จริงอยู่ว่าการนั่งดูสารคดีที่บอกเล่าชีวิตของ Alexander McQueen ดีไซเนอร์หัวขบถผู้เป็นอัจฉริยะและเป็นแกะดำของวงการแฟชั่นนั้นเต็มไปด้วยพลัง แรงบันดาลใจ และแสนเศร้าที่ได้เห็นชีวิตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยไฟฝัน ความกล้า (และบ้า) ก่อนจะติดกับดัก เพราะปมปัญหาในใจที่ไม่เคยแกะออกได้ จนเลือกจบชีวิตลงด้วยน้ำมือตัวเอง ทั้งที่ใครต่อใครพูดตรงกันว่า เค้ายังมีอนาคตอีกไกล กระนั้น เราก็พบว่า การเล่าเรื่องอย่างเป็นระบบระเบียบของสองผู้กำกับ Ian Bonhôte และ Peter Ettedgui ถึงจะทำให้เราเข้าใจชีวิตของ McQueen อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่มันก็เดินตามขนบเกินไป จนขาดความแปลกใหม่ ความบ้าคลั่งดีเดือด หรือการแหกขนบ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของงานดีไซน์แบบ McQueen
.
การได้ย้อนไปดูช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของ McQueen ก่อนที่มันจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม เปราะบาง และหม่นเศร้าในเวลาต่อมาช่างน่าสะเทือนใจ และมันก็ทำให้เรามองเห็นตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ เคยมองย้อนกลับไปดูตัวเองในวัยเด็กวัยรุ่นกันบ้างไหม เราเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เรายังเป็นคนเดิมที่เคยสนุกและเต็มไปด้วยพลังอยู่หรือเปล่า เราลุ่มหลงอยู่ในชื่อเสียง เงินทอง มายา หรือยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ไหม เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แล้วเราจะทำอะไรต่อ ในเมื่อเราได้ทำทุกสิ่งอย่างที่อยากจะทำหมดแล้ว...
.
ชอบที่สารคดีนำเสนอประเด็นความเป็นเกย์ของ McQueen แบบสามัญธรรมดา และเรารู้สึกว่าความคิดสร้างสรรค์อันล้ำเลิศของ McQueen นั้นก็ไม่ได้มาจากความเป็นที่เค้าเป็นเกย์เลยแม้แต่น้อย มันแค่เป็นความพิเศษที่อยู่ในตัวเค้าเองก็เท่านั้น เช่นเดียวกับการนำเสนอพาร์ตการเป็นผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีของ McQueen ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่ได้ถูกเน้นย้ำอะไร ซึ่งถือว่าดีมาก!
.
ชอบการเลือกเล่าแต่ละพาร์ตด้วยชื่อแฟชั่นโชว์เด่นๆ ของ McQueen และการนำเอาหัวกะโหลกมาประดิดประดอยทำกราฟิกที่มีความหมาย น่าแปลกที่ดูเหมือนตัวหนังจะนำเสนอธีมความตายเป็นแก่นหลักแบบเดียวกับงานแฟชั่นดีไซน์ของ McQueen แต่มันก็กลับทำให้เรารู้สึกว่าช่างเต็มไปด้วยการตัดสิน ทำไมล่ะ ถ้าความตายคือสิ่งที่ McQueen เลือก เราจะยินดีไปกับเค้าไม่ได้หรือ?
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] McQueen (2018)
จริงอยู่ว่าการนั่งดูสารคดีที่บอกเล่าชีวิตของ Alexander McQueen ดีไซเนอร์หัวขบถผู้เป็นอัจฉริยะและเป็นแกะดำของวงการแฟชั่นนั้นเต็มไปด้วยพลัง แรงบันดาลใจ และแสนเศร้าที่ได้เห็นชีวิตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยไฟฝัน ความกล้า (และบ้า) ก่อนจะติดกับดัก เพราะปมปัญหาในใจที่ไม่เคยแกะออกได้ จนเลือกจบชีวิตลงด้วยน้ำมือตัวเอง ทั้งที่ใครต่อใครพูดตรงกันว่า เค้ายังมีอนาคตอีกไกล กระนั้น เราก็พบว่า การเล่าเรื่องอย่างเป็นระบบระเบียบของสองผู้กำกับ Ian Bonhôte และ Peter Ettedgui ถึงจะทำให้เราเข้าใจชีวิตของ McQueen อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่มันก็เดินตามขนบเกินไป จนขาดความแปลกใหม่ ความบ้าคลั่งดีเดือด หรือการแหกขนบ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของงานดีไซน์แบบ McQueen
.
การได้ย้อนไปดูช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของ McQueen ก่อนที่มันจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม เปราะบาง และหม่นเศร้าในเวลาต่อมาช่างน่าสะเทือนใจ และมันก็ทำให้เรามองเห็นตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ เคยมองย้อนกลับไปดูตัวเองในวัยเด็กวัยรุ่นกันบ้างไหม เราเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เรายังเป็นคนเดิมที่เคยสนุกและเต็มไปด้วยพลังอยู่หรือเปล่า เราลุ่มหลงอยู่ในชื่อเสียง เงินทอง มายา หรือยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ไหม เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แล้วเราจะทำอะไรต่อ ในเมื่อเราได้ทำทุกสิ่งอย่างที่อยากจะทำหมดแล้ว...
.
ชอบที่สารคดีนำเสนอประเด็นความเป็นเกย์ของ McQueen แบบสามัญธรรมดา และเรารู้สึกว่าความคิดสร้างสรรค์อันล้ำเลิศของ McQueen นั้นก็ไม่ได้มาจากความเป็นที่เค้าเป็นเกย์เลยแม้แต่น้อย มันแค่เป็นความพิเศษที่อยู่ในตัวเค้าเองก็เท่านั้น เช่นเดียวกับการนำเสนอพาร์ตการเป็นผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีของ McQueen ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่ได้ถูกเน้นย้ำอะไร ซึ่งถือว่าดีมาก!
.
ชอบการเลือกเล่าแต่ละพาร์ตด้วยชื่อแฟชั่นโชว์เด่นๆ ของ McQueen และการนำเอาหัวกะโหลกมาประดิดประดอยทำกราฟิกที่มีความหมาย น่าแปลกที่ดูเหมือนตัวหนังจะนำเสนอธีมความตายเป็นแก่นหลักแบบเดียวกับงานแฟชั่นดีไซน์ของ McQueen แต่มันก็กลับทำให้เรารู้สึกว่าช่างเต็มไปด้วยการตัดสิน ทำไมล่ะ ถ้าความตายคือสิ่งที่ McQueen เลือก เราจะยินดีไปกับเค้าไม่ได้หรือ?
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้