้เป็นรถที่ใช้งานในชิวิตประวันได้ดี ขี่ทางดำเดินทางไกลท่องเที่ยวได้สบายๆ แถมเอามาลุยในเส้นทางแอดเวนเจอร์ก็ยังได้อีก เรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครบครันจริงๆ สำหรับเจ้า Royal Enfield Himalayan คันนี้คงต้องบอกว่านี่คือรถลุยสามัญประจำบ้านของจริง
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้